ทำ ICSI (เด็กหลอดแก้วอิ๊กซี่) พร้อมเลี้ยงตัวอ่อนด้วยตู้ Embryo Scope Plus
ทำ ICSI เพิ่มโอกาสการได้ตัวอ่อนมากกว่าทำ IVF ถึง 90%
เพิ่มโอกาสท้อง ด้วยตู้เลี้ยงตัวอ่อนพิเศษ EmbryoScope Plus ได้ตัวอ่อนที่แข็งแรงกว่า
ค่าใช้จ่ายไม่บาน ราคานี้รวมยากระตุ้นไข่สูงสุด 3,800 ยูนิตแล้ว (ปกติใช้ไม่เกิน 3,500 ยูนิต)
ปรึกษาหมอปอนด์ ปริญญาเอกด้านการเจริญพันธุ์ ทำ ICSI สำเร็จแล้วหลายร้อยเคส
รายละเอียด
HDcare สรุปให้
ปรึกษาหมอปอนด์ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายวันนี้
แพ็กเกจนี้รวมอะไรบ้าง?
- ฉีดกระตุ้นไข่ - ใช้ยากระตุ้นไข่ ไม่เกิน 3,800 ยูนิต ครอบคลุมมากกว่าจำนวนที่ใช้กันทั่วไป 3,500 ยูนิต
- เก็บไข่ - รวมค่าดมยาสลบขณะเก็บไข่ ภายใต้การดูแลของวิสัญญีแพทย์
- กระบวนการปฏิสนธิ (ICSI) - ผสมอสุจิที่แข็งแรงกับไข่โดยตรงเพื่อกระตุ้นการปฏิสนธิ
- เพาะเลี้ยงตัวอ่อน - ด้วยตู้เลี้ยงแบบพิเศษ EmbryoScope Plus ดูการพัฒนาของตัวอ่อนแบบ Real Time
- แช่แข็งตัวอ่อน - แช่แข็งตัวอ่อน 8 ตัวในปีแรก เพื่อรอคุณแม่เตรียมสุขภาพและมดลูกให้พร้อมที่สุดในการย้ายตัวอ่อนไปใส่ในโพรงมดลูกต่อไป
- ครอบคุลมค่าบริการอื่นๆ ครอบคลุมค่าบริการคลินิก ค่าพยาบาลและค่าแพทย์แล้ว
ข้อมูลน่ารู้
- ทำหมันแล้วอยากมีลูก เลือกทำ ICSI ได้
- ปกติผู้หญิงจะตกไข่แค่เดือนละใบและต้องรออสุจิมาปฏิสนธิ แต่ขั้นตอนทำ ICSI จะกระตุ้นให้ตกไข่หลายใบ แล้วเอาออกมาปฏิสนธิกับอสุจินอกร่างกาย ไม่ต้องลุ้น
- ทำ ICSI สามารถตรวจความผิดปกติของโครโมโซมในตัวอ่อน เลี่ยงโรคทางพันธุกรรม เช่น กลุ่มอาการดาวน์ซินโดรม (Down Syndrome) โรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia)
รู้จักโรคนี้
การทำ ICSI (Intracytoplasmic Sperm Injection) หรือที่นิยมเรียกว่า อิ๊กซี คือการคัดเลือกอสุจิที่แข็งแรงที่สุดฉีดเข้าไปในเซลล์ไข่ 1 ใบ เพื่อให้ปฏิสนธิเกิดเป็นตัวอ่อน จากนั้นนำกลับไปยังร่างกายของฝ่ายหญิงเพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์
ทำไมถึงต้องทำ ICSI?
- ปกติผู้หญิงจะตกไข่แค่เดือนละใบและไจะต้องรออสุจิเคลื่อนที่มาเจอภายในร่างกายผู้หญิง ระหว่างทางจะมีอสุจิตายจำนวนมาก และอาจไม่เกิดการปฏิสนธิ
- การกระตุ้นไข่ จะเพิ่มจำนวนไข่ให้มากที่สุดเพื่อที่จะนำมาปฏิสนธิกับอสุจินอกร่างกาย และเลือกตัวอ่อนที่มีคุณภาพมากที่สุดเพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์ ทำให้มีอัตราการตั้งครรภ์ที่สูง
- สามารถตรวจความผิดปกติของโครโมโซมในตัวอ่อนเพื่อหลีกเลี่ยงโรคทางพันธุกรรม เช่น กลุ่มอาการดาวน์ซินโดรม (Down Syndrome) โรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia)
- ถ้ายังไม่พร้อมมีลูกตอนนี้ สามารถฝากไข่เอาไว้ก่อนได้ ขั้นตอนเหมือนกัน แต่ไม่นำไข่มาปฏิสนธิกับอสุจิ แต่เป็นการแช่แข็งไข่โดยตรงแทน
- การแช่แข็งไข่เป็นเหมือน “การหยุดเวลา” เพื่อให้ไข่ที่เก็บไว้มีอายุคงที่ ไม่เพิ่มขึ้นแม้เวลาผ่านไป 10 ปี ความสมบูรณ์ของไข่ก็จะยังเท่ากับอายุของฝ่ายหญิงที่มาเก็บไข่ ณ ตอนนั้น และเก็บไว้ได้นานจนกว่าจะพร้อม
ใครเหมาะกับการทำ ICSI?
- คู่รักที่วางแผนจะมีบุตรในอนาคต แต่อยากจะแช่แข็งไข่ที่มีคุณภาพเก็บเอาไว้ก่อน
- คู่รักที่วางแผนจะมีบุตรในช่วงหลังอายุ 35 ปีขึ้นไป
- คู่รักที่มีภาวะมีบุตรยาก
- คู่รักที่วางแผนจะมีบุตรด้วยการทำเด็กหลอดแก้ว
- ผู้ที่จำเป็นต้องรักษาโรคด้วยการฉายรังสี ผ่าตัด หรือวิธีการรักษาที่อาจสร้างความเสียหายให้กับรังไข่ จึงอยากเก็บปริมาณไข่ที่มีคุณภาพและมากพอเอาไว้ก่อน
- ผู้ที่มีความผิดปกติที่รังไข่ จนทำให้รังไข่เสื่อมตัวหรือทำงานผิดปกติเร็วกว่าวัยอันควร
สัญญาณที่ต้องตรวจ
สาเหตุของภาวะมีบุตรยากในผู้หญิง
- ความผิดปกติของฮอร์โมน ที่ส่งผลต่อการตกไข่ เช่น
- ระดับโปรแลกตินในเลือดสูง (Hyperprolactinemia)
- ถุงน้ำรังไข่หลายใบ หรือ PCOS (Polycystic Ovarian Syndrome)
- ภาวะไม่ตกไข่เรื้อรัง (Chronic Anivulation)
- ท่อนำไข่ผิดปกติ เช่น
- ท่อนำไข่บวมน้ำ (Hydrosalpinx)
- เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
- พังผืดในอุ้งเชิงกราน
- การติดเชื้อโรคทางเพศสัมพันธ์
- มดลูกผิดปกติ เช่น
- เนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูก (Leiomyoma หรือ Fibromyoma หรือ Fibroid หรือ Myoma Uteri)
- พังผืดในโพรงมดลูก (Uterine Synechiae)
- มีติ่งเนื้อในโพรงมดลูก
- สมรรถภาพของรังไข่ลดลง (Ovarian Reserve) เช่น
- การใช้ยาเคมีบำบัดหรือการฉายรังสีเพื่อรักษาโรคมะเร็ง
- โรคทางพันธุกรรมอื่นๆ เช่น อาการโครโมโซม x เปราะ (Fragile X)
- อายุที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เซลล์ไข่ลดลง
สาเหตุของภาวะมีบุตรยากในผู้ชาย
- ความผิดปกติในการสร้างอสุจิ เช่น
- ความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ เช่น Klinefelter Syndrome หรือ การมี Microdeletion ของโครโมโซม Y การอักเสบติดเชื้อ (การอักเสบของอัณฑะจากเชื้อไวรัสคางทูม)
- ความผิดปกติของ Sperm Function เช่น
- การอักเสบของต่อมลูกหมาก
- หลอดเลือดอัณฑะขอด
- การอุดตันของท่ออสุจิ เช่น
- การผ่าตัดทำหมันผู้ชาย
- การอักเสบของท่อนำอสุจิ
- ความผิดปกติตั้งแต่เกิด
อายุเท่าไหร่ที่ควรตรวจภาวะมีบุตรยาก?
- คู่สามีภรรยาที่อายุน้อยกว่า 35 ปี พยายามมีบุตรด้วยวิธีธรรมชาติมา 1 ปีแล้วยังไม่ตั้งครรภ์
- คู่สามีภรรยาที่อายุมากกว่า 35 ปี พยายามมีบุตรด้วยวิธีธรรมชาติมา 6 เดือนแล้วยังไม่ตั้งครรภ์
ตรวจโรคนี้อย่างไรได้บ้าง
- ตรวจร่างกายทั่วไป เช่น ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง วัดความดัน ซักประวัติสุขภาพ โรคประจำตัว ประวัติการใช้ยา ประวัติการฉีดวัคซีน พฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ การตั้งครรภ์ก่อนหน้านี้ หรือการคุมกำเนิดกับแพทย์
- เก็บตัวอย่างเลือดส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ ซึ่งสามารถหาความเข้มข้นของเลือด ระดับน้ำตาลในเลือด โรคที่ส่งต่อได้ทางพันธุกรรม รวมถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- การทำอัลตร้าซาวด์และตรวจภายในเพื่อประเมินความปกติของมดลูก ปีกมดลูก และ รังไข่
- การตรวจดูความแข็งแรงของอสุจิ
รักษาโรคนี้ได้วิธีไหนบ้าง
การรักษาภาวะมีบุตรยากนั้นขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ตรวจพบ โดยแพทย์จะให้การรักษาเพื่อให้ตั้งครรภ์ตามธรรมชาติมากที่สุด อย่างไรก็ตามแม้จะรักษาตามสาเหตุแล้ว คู่สมรสบางคู่ก็ยังไม่สามารถมีบุตรได้และต้องใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยการเจริญพันธุ์ ซึ่งปัจจุบันมี 2 วิธีหลัก ได้แก่
1. การฉีดอสุจิเข้าสู่โพรงมดลูกโดยตรง (Intrauterine Insemination: IUI) เป็นการกระตุ้นให้ไข่ตกแล้วฉีดน้ำเชื้ออสุจิที่คัดเลือกเข้าไปในโพรงมดลูกของฝ่ายหญิง เพื่อให้ผสมกับไข่ในร่างกายของฝ่ายหญิง เป็นวิธีการรักษาสำหรับคนที่มีปัญหาไม่มาก [ดูรายละเอียดที่นี่]
2. การทำเด็กหลอดแก้ว แบ่งออกเป็น 2 แบบคือ
- การทำ IVF (In Vitro Fertilization) เป็นการนำไข่และอสุจิมาผสมกันให้เกิดการปฏิสนธิภายนอกร่างกายในห้องปฏิบัติการ จากนั้นนำไข่ที่ได้รับการผสมแล้ว (ตัวอ่อน) ย้ายกลับเข้าไปในมดลูกของฝ่ายหญิง เพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์ต่อไป
- การทำ ICSI (Intracytoplasmic Sperm Injection) เป็นการปฏิสนธินอกร่างกายโดยวิธีการคัดเลือกฉีดอสุจิที่ดีที่สุดหนึ่งตัวเข้าไปในเซลล์ไข่เพื่อทำให้เกิดกระบวนการปฏิสนธิ จากนั้นจึงจะนำไข่ที่ได้รับการผสมแล้ว (ตัวอ่อน) ย้ายกลับเข้าไปในมดลูกของฝ่ายหญิง เพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์ต่อไป
สัญญาณที่ต้องผ่าตัด
การกระตุ้นไข่ เก็บไข่ และแช่แข็งไข่ (Egg Stimulation and Embryo Freezing) เป็น 3 กระบวนการที่อยู่ในขั้นตอนการทำเด็กหลอดแก้ว
- ตรวจสุขภาพ - เพื่อคัดกรองโรคประจำตัว โรคติดเชื้อ หรือโรคที่อาจส่งต่อทางพันธุกรรม รวมถึงค่าฮอร์โมนที่สำคัญต่อการผลิตไข่ (ดูรายละเอียดที่นี่)
- ฉีดยากระตุ้นไข่ - แพทย์ให้ฉีดยาฮอร์โมนกระตุ้นไข่ด้วยตัวเองทุกวันที่บ้าน ประมาณ 8-12 วัน (ขึ้นกับแต่ละคน)
- ติดตามการเติบโตของไข่ - ระหว่างฉีดยาฮอร์โมนกระตุ้นไข่ แพทย์จะนัดมาตรวจเช็กขนาดและความคืบหน้าของการผลิตไข่ทุก 2-3 วัน และปรับยากระตุ้นตามผลการตรวจที่ออกมา ระหว่างฉีดยากระตุ้นไข่ ผู้เข้ารับบริการต้องรักษาสุขภาพเพื่อเอื้ออำนวยต่อการผลิตไข่ที่มีคุณภาพด้วย
- ฉีดยาให้ไข่สุก - เมื่อแพทย์ประเมินว่าขนาดและปริมาณไข่ที่ผลิตออกมาพร้อมต่อการเก็บแล้ว จะฉีดกระตุ้นให้ไข่สุก หลังจากฉีดยาครบ 34-36 ชั่วโมง ไข่จะสุกอย่างเต็มที่ แพทย์จะนัดเข้ามาเก็บไข่
- เก็บไข่ - วิสัญญีแพทย์ให้ยานอนหลับอ่อนๆ จากนั้นแพทย์จะเริ่มการดูดเก็บไข่ผ่านทางช่องคลอดออกมาฝ่ายหญิง
- เก็บเชื้ออสุจิ - ฝ่ายชายต้องเก็บอสุจิด้วยตัวเองส่งเจ้าหน้าที่ ถ้าเก็บด้วยตัวเองไม่ได้ แพทย์จะมีวิธีการเก็บให้ด้วยวิธีทางการแพทย์
- ปฏิสนธิ - นักวิทยาศาสตร์นำไข่และอสุจิมาปฏิสนธิในห้องแล็บเพื่อให้เกิดเป็นตัวอ่อน แล้วเพาะเลี้ยงให้ได้ระยะที่เหมาะสม
- แช่แข็งตัวอ่อน - ถ้ามีตัวอ่อนหลายตัว ตัวอ่อนที่ไม่ได้ใช้งานและยังแข็งแรง สามารถแช่แข็งไว้กับนักวิทยาศาสตร์เพาะเลี้ยงตัวอ่อน ถ้าในอนาคตอยากมีลูกอีก ก็กลับมาใช้ตัวอ่อนนี้ได้
ถ้าไม่พร้อมทำเด็กหลอดแก้ว แต่ฝ่ายหญิงอยู่ในวัยที่มีเซลล์ไข่ที่แข็งแรงสมบูรณ์ อยากเก็บไข่เอาไว้ก็เข้ามากระตุ้นไข่ เก็บไข่ และแช่แข็งไข่ไว้ก่อนได้
รู้จักการผ่าตัดนี้
ขั้นตอนการกระตุ้นไข่ ระหว่างที่ฉีดยากระตุ้นไข่ ผู้รับบริการต้องดูแลสุขภาพให้เหมาะสมเพื่อให้ร่างกายผลิตไข่ที่มีคุณภาพออกมาได้มากที่สุด เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียดหรือวิตกกังวลเกินไป ห้ามหักโหมออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ และงดมีเพศสัมพันธ์ชั่วคราว
- แพทย์จ่ายยาฮอร์โมนที่กระตุ้นให้ร่างกายผลิตเซลล์ไข่ออกมามากขึ้นกว่าปกติ มี 2 ประเภทคือ ยากินและยาฉีด แพทย์จะประเมินประเภทยาที่เหมาะต่อร่างกายผู้รับบริการ แต่ส่วนมากมักใช้ยาแบบฉีด หรือใช้ยาทั้ง 2 แบบร่วมกัน ส่วนปริมาณยาที่ฉีดจะขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของผู้รับบริการ
- ตำแหน่งในการฉีดยากระตุ้นไข่อยู่ที่ข้างสะดือห่างออกมาประมาณ 1 นิ้วมือ โดยจะต้องฉีดยากระตุ้นไข่ในเวลาเดียวกันทุกวัน อุปกรณ์การฉีดจะคล้ายกับปากกาที่ส่วนปลายสามารถเลื่อนปรับปริมาณยาตามแพทย์สั่งได้
- เมื่อถึงเวลาฉีดยา ให้ทำความสะอาดผิวด้วยแผ่นแอลกอฮอล์ก่อน จากนั้นประกอบหัวเข็มเข้ากับตัวอุปกรณ์ฉีดยา ปรับเลขปริมาณยาให้ถูกต้อง
- ถอดปลอกปิดหัวเข็มออก ตามด้วยถอดจุกยางออกจากเข็ม ลักษณะเข็มฉีดยากระตุ้นไข่จะเล็กและสั้นกว่าเข็มฉีดยาทั่วไป
- เปิดหน้าท้อง ใช้มืออีกข้างจับเนื้อหน้าท้องขึ้นมาเล็กน้อย แล้วกดเข็มลงไปในมุม 90 องศา หลังจากนั้นกดปลายปลอกอุปกรณ์ที่เป็นปุ่มลงไปให้สุด
- ระหว่างที่กดปลอกฉีดยาไว้ ให้มองตรงแถบตัวเลขตรงปลายปลอกฉีดยา ซึ่งต้องเลื่อนจากเลขปริมาณยาที่แพทย์แจ้งไว้กลับไปที่เลข 0 แล้วให้ค้างไว้สักครู่ก่อนจะถอดอุปกรณ์ออก
- ในทุก 2-3 วัน แพทย์จะนัดให้ผู้เข้ารับบริการกลับเข้ามาตรวจดูความสมบูรณ์และจำนวนไข่ที่ผลิตออกมา ร่วมกับเจาะเลือดตรวจดูการเปลี่ยนแปลงของค่าฮอร์โมน
ขั้นตอนการเก็บไข่ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที โดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
- ผู้รับบริการขึ้นนอนบนเตียงขาหยั่ง วิสัญญีแพทย์ให้สารยาและยานอนหลับอ่อนๆ ผ่านทางหลอดเลือด
- แพทย์ทำความสะอาดผิวช่องคลอดอีกครั้ง
- แพทย์สอดอุปกรณ์อัลตราซาวด์ที่ติดเข็มดูดเซลล์ไข่เข้าไปในช่องคลอด
- ภาพอัลตราซาวด์ภายในรังไข่จะปรากฎบนจอภาพ ทำให้แพทย์เห็นจำนวนและขนาดไข่แต่ละใบที่ต้องการจะเก็บ
- แพทย์ดูดเก็บเซลล์ไข่ผ่านทางหัวเข็มของเครื่องอัลตราซาวด์จนครบ
- เคลื่อนย้ายผู้เข้ารับบริการไปนอนพักยังห้องสังเกตอาการต่ออีก 1-2 ชม.
- ไข่/ตัวอ่อนที่เก็บได้ จะนำไปแช่แข็งในสารไนโตรเจนเหลวที่อุณหภูมิติดลบ -196 องศา
ขั้นตอนการปฏิสนธิ หลังจากเก็บไข่สำเร็จ แพทย์จะคัดเลือกอสุจิที่มีความสมบูรณ์และแข็งแรงที่สุดของฝ่ายชาย แล้วนำมาผสมกับไข่ที่เก็บมาได้จากฝ่ายหญิง โดยเจาะไข่เพื่อฉีดตัวอสุจิเข้าไปผสมกับไข่โดยตรงจนเกิดการปฏิสนธิเพื่อให้ได้ตัวอ่อนในที่สุด
ขั้นตอนเพาะเลี้ยงตัวอ่อน (Embryo Culture) เมื่อไข่กับอสุจิเกิดการปฏิสนธิแล้ว จะต้องทำการเพาะเลี้ยงตัวอ่อนเป็นระยะเวลาประมาณ 3-5 วันโดยจะนำมาตัวอ่อนมาเพาะเลี้ยงต่อในตู้เลี้ยงแบบพิเศษ นั่นก็คือ EmbryoScope Plus
ข้อดีของการเพาะเลี้ยงตัวอ่อนในตู้
- ระบบ Time Lapse สามารถติดตามการเติบโตของตัวอ่อนได้แบบ Real time โดยไม่ต้องเปิดตู้เลี้ยงตัวอ่อน ทำให้การเพาะเลี้ยงตัวอ่อนมีความต่อเนื่อง ไม่ต้องถูกนำออกมานอกตู้ซึ่งอาจจะเสี่ยงได้รับผลกระทบต่อตัวอ่อนได้
- ถ่ายทอดภาพขณะเติบโตอยู่ในตู้เลี้ยงออกมาให้เห็นได้เหมือนภาพวงจรปิด แพทย์ประเมินการพัฒนาการของตัวอ่อนได้อย่างแม่นยำ
- ช่วยส่งเสริมและสนับสนุนให้ตัวอ่อนเติบโต และพัฒนาตัวได้ดียิ่งขึ้น เพราะมีความปลอดภัยในการเลี้ยงตัวอ่อน ลดการรบกวนตัวอ่อนส่งผลให้ตัวอ่อนมีคุณภาพที่ดีและเจริญเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ข้อมูลการเจริญเติมโตของตัวอ่อน จะมีการบันทึกตลอดเวลา ทำให้แพทย์สามารถนำข้อมูลในส่วนนี้ไปคำนวนคะแนน (iDASCORE) ได้ และตัวอ่อนที่มีคะแนนเยอะ จะถูกคัดเลือกเข้าโพรงมดลูก จึงทำให้โอกาสตั้งครรภ์สูง
เมื่อตัวอ่อนเจริญเติบโตเต็มที่ในวันที่ 5 หรือระยะบลาสโตซีสต์ (Blastocyst) จะถูกนำไป “แช่แข็ง” เพื่อให้สามารถเก็บไว้ใช้ในภายหลังได้ การแช่แข็งตัวอ่อนจึงเป็นการคงสภาพตัวอ่อนให้มีประสิทธิภาพสดใหม่ รอวันที่คุณแม่มีสุขภาพและมดลูกที่พร้อมในการฝังตัวอ่อนไปที่โพรงมดลูก ทำให้มั่นใจได้ว่าการตั้งครรภ์จะมีศักยภาพสูงสุด
โดยจะใช้วิธีแช่แข็งไข่แบบ Vitrification หรือ การแช่แข็งตัวอ่อนแบบผลึกแก้ว นำไข่หรือตัวอ่อนแช่ลงในน้ำยาที่มีสารป้องกันความเย็นที่มีความเข้มข้นสูงเพื่อให้เซลล์ขาดน้ำอย่างรวดเร็ว ไข่หรือตัวอ่อนจะถูกวางลงในหลอดขนาดเล็กซึ่งจะช่วยให้ระบายความร้อนได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นจะนำหลอดที่มีตัวอ่อนหรือไข่จุ่มลงในไนโตรเจนเหลวที่ -196 องศา
การแช่แข็งแบบผลึกแก้ว มีอัตราการรอดชีวิตของตัวอ่อนและไข่สูงกว่าวิธีการแช่แข็งแบบเดิม พบว่าอัตราการรอดของตัวอ่อนหลังละลาย สูงขึ้นถึงเกือบ 90-100% ทำให้เพิ่มอัตราการตั้งครรภ์และยังสามารถเก็บรักษาตัวอ่อนและอสุจิได้เป็นระยะเวลานาน
เปรียบเทียบการผ่าตัดวิธีต่างๆ
ICSI และ IVF ต่างกันยังไง?
การทำเด็กหลอดแก้ว หรือ IVF คือการคัดไข่ที่สมบูรณ์จากฝ่ายหญิงและอสุจิที่แข็งแรงจากฝ่ายชายมาผสมกันภายนอก โดยปล่อยให้เกิดการปฏิสนธิกันเอง เมื่อไข่ผสมกันแล้วจะถูกนำไปเลี้ยงในห้องปฏิบัติการจนเจริญเป็นตัวอ่อน และนำกลับไปในโพรงมดลูกเพื่อให้เจริญเติบโตในครรภ์
ถ้าฝ่ายชายมีอสุจิน้อยหรือคุณภาพไม่ดี เช่น เคลื่อนไหวน้อย รูปร่างผิดปกติ หรือมีความผิดปกติในการหลั่งน้ำอสุจิ จนทำให้ไม่มีตัวอสุจิที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ แพทย์จะทำ ICSI ในขั้นตอนผสมไข่
ความแตกต่างของ IVF และ ICSI
- IVF เป็นการปล่อยให้ตัวอสุจิและไข่ผสมกันเองในห้องปฏิบัติการณ์
- ICSI เป็นการทำให้เกิดการปฏิสนธิแบบเจาะจงระหว่างไข่ 1 ใบ และอสุจิ 1 ตัวที่ถูกคัดเลือกมาแล้ว มีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด
- ควรนัดตรวจสุขภาพกับแพทย์ในวันที่มีประจำเดือน 2-3 วันแรก
- ตรวจสุขภาพ ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง วัดความดัน ให้แพทย์ซักประวัติโรคประจำตัว ประวัติแพ้ยา ประวัติการตั้งครรภ์ในอดีต ความผิดปกติเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ในอดีต ประวัติรอบประจำเดือน
- งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 3 เดือนก่อนเริ่มกระบวนการกระตุ้นไข่
- เก็บตัวอย่างเลือดเพื่อเช็กความเสี่ยงโรคประจำตัว โรคที่ส่งต่อได้ทางพันธุกรรม รวมถึงเช็กค่าฮอร์โมนที่จำเป็นต่อการกระตุ้นไข่ เช่น
- ฮอร์โมน Estradiol หรือ E2 เป็นฮอร์โมนเพศหญิงในกลุ่มฮอร์โมนเอสโตนเจน (Estrogen) ที่ผลิตมาจากรังไข่ ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของระบบสืบพันธุ์ เช่น การตกไข่ รอบประจำเดือน
- ฮอร์โมน Follicle Stimulating Hormone หรือ FSH ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของเซลล์ไข่ และกระตุ้นการตกไข่
- ฮอร์โมน Luteinizing Hormone หรือ LH ทำหน้าที่ควบคุมรอบการมีประจำเดือน กระตุ้นให้เกิดการผลิตไข่และการตกไข่
- ฮอร์โมน Anti-Mullerian Hormone หรือ AMH เป็นฮอร์โมนบ่งชี้ประสิทธิภาพการทำงานของรังไข่ รวมถึงบอกปริมาณการผลิตไข่
- ตรวจอัลตราซาวด์ดูสภาพรังไข่ อุ้งเชิงกราน และความเสี่ยงในเกิดความผิดปกติที่อวัยวะสืบพันธุ์ เช่น เนื้องอก ถุงน้ำในรังไข่ เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
- ฟังผลตรวจสุขภาพกับแพทย์ หากผลตรวจไม่พบความผิดปกติและพร้อมต่อการกระตุ้นไข่ ก็จะเข้าสู่กระบวนการกระตุ้นไข่ต่อไป
การเตรียมตัวก่อนเก็บไข่
จากขั้นตอนการกระกระตุ้นไข่ หลังจากแพทย์ตรวจพบว่า ปริมาณไข่มีมากพอตามความต้องการและเติบโตอย่างมีคุณภาพเต็มที่แล้ว แพทย์จะจ่ายยาฉีดเพื่อให้ไข่สุก และจะนัดหมายวันเก็บไข่ ซึ่งโดยทั่วไปวันเก็บไข่จะมีขึ้นหลังฉีดยาให้ไข่สุกแล้วประมาณ 34-36 ชม.
- ทำใจให้สบาย ไม่ต้องเครียด
- งดน้ำและงดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง
- งดแต่งหน้า งดทาเล็บ งดฉีดน้ำหอม และงดใส่คอนแทคเลนส์
- ทำความสะอาดร่างกายให้สะอาดเสียก่อนเดินทางมาสถานพยาบาล
- เดินทางมาก่อนเวลาเก็บไข่อย่างน้อยประมาณ 2 ชั่วโมง เพื่อเตรียมตัวกับแพทย์ล่วงหน้าก่อน
- พาญาติหรือคนสนิทมาด้วย เพื่อพาเดินทางกลับบ้าน
- ไม่พกของมีค่าหรือเครื่องประดับมาสถานพยาบาลด้วย เพื่อป้องกันการสูญหาย
- ปัสสาวะให้เรียบร้อยก่อนเข้าห้องเก็บไข่
การดูแลหลังผ่าตัด
- ไม่ควรขับรถกลับบ้านเอง เนื่องจากอาจยังง่วงซึมจากยาสลบอยู่ ควรให้ญาติเป็นคนพากลับ
- พักผ่อนให้มากๆ ในช่วง 2-3 วันแรกหลังเก็บไข่
- กินยาบรรเทาอาการตามที่แพทย์สั่งจ่ายให้
- งดยกของหนักและงดออกกำลังกายอย่างหนัก 1 สัปดาห์หลังเก็บไข่
หากพบอาการปวดท้องมาก คลื่นไส้อาเจียนอย่างหนัก มีไข้สูง หน้ามืดจะเป็นลม หายใจลำบาก ท้องบวมโต ให้รีบกลับมาพบแพทย์โดยทันที
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ระหว่างกระบวนการกระตุ้นไข่ เก็บไข่ และแช่แข็งไข่
- การได้จำนวน ขนาดไข่ หรือคุณภาพของไข่ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
- เกิดปัญหาไข่ไม่สุกตามระยะเวลาที่วางแผนเอาไว้
- เกิดภาวะรังไข่ถูกกระตุ้นมากเกินไป (Ovarian Hyperstimulation Syndrome: OHSS) จนเกิดปัญหาน้ำหนักตัวมากผิดปกติ มีน้ำในช่องอกและช่องท้อง ท้องอืดแน่นท้อง คลื่นไส้อาเจียน
- ภาวะติดเชื้อที่ช่องคลอดหรือรังไข่
- ภาวะเลือดออกที่ช่องคลอด
- การได้รับบาดเจ็บที่อวัยวะข้างเคียง เช่น กระเพาะปัสสาวะ ลำไส้
สาขาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา
พ.ต.ท.ดร.นพ. สุธรรม สุธาพร (หมอปอนด์)
คุณหมอสูตินรีเวช ปริญญาเอกและเกียรตินิยมอันดับ 1 ชำนาญด้านการผ่าตัดส่องกล้องสำหรับผู้ที่มีบุตรยากหรือมีปัญหาสุขภาพผู้หญิง
ข้อมูลของแพทย์
- แพทยศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (เกียรตินิยมอันดับ 1)
- สูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา
- อนุสาขาเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์
- ปริญญาโท เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ มหาวิทยาลัยนอตติงแฮม ประเทศอังกฤษ (เกียรตินิยม)
- ปริญญาเอก สูติศาสตร์และนรีเวชวิทยาด้านการเจริญพันธุ์ มหาวิทยาลัยนอตติงแฮม ประเทศอังกฤษ
ข้อมูลอื่นของแพทย์
- สูติแพทย์ชำนาญการด้านการผ่าตัดส่องกล้องและส่องกล้องสำหรับภาวะมีบุตรยากและภาวะความผิดปกติต่างๆทางนรีเวช
- การคุมกำเนิด
- สูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา
- ประสบการณ์ผ่าตัดมากกว่า 10 ปี
- เทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ IVF/ICSI/IUI
- ภาวะมีบุตรยากชายและหญิง
- การตรวจวินิจฉัยคัดกรองความผิดปกติทางพันธุกรรมของตัวอ่อนก่อนฝังตัว(PGT)
- การดูแลหญิงวัยหมดประจำเดือน: การบำบัดด้วยฮอร์โมนวัยหมดประจำเดือน(MHT), โรคกระดูกพรุน
-เวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ด้านต่อมไร้ท่อ : PCOS