ตรวจระบบทางเดินอาหาร ด้วยการส่องกล้อง
รายละเอียด
HDcare สรุปให้
เมื่อไหร่ควรส่องกล้องตรวจระบบทางเดินอาหาร
- มีอายุ 45 ปีขึ้นไป หรือมีอายุมากกว่า 40 ปี ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่ หรือติ่งเนื้อลำไส้ใหญ่
- ปวดท้อง ท้องอืด และมีอาการเกร็งในท้อง ไม่ผายลมร่วมกับอาการท้องอืด
- เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- อาเจียนเป็นเลือดหรือถ่ายอุจจาระเป็นเลือด
- มีภาวะโลหิตจางโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ท้องเสียสลับกับท้องผูก เบ่งถ่ายอุจจาระแล้วมีติ่งเนื้อยื่นออกมาจากทวารหนัก และมีเลือดออก
ส่องกล้องตรวจระบบทางเดินอาหารส่วนต้น (Gastroscopy)
- วิสัญญีแพทย์พ่นยาชาในคอ ให้นอนตะแคงซ้าย และให้ยานอนหลับ แพทย์ใช้กล้องสอดเข้าทางปากเพื่อตรวจหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กส่วนต้น เพื่อตรวจสิ่งผิดปกติ และทำการตัดชิ้นเนื้อออกมาตรวจหาเชื้อแบคทีเรียหรือความผิดปกติอื่นเพิ่มเติม
- ใช้เวลาตรวจประมาณ 10-15 นาที
- พักที่ห้องพักฟื้น 1-2 ชั่วโมง หรือจนกว่าจะตื่นดี
ส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy)
- วิสัญญีแพทย์จะให้ยานอนหลับและอาจให้ยาแก้ปวดร่วมด้วย ให้คนไข้นอนตะแคงซ้ายในท่างอเข่าชิดกับหน้าอก แพทย์ใช้กล้องสอดเข้าทางทวารหนักเพื่อตรวจลำไส้ใหญ่ ถ้าหากพบความผิดปกติจะตัดชิ้นเนื้อไปส่งตรวจเพิ่มเติม
- ใช้เวลาตรวจประมาณ 20-30 นาที
- พักฟื้น 1-2 ชั่วโมง หรือจนกว่าจะตื่นดี
สัญญาณที่ต้องตรวจ
ทำไมต้องตรวจระบบทางเดินอาหาร?
การตรวจระบบทางเดินอาหารและลำไส้ใหญ่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะโรคในระบบทางเดินอาหารมักไม่แสดงอาการอย่างชัดเจน กว่าจะรู้ตัวก็อาการรุนแรงมากจนยากต่อการรักษา เช่น โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคลำไส้อักเสบ หรือโรคติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร
ปัจจุบันสามารถตรวจระบบทางเดินอาหารได้ด้วยการส่องกล้อง ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 ส่วนหลักๆ ได้แก่ การส่องกล้องตรวจระบบทางเดินอาหารส่วนต้น และการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ โดยมีรายละเอียดดังนี้
การส่องกล้องตรวจระบบทางเดินอาหารส่วนต้น
การส่องกล้องตรวจระบบทางเดินอาหารส่วนต้น (Gastroscopy) คือ การใช้กล้องชนิดอ่อนที่ติดอยู่กับท่อขนาดเล็กที่สามารถปรับโค้งงอได้ มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร ใส่ผ่านเข้าทางปาก เพื่อตรวจหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กส่วนต้น แพทย์จะสามารถดูได้ว่า อวัยวะใดมีการอักเสบ เป็นแผล มีเนื้องอก หรือมีการตีบตันไหม และถ้าหากตรวจพบความผิดปกติ แพทย์สามารถใส่เครื่องมือเข้าไปทำการรักษาได้
การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่
การส่องกล้องตรวจระบบทางเดินอาหารส่วนล่าง (Colonoscopy) หรือที่นิยมเรียกกันว่า “ส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่” จะใช้กล้องชนิดอ่อนเหมือนกับการตรวจระบบทางเดินอาหารส่วนต้น แต่แพทย์จะใส่ผ่านทางปากทวารหนักขึ้นไปจนถึงลำไส้ใหญ่ทั้งหมด และลำไส้เล็กส่วนปลาย
รู้จักการผ่าตัดนี้
ใครที่ควรส่องกล้องตรวจระบบทางเดินอาหารและลำไส้ใหญ่
ผู้ที่ควรเข้ารับการส่องกล้องตรวจระบบทางเดินอาหารและลำไส้ใหญ่ มีดังนี้
- ผู้ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป
- ผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่ หรือติ่งเนื้อลำไส้ใหญ่
- ปวดท้อง ท้องอืด และมีอาการเกร็งในท้อง
- ไม่ผายลมร่วมกับอาการท้องอืด
- เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- อาเจียนเป็นเลือด
- ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด
- ตรวจพบภาวะโลหิตจางโดยไม่ทราบสาเหตุ
- มีอาการท้องเสียสลับกับท้องผูก
- เบ่งถ่ายอุจจาระ แล้วมีติ่งเนื้อยื่นออกมาจากทวารหนัก และมีเลือดออก
ขั้นตอนการตรวจระบบทางเดินอาหารส่วนต้นและลำไส้ใหญ่?
การส่องกล้องตรวจระบบทางเดินอาหารส่วนต้น มีขั้นตอนดังนี้
- วิสัญญีแพทย์ทำการพ่นยาชาในคอ ให้คนไข้นอนตะแคงซ้าย และให้ยานอนหลับ
- แพทย์ทำการส่องกล้องตรวจเข้าทางปากผ่านลำคอไปยังกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กส่วนต้น เพื่อตรวจดูภายในว่ามีสิ่งใดผิดปกติไหม และทำการตัดชิ้นเนื้อออกมาตรวจหาเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหาร หรือตรวจทางพยาธิวิทยาเพิ่มเติม
- หลังจากตรวจเสร็จแล้ว แพทย์จะส่งคนไข้ไปที่นอนพักที่ห้องพักฟื้น 1-2 ชั่วโมง หรือจนกว่าจะตื่นดี แล้วค่อยรายงานผลการตรวจส่องส่องกล้องเบื้องต้นให้ผู้เข้ารับการตรวจทราบ
การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ มีขั้นตอนดังนี้
- แพทย์จะให้คนไข้นอนตะแคงซ้ายในท่างอเข่าชิดกับหน้าอก
- วิสัญญีแพทย์จะให้ยานอนหลับและอาจให้ยาแก้ปวดร่วมด้วย
- แพทย์ทำการใส่กล้องส่องตรวจเข้าทวารหนักเพื่อตรวจลำไส้ใหญ่ ถ้าหากพบความผิดปกติ หรือรอยโรคในลำไส้ใหญ่ก็จะตัดชิ้นเนื้อไปส่งตรวจทางพยาธิวิทยาเพิ่มเติม
- หลังจากตรวจเสร็จแล้ว แพทย์จะส่งคนไข้ไปที่นอนพักที่ห้องพักฟื้น 1-2 ชั่วโมง หรือจนกว่าจะตื่นดี แล้วค่อยรายงานผลการตรวจส่องส่องกล้องเบื้องต้นให้คนไข้ทราบ
การส่องกล้องตรวจระบบทางเดินอาหารใช้ระยะเวลาเท่าใด?
การส่องกล้องตรวจระบบทางเดินอาหารส่วนต้นจะใช้ระยะเวลาประมาณ 10-15 นาที ส่วนการตรวจส่องกล้องลำไส้ใหญ่ จะใช้ระยะเวลาประมาณ 20-30 นาที
การส่องกล้องตรวจระบบทางเดินอาหารต้องพักฟื้นนานเท่าไหร่?
หลังจากเข้ารับการส่องกล้องตรวจระบบทางเดินอาหารส่วนต้นและลำไส้ใหญ่ แพทย์จะให้นอนพักเพื่อดูอาการประมาณ 1-2 ชั่วโมง ถ้าหากไม่มีอาการผิดปกติก็สามารถกลับบ้านได้เลย
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด
การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการส่องกล้องเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะจะช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการตรวจ ทำให้การตรวจเป็นไปอย่างปลอดภัยมากขึ้น โดยแพทย์จะแนะนำให้เตรียมตัวดังนี้
- งดอาหารและดื่มน้ำก่อนเข้ารับการตรวจ เพื่อให้แพทย์สามารถมองเห็นบริเวณต่าง ๆ ภายในได้อย่างชัดเจน
- หากมีโรคประจำตัว มีประวัติแพ้ยา กำลังกินยารักษาโรคหรือมีภาวะใดอยู่ จะต้องแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนเข้ารับการตรวจ
- งดยาละลายลิ่มเลือด หรือยาที่มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน (Aspirin) วาร์ฟาริน (Warfarin) หรือคลอพิโดเกรล (Clopidogrel) ก่อนเข้ารับการตรวจอย่างน้อย 7-10 วัน เนื่องจากจะทำให้เสี่ยงต่อการมีเลือดออกระหว่างส่องกล้อง
- งดยารักษาอาการอาหารไม่ย่อย อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนเข้ารับการตรวจ
- ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลิน สามารถฉีดยาได้ แต่จะต้องปรับเปลี่ยนปริมาณในการใช้ให้เหมาะสม
- ผู้ที่เป็นโรคเรื้อรังที่ต้องรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ เช่น โรคหัวใจ โรคไทรอยด์ หรือภาวะความดันโลหิตสูง สามารถรับประทานยาได้ตามปกติ แต่ให้จิบน้ำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
- ควรรับประทานอาหารอ่อนและงดอาหารที่มีกากใย เช่น ผัก ผลไม้ และถั่ว ล่วงหน้า 2-3 วัน
- การส่องกล้องจะใช้ยาระงับความรู้สึกก่อนเข้ารับการตรวจ ซึ่งจะส่งผลให้รู้สึกง่วงนอน มึนงง และบกพร่องทางการตัดสินใจชั่วคราว ควรหลีกเลี่ยงการขับรถ ทำงานที่ใช้เครื่องจักร และควรพาญาติมารับกลับบ้านในวันที่ตรวจ
- ในกรณีที่ตรวจส่องกล้องลำไส้ใหญ่ อาจมีการเตรียมลำไส้ หรือสวนอุจจาระก่อนตรวจ
การดูแลหลังผ่าตัด
หลังจากที่แพทย์อนุญาตให้กลับไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้แล้ว คนไข้จะต้องปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ร่างกายสามารถฟื้นฟูได้เร็วขึ้น และป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย ดังนี้
- งดดื่มน้ำและรับประทานอาหารจนกว่าคอจะหายชา
- เมื่อคอหายชาแล้ว ให้เริ่มจากการจิบน้ำก่อน ถ้าไม่สำลักก็สามารถดื่มน้ำได้
- ควรรับประทานอาหารอ่อนในช่วง 2-3 วันแรกหลังการส่องกล้อง เนื่องจากยังมีอาการเจ็บคออยู่
- ในช่วงแรกหลังตรวจ อาจบ้วนน้ำลายแล้วมีเลือดปนเล็กน้อย แต่ถ้ามีมากผิดปกติ ให้แจ้งทางแพทย์ทันที
- หลังจากตรวจส่องกล้องแล้ว ในวันถัดไปก็สามารถกลับมาออกกำลังกายและทำงานได้ตามปกติ
- หลังจากส่องกล้องตรวจระบบทางเดินอาหารและลำไส้ใหญ่เสร็จแล้ว คนไข้อาจยังได้รับผลข้างเคียงจากการใช้ยาระงับความรู้สึกอยู่ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน มึนงง หรือง่วงนอน ซึ่งส่วนใหญ่อาการจะกลับมาเป็นปกติในวันถัดไป แต่ถ้าหากอาการไม่ดีขึ้น หรือมีผลข้างเคียงอื่นๆ เช่น อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ กลืนลำบาก ปวดช่องท้อง หรือมีไข้สูง จะต้องรีบไปพบแพทย์ทันที
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
แม้ว่าการส่องกล้องเป็นการตรวจที่มีความปลอดภัยสูง และมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้น้อยมาก แต่ก็มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้เช่นกัน ดังนี้
- ผลข้างเคียงจากยาระงับความรู้สึก เช่น คลื่นไส้ อาเจียน แสบร้อนบริเวณแผลฉีดยา หายใจลำบาก หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือมีเศษอาหารตกลงไปยังปอดจนทำให้เกิดการอักเสบตามมา
- เลือดออก เกิดจากการที่กล้องเอนโดสโคปไปทำให้หลอดเลือดเสียหาย โดยสังเกตได้จากการอาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำคล้ายยางมะตอย สามารถรักษาได้ด้วยการส่องกล้องอีกครั้ง
- ติดเชื้อ มักเกิดจากการส่องกล้องร่วมกับการตรวจอื่นๆ อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อที่เกิดขึ้นมักเป็นการติดเชื้อที่ไม่รุนแรง และสามารถรักษาได้ด้วยการรับประทานยาปฏิชีวนะ
- แผลทะลุ เกิดจากกล้องเอนโดสโคปไปโดนหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร หรือลำไส้เล็กส่วนบนจนทำให้เกิดรูทะลุขึ้น สามารถสังเกตอาการได้จากการปวดช่องท้อง หน้าอก หรือคอ กลืนแล้วเจ็บ มีไข้สูง หรือหายใจลำบาก