
การทำ ICSI เพิ่มโอกาสการได้ตัวอ่อนมากกว่าการทำ IVF ถึง 90%
เพิ่มโอกาสท้อง ด้วยตู้เลี้ยงตัวอ่อนพิเศษ EmbryoScope Plus ที่ได้ตัวอ่อนที่แข็งแรงกว่า
ค่าใช้จ่ายไม่บาน ราคานี้รวมยากระตุ้นไข่สูงสุด 3,800 ยูนิตแล้ว (ปกติใช้ไม่เกิน 3,500 ยูนิต)
ปรึกษาหมอปอนด์ ปริญญาเอกด้านการเจริญพันธุ์ ทำ ICSI สำเร็จแล้วหลายร้อยเคส
รายละเอียด
รู้จักการผ่าตัดนี้

แพ็กเกจนี้รวมอะไรบ้าง

- การกระตุ้นไข่ ใช้ยากระตุ้นไข่ ไม่เกิน 3,800 ยูนิต ครอบคลุมมากกว่าจำนวนที่ใช้กันทั่วไป 3,500 ยูนิต
- การเก็บไข่ รวมค่าดมยาสลบขณะเก็บไข่ ภายใต้การดูแลของวิสัญญีแพทย์ ช่วยให้หายกังวลเร่ืองความเจ็บขณะเก็บไข่
- กระบวนการปฏิสนธิ (ICSI) ผสมอสุจิที่แข็งแรงกับไข่โดยตรงเพื่อกระตุ้นการปฏิสนธิ
- การเพาะเลี้ยงตัวอ่อน เลี้ยงตัวอ่อนหลังจากการผสมด้วยตู้เลี้ยงแบบพิเศษ EmbryoScope Plus สามารถดูการพัฒนาของตัวอ่อนแบบ Real Time
- แช่แข็งตัวอ่อน แช่แข็งตัวอ่อน 8 ตัวในปีแรก เพื่อรอคุณแม่เตรียมสุขภาพและมดลูกให้พร้อมที่สุดในการย้ายตัวอ่อนไปใส่ในโพรงมดลูกต่อไป
- ครอบคุลมค่าบริการอื่นๆ ครอบคลุมค่าบริการคลินิก ค่าพยาบาลและค่าแพทย์แล้ว
กระบวนการกระตุ้นไข่ เก็บไข่ และแช่แข็งตัวอ่อน/ไข่ คืออะไร?
การกระตุ้นไข่ เก็บไข่ และแช่แข็งไข่ (Egg Stimulation and Embryo Freezing) เป็น 3 กระบวนการที่อยู่ในขั้นตอนการทำเด็กหลอดแก้ว (In-Vitro Fertilization: IVF) ซึ่งเป็นวิธีรักษาภาวะมีบุตรยาก โดยแพทย์จะเก็บไข่ออกมาจากรังไข่ของฝ่ายหญิง และเก็บเชื้ออสุจิจากฝ่ายชาย ก่อนนำมาปฏิสนธิในห้องปฏิบัติการณ์เพื่อให้เกิดเป็นตัวอ่อน
จากนั้นแพทย์จะใส่ตัวอ่อนที่แข็งแรงที่สุดเข้าไปในร่างกายฝ่ายหญิงเพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์ ในกรณีที่มีตัวอ่อนหลายตัว ตัวอ่อนที่ไม่ได้ใช้งานและยังแข็งแรง คู่รักสามารถแช่แข็งไว้กับนักวิทยาศาสตร์เพาะเลี้ยงตัวอ่อนได้ เพื่อให้ในอนาคตหากต้องการมีลูกอีก ก็ยังสามารถกลับมาใช้ตัวอ่อนนี้ได้
หากคู่รักยังไม่พร้อมที่จะทำเด็กหลอดแก้วหรือมีบุตรในทันที แต่ฝ่ายหญิงอยู่ในช่วงวัยที่เซลล์ไข่กำลังแข็งแรงสมบูรณ์ และอยากเก็บไข่เอาไว้สำหรับการมีบุตรในอนาคต ก็สามารถเข้ามารับบริการกระตุ้นไข่ผ่านคำแนะนำจากแพทย์ จากนั้นเก็บไข่ออกมา และแช่แข็งไข่ฝากไว้กับแพทย์และนักวิทยาศาสตร์เพาะเลี้ยงตัวอ่อนได้เช่นกัน
ความสำคัญของกระบวนการกระตุ้นไข่ เก็บไข่ และแช่แข็งตัวอ่อน/ไข่
จากปกติผู้หญิงจะตกไข่แค่เดือนละใบและไข่ใบนั้นจะต้องรออสุจิเคลื่อนที่มาเจอภายในร่างกานผู้หญิง ซึ่งระหว่างทางจะมีอสุจิตายไปเป็นจำนวนมากอาจไม่เกิดการปฏิสนธิขึ้น
กระบวนการกระตุ้นไข่ เก็บไข่ และแช่แข็งตัวอ่อน เป็นการเพิ่มจำนวนไข่ให้มากที่สุดเพื่อที่จะนำมาปฏิสนธิกับอสุจิภายนอกร่างกาย และคัดเลือกตัวอ่อนที่มีคุณภาพมากที่สุดนำมาใช้เพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์ ทำให้มีอัตราการตั้งครรภ์ที่สูง อีกทั้งยังสามารถตรวจความผิดปกติของโครโมโซมในตัวอ่อนเพื่อหลีกเลี่ยงโรคทางพันธุกรรม เช่น กลุ่มอาการดาวน์ซินโดรม (Down syndrome), โรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia) อีกด้วย
ในกรณีทีคู่ชาย หญิงนั้นๆ ยังไม่พร้อมมีบุตรตอนนี้แต่ตั้งใจว่าจะมีบุตรในอนาคต การฝากไข่ เมื่ออายุยังน้อย ซึ่งกระบวนการจะเหมือนกับการกระตุ้นไข่ เก็บไข่ และแช่แข็งตัวอ่อน ยกเว้นจะไม่มีการปฏิสนธิไข่กับอสุจิเป็นตัวอ่อน จะเป็นการแช่แข็งไข่โดยตรงโดยแทน
การแช่แข็งไข่เป็นเหมือนวิธี “หยุดเวลา” เพื่อให้ไข่ที่เก็บไว้มีอายุคงที่ ไม่เพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้นแม้เวลาผ่านไป 10 ปี ความสมบูรณ์ของไข่ก็จะยังเท่ากับอายุของฝ่ายหญิงที่มาเก็บไข่ ณ ตอนนั้น ซึ่งไข่จะสามารถเก็บไว้ได้จนกว่าคู่รักจะพร้อมนำไข่ออกมาใช้
ใครเหมาะต่อการกระตุ้นไข่ เก็บไข่ และแช่แข็งไข่/ตัวอ่อน
- คู่รักที่วางแผนจะมีบุตรในอนาคต แต่อยากจะแช่แข็งไข่ที่มีคุณภาพเก็บเอาไว้ก่อน
- คู่รักที่วางแผนจะมีบุตรในช่วงหลังอายุ 35 ปีขึ้นไป
- คู่รักที่มีภาวะมีบุตรยาก
- คู่รักที่วางแผนจะมีบุตรด้วยการทำเด็กหลอดแก้ว
- ผู้ที่จำเป็นต้องรักษาโรคด้วยการฉายรังสี ผ่าตัด หรือวิธีการรักษาที่อาจสร้างความเสียหายให้กับรังไข่ จึงอยากเก็บปริมาณไข่ที่มีคุณภาพและมากพอเอาไว้ก่อน
- ผู้ที่มีความผิดปกติที่รังไข่ จนทำให้รังไข่เสื่อมตัวหรือทำงานผิดปกติเร็วกว่าวัยอันควร
ลำดับขั้นตอนการกระตุ้นไข่ เก็บไข่ และแช่แข็งไข่
- ผู้เข้ารับบริการตรวจสุขภาพอย่างละเอียดกับแพทย์เพื่อคัดกรองโรคประจำตัว โรคติดเชื้อ หรือโรคที่อาจส่งต่อทางพันธุกรรม รวมถึงค่าฮอร์โมนที่สำคัญต่อการผลิตไข่
- หากแพทย์ประเมินว่าร่างกายพร้อมต่อการเก็บไข่ จะเข้าสู่ขั้นตอนกระตุ้นไข่ ด้วยการฉีดยาฮอร์โมนกระตุ้นไข่ทุกวัน ประมาณ 8-12 วัน ขึ้นอยู่กับการประเมินจากแพทย์ โดยแพทย์จะสอนให้ผู้เข้ารับบริการฉีดยากระตุ้นเองที่บ้าน หรือหากไม่มั่นใจ ก็สามารถเดินทางมาให้ทางโรงพยาบาลฉีดให้ทุกวันได้
- ในระหว่างฉีดยาฮอร์โมนกระตุ้นไข่ แพทย์จะนัดผู้เข้ารับบริการให้มาตรวจเช็กขนาดและความคืบหน้าของการผลิตไข่ทุก 2-3 วัน และจะปรับยากระตุ้นตามผลการตรวจที่ออกมา ระหว่างฉีดยากระตุ้นไข่ ผู้เข้ารับบริการต้องรักษาสุขภาพเพื่อเอื้ออำนวยต่อการผลิตไข่ที่มีคุณภาพด้วย
- เมื่อแพทย์ประเมินว่าขนาดและปริมาณไข่ที่ผลิตออกมาพร้อมต่อการเก็บแล้ว จะฉีดกระตุ้นให้ไข่สุกและพร้อมเก็บออกมาจากร่างกายเพื่อนำไปแช่แข็ง โดยหลังจากฉีดยาครบ 34-36 ชั่วโมง ไข่จะสุกอย่างเต็มที่
- แพทย์นัดหมายให้เข้ามาทำหัตถการเก็บไข่ โดยวิสัญญีแพทย์จะให้ยานอนหลับอ่อนๆ จากนั้นจึงเริ่มการดูดเก็บไข่ผ่านทางช่องคลอดออกมา
- แพทย์คัดเลือกไข่ที่สมบูรณ์และพร้อมใช้งาน จากนั้นนักวิทยาศาสตร์เพาะเลี้ยงตัวอ่อนจะนำไข่ไปแช่แข็งต่อไป ถ้าเป็นกรณีแช่แข็งตัวอ่อนจะนำไข่ไปผสมกับอสุจิจนเป็นตัวอ่อนแล้วเลี้ยงในห้องปฏิบัติการเป็นเวลา 5 วันก่อนที่จะทำการแช่แข็ง
ระยะเวลาตั้งแต่กระตุ้นไข่จนถึงแช่แข็งไข่ ใช้เวลานานเท่าไร?
ระยะเวลาตั้งแต่เริ่มฉีดยากระตุ้นไข่ไปจนถึงแช่แข็งไข่จะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ตามกระบวนการต่อไปนี้
- ตรวจสุขภาพ โดยทั่วไปใช้เวลาเพียง 1 วัน
- กระตุ้นไข่ 8-12 วัน
- เก็บไข่เพื่อนำไปแช่แข็ง 1 วัน
ขั้นตอนการกระตุ้นไข่

ระหว่างที่ฉีดยากระตุ้นไข่ ผู้เข้ารับบริการต้องดูแลสุขภาพให้เหมาะสมเพื่อให้ร่างกายสามารถผลิตไข่ที่มีคุณภาพออกมาได้มากที่สุด เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียดหรือวิตกกังวลเกินไป ห้ามหักโหมออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ และงดมีเพศสัมพันธ์ชั่วคราว
- แพทย์จะจ่ายยาฮอร์โมนซึ่งมีคุณสมบัติกระตุ้นให้ร่างกายผลิตเซลล์ไข่ออกมามากขึ้นกว่าปกติ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ ยากินและยาฉีด แพทย์จะเป็นผู้ประเมินประเภทยาที่เหมาะต่อร่างกายของผู้เข้ารับบริการ แต่โดยส่วนมากมักใช้ยาแบบฉีด หรือใช้ยาทั้ง 2 แบบร่วมกัน ส่วนปริมาณยาที่ฉีดจะขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของผู้เข้ารับบริการ
- ตำแหน่งในการฉีดยากระตุ้นไข่จะอยู่ที่ข้างสะดือห่างออกมาราว 1 นิ้วมือ ผู้เข้ารับบริการต้องฉีดยากระตุ้นไข่ในเวลาเดียวกันทุกวัน อุปกรณ์การฉีดจะคล้ายกับปากกาที่ส่วนปลายสามารถเลื่อนปรับปริมาณยาตามแพทย์สั่งได้
- เมื่อถึงเวลาฉีดยา ให้ทำความสะอาดผิวด้วยแผ่นแอลกอฮอล์ก่อน จากนั้นประกอบหัวเข็มเข้ากับตัวอุปกรณ์ฉีดยา ปรับเลขปริมาณยาให้ถูกต้อง
- ถอดปลอกปิดหัวเข็มออก ตามด้วยถอดจุกยางออกจากเข็ม ลักษณะเข็มฉีดยากระตุ้นไข่จะเล็กและสั้นกว่าเข็มฉีดยาทั่วไป
- เปิดหน้าท้อง ใช้มืออีกข้างจับเนื้อหน้าท้องขึ้นมาเล็กน้อย แล้วกดเข็มลงไปในมุม 90 องศา หลังจากนั้นกดปลายปลอกอุปกรณ์ที่เป็นปุ่มลงไปให้สุด
- ระหว่างที่กดปลอกฉีดยาไว้ ให้มองตรงแถบตัวเลขตรงปลายปลอกฉีดยา ซึ่งต้องเลื่อนจากเลขปริมาณยาที่แพทย์แจ้งไว้กลับไปที่เลข 0 แล้วให้ค้างไว้สักครู่ก่อนจะถอดอุปกรณ์ออก
- ในทุก 2-3 วัน แพทย์จะนัดให้ผู้เข้ารับบริการกลับเข้ามาตรวจดูความสมบูรณ์และจำนวนไข่ที่ผลิตออกมา ร่วมกับเจาะเลือดตรวจดูการเปลี่ยนแปลงของค่าฮอร์โมน
ขั้นตอนการเก็บไข่

ขั้นตอนการเก็บไข่จะใช้เวลาประมาณ 30 นาที โดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
- ผู้เข้ารับบริการขึ้นนอนบนเตียงขาหยั่ง วิสัญญีแพทย์ให้สารยาและยานอนหลับอ่อนๆ ผ่านทางหลอดเลือด
- แพทย์จะทำความสะอาดผิวช่องคลอดอีกครั้ง
- แพทย์สอดอุปกรณ์อัลตราซาวด์ที่ติดเข็มดูดเซลล์ไข่เข้าไปในช่องคลอด
- ภาพอัลตราซาวด์ภายในรังไข่จะปรากฎบนจอภาพภายในห้องเก็บไข่ ซึ่งจะทำให้แพทย์เห็นจำนวนและขนาดไข่แต่ละใบที่ต้องการจะเก็บ
- แพทย์ดูดเก็บเซลล์ไข่ผ่านทางหัวเข็มของเครื่องอัลตราซาวด์จนครบ
- แพทย์เคลื่อนย้ายผู้เข้ารับบริการไปนอนพักยังห้องสังเกตอาการต่ออีก 1-2 ชั่วโมง
- ไข่/ตัวอ่อนที่เก็บได้ จะนำไปแช่แข็งในสารไนโตรเจนเหลวที่อุณหภูมิติดลบ -196 องศาเซลเซียส
ความรู้สึกขณะเก็บไข่ เจ็บหรือไม่?
ผู้เข้ารับบริการอาจมีความรู้สึกเจ็บในขั้นตอนที่วิสัญญีแพทย์ให้สารยาผ่านทางหลอดเลือดได้บ้าง แต่จะใกล้เคียงกับเวลาให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด หลังจากนั้นจะนอนหลับตลอดช่วงเวลาของการเก็บไข่
หลังจากตื่นขึ้นมา ผู้เข้ารับบริการอาจรู้สึกปวดท้อง ท้องอืด แน่นท้อง คลื่นไส้ หรือมีเลือดออกทางช่องคลอดได้บ้าง ซึ่งแพทย์จะจ่ายยาแก้ปวดและยาปฏิชีวนะเพื่อบรรเทาอาการให้ และอาจให้น้ำเกลือก่อนกลับบ้าน หากไม่มีอาการผิดปกติใดๆ ก็สามารถเดินทางกลับบ้านได้โดยไม่ต้องค้างคืนที่สถานพยาบาล
ควรเก็บไข่ให้ได้กี่ใบ
ในการทำเด็กหลอดแก้วในแต่ละครั้ง หากคู่รักแช่แข็งไข่เก็บเอาไว้ก่อนแล้ว แพทย์จะนำไข่ออกมาละลายเพื่อปฏิสนธิกับเชื้ออสุจิ อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ไข่ทุกใบที่แช่แข็งไว้แล้วจะมีโอกาสนำไปปฏิสนธิกับเชื้ออสุจิสำเร็จทั้งหมด โดยไข่ที่แช่แข็งไว้จะมีโอกาสรอดประมาณ 80-90% หลังแพทย์ละลายเพื่อเตรียมนำไปผสมกับเชื้ออสุจิ
ดังนั้นการแช่แข็งไข่เพื่อให้มีบุตร 1 คน หากฝ่ายหญิงยังมีอายุต่ำกว่า 35 ปี ก็ควรเก็บให้ได้ประมาณ 10-15 ใบ แต่หากอายุมากกว่า 35 ปีแล้ว หรือมีแผนจะมีบุตรหลังอายุ 35 ปีขึ้นไป ก็ควรเก็บให้ได้ประมาณ 15-20 ใบขึ้นไป เนื่องจากเป็นช่วงวัยที่โอกาสการตั้งครรภ์จะเริ่มยากขึ้น
แช่แข็งไข่ สามารถเก็บไว้ได้นานเท่าไร?
ไข่ที่แช่แข็งไว้สามารถเก็บไว้ได้นานเป็นหลัก 10 ปี ณ ปัจจุบันถือว่าสามารถเก็บได้นานเท่าที่ต้องการ ตราบใดที่ยังอยู่ภายใต้อุณหภูมิติดลบ ทุกเซลล์และระบบการทำงานของไข่จะถูกหยุดไว้ด้วยไนโตรเจนเหลว
ค่าใช้จ่ายในการแช่แข็งไข่โดยทั่วไปจะเก็บค่าบริการเป็นหลักปี โดยในกรณีที่ยังไม่พร้อมกลับมาใช้ไข่ ทางสถานพยาบาลจะติดต่อไปแจ้งเตือนทางคู่รักในทุกปีเพื่อชำระค่าบริการค่าแช่แข็งไข่ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของสถานพยาบาลแต่ละแห่ง
ขั้นตอนการปฏิสนธิ
หลังจากเก็บไข่สำเร็จ แพทย์จะคัดเลือกอสุจิที่มีความสมบูรณ์และแข็งแรงที่สุดของฝ่ายชาย แล้วนำมาผสมกับไข่ที่เก็บมาได้จากฝ่ายหญิง โดยเจาะไข่เพื่อฉีดตัวอสุจิเข้าไปผสมกับไข่โดยตรงจนเกิดการปฏิสนธิเพื่อให้ได้ตัวอ่อนในที่สุด
ขั้นตอนเพาะเลี้ยงตัวอ่อน (Embryo Culture)
เมื่อไข่กับอสุจิเกิดการปฏิสนธิแล้ว จะต้องทำการเพาะเลี้ยงตัวอ่อนเป็นระยะเวลาประมาณ 3-5 วันโดยจะนำมาตัวอ่อนมาเพาะเลี้ยงต่อในตู้เลี้ยงแบบพิเศษ นั่นก็คือ EmbryoScope Plus

ข้อดีของการเพาะเลี้ยงตัวอ่อนในตู้
- เป็นระบบ Time lapse สามารถติดตามการเติบโตของตัวอ่อนได้แบบ Real time โดยไม่ต้องเปิดตู้เลี้ยงตัวอ่อน ทำให้สามารถการเพาะเลี้ยงตัวอ่อนมีความต่อเนื่อง ไม่ต้องถูกนำออกมานอกตู้ซึ่งอาจจะเสี่ยงได้รับผลกระทบต่อตัวอ่อนได้
- สามารถถ่ายทอดภาพขณะเติบโตอยู่ในตู้เลี้ยงออกมาให้เห็นได้เหมือนภาพวงจรปิด ทำให้แพทย์สามารถประเมินการพัฒนาการของตัวอ่อนได้อย่างแม่นยำ
- ช่วยส่งเสริมและสนับสนุนให้ตัวอ่อนเติบโต และพัฒนาตัวได้ดียิ่งขึ้น เพราะมีความปลอดภัยในการเลี้ยงตัวอ่อน ลดการรบกวนตัวอ่อนส่งผลให้ตัวอ่อนมีคุณภาพที่ดีและเจริญเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ข้อมูลการเจริญเติมโตของตัวอ่อน จะมีการบันทึกตลอดเวลา ทำให้แพทย์สามารถนำข้อมูลในส่วนนี้ไปคำนวนคะแนน (iDASCORE) ได้ และตัวอ่อนที่มีคะแนนเยอะ จะถูกคัดเลือกเข้าโพรงมดลูก จึงทำให้โอกาสตั้งครรภ์สูง

เมื่อตัวอ่อนเจริญเติบโตเต็มที่ในวันที่ 5 หรือระยะบลาสโตซีสต์ (Blastocyst) จะถูกนำไป “แช่แข็ง” เพื่อให้สามารถเก็บไว้ใช้ในภายหลังได้ การแช่แข็งตัวอ่อนจึงเป็นการคงสภาพตัวอ่อนให้มีประสิทธิภาพสดใหม่ รอวันที่คุณแม่มีสุขภาพและมดลูกที่พร้อมในการฝังตัวอ่อนไปที่โพรงมดลูก ทำให้มั่นใจได้ว่าการตั้งครรภ์จะมีศักยภาพสูงสุด
โดยจะใช้วิธีแช่แข็งไข่แบบ Vitrification หรือ การแช่แข็งตัวอ่อนแบบผลึกแก้ว นำไข่หรือตัวอ่อนแช่ลงในน้ำยาที่มีสารป้องกันความเย็นที่มีความเข้มข้นสูงเพื่อให้เซลล์ขาดน้ำอย่างรวดเร็ว จากนั้นไข่หรือตัวอ่อนจะถูกวางลงในหลอดขนาดเล็กซึ่งจะช่วยให้ระบายความร้อนได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นจะนำหลอดที่มีตัวอ่อนหรือไข่จุ่มลงในไนโตรเจนเหลวที่ -196 องศาเซลเซียส
การแช่แข็งแบบผลึกแก้ว มีอัตราการรอดชีวิตของตัวอ่อนและไข่สูงกว่าวิธีการแช่แข็งแบบเดิม พบว่าอัตราการรอดของตัวอ่อนหลังละลาย สูงขึ้นถึงเกือบ 90-100% ทำให้เพิ่มอัตราการตั้งครรภ์และยังสามารถเก็บรักษาตัวอ่อนและอสุจิได้เป็นระยะเวลานาน
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด
การเตรียมตัวก่อนกระตุ้นไข่
-
หากมีพฤติกรรมสูบบุหรี่ บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ให้งดอย่างน้อย 3 เดือนก่อนเริ่มกระบวนการกระตุ้นไข่ เพื่อหลีกเลี่ยงสารพิษที่อาจทำให้ระบบการทำงานของรังไข่ผิดปกติ
- นัดวันตรวจสุขภาพกับแพทย์ โดยควรนัดในวันที่มีประจำเดือน 2-3 วันแรก
- ตรวจสุขภาพ ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง วัดความดัน ให้แพทย์ซักประวัติโรคประจำตัว ประวัติแพ้ยา ประวัติการตั้งครรภ์ในอดีต ความผิดปกติเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ในอดีต ประวัติรอบประจำเดือน
- เจาะเก็บตัวอย่างเลือดเพื่อเช็กความเสี่ยงโรคประจำตัว โรคที่ส่งต่อได้ทางพันธุกรรม รวมถึงเช็กค่าฮอร์โมนที่จำเป็นต่อการกระตุ้นไข่ เช่น
-
ฮอร์โมน Estradiol หรือ E2 เป็นฮอร์โมนเพศหญิงในกลุ่มฮอร์โมนเอสโตนเจน (Estrogen) ที่ผลิตมาจากรังไข่ ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของระบบสืบพันธุ์ เช่น การตกไข่ รอบประจำเดือน
-
ฮอร์โมน Follicle Stimulating Hormone หรือ FSH ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของเซลล์ไข่ และกระตุ้นการตกไข่
-
ฮอร์โมน Luteinizing Hormone หรือ LH ทำหน้าที่ควบคุมรอบการมีประจำเดือน กระตุ้นให้เกิดการผลิตไข่และการตกไข่
-
ฮอร์โมน Anti-Mullerian Hormone หรือ AMH เป็นฮอร์โมนบ่งชี้ประสิทธิภาพการทำงานของรังไข่ รวมถึงบอกปริมาณการผลิตไข่
- ตรวจอัลตราซาวด์ดูสภาพรังไข่ อุ้งเชิงกราน และความเสี่ยงในเกิดความผิดปกติที่อวัยวะสืบพันธุ์ เช่น เนื้องอก ถุงน้ำในรังไข่ เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
- ฟังผลตรวจสุขภาพกับแพทย์ หากผลตรวจไม่พบความผิดปกติและพร้อมต่อการกระตุ้นไข่ ก็จะเข้าสู่กระบวนการกระตุ้นไข่ต่อไป
การเตรียมตัวก่อนเก็บไข่
จากขั้นตอนการกระกระตุ้นไข่ หลังจากแพทย์ตรวจพบว่า ปริมาณไข่มีมากพอตามความต้องการและเติบโตอย่างมีคุณภาพเต็มที่แล้ว แพทย์จะจ่ายยาฉีดเพื่อให้ไข่สุก และจะนัดหมายวันเก็บไข่ ซึ่งโดยทั่วไปวันเก็บไข่จะมีขึ้นหลังฉีดยาให้ไข่สุกแล้วประมาณ 34-36 ชั่วโมง
โดยการเตรียมตัวก่อนเก็บไข่ มีดังนี้
- ทำใจให้สบาย ไม่ต้องเครียด
- งดน้ำและงดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง
- งดแต่งหน้า งดทาเล็บ งดฉีดน้ำหอม และงดใส่คอนแทคเลนส์
- ทำความสะอาดร่างกายให้สะอาดเสียก่อนเดินทางมาสถานพยาบาล
- เดินทางมาก่อนเวลาเก็บไข่อย่างน้อยประมาณ 2 ชั่วโมง เพื่อเตรียมตัวกับแพทย์ล่วงหน้าก่อน
- พาญาติหรือคนสนิทมาด้วย เพื่อพาเดินทางกลับบ้าน
- ไม่พกของมีค่าหรือเครื่องประดับมาสถานพยาบาลด้วย เพื่อป้องกันการสูญหาย
- ปัสสาวะให้เรียบร้อยก่อนเข้าห้องเก็บไข่
การดูแลหลังผ่าตัด
การดูแลตนเองหลังเก็บไข่
- ไม่ควรขับรถกลับบ้านเอง เนื่องจากอาจยังง่วงซึมจากยาสลบอยู่ ควรให้ญาติเป็นคนพากลับ
- พักผ่อนให้มากๆ ในช่วง 2-3 วันแรกหลังเก็บไข่
- กินยาบรรเทาอาการตามที่แพทย์สั่งจ่ายให้
- งดยกของหนักและงดออกกำลังกายอย่างหนัก 1 สัปดาห์หลังเก็บไข่
หากพบอาการปวดท้องมาก คลื่นไส้อาเจียนอย่างหนัก มีไข้สูง หน้ามืดจะเป็นลม หายใจลำบาก ท้องบวมโต ให้รีบกลับมาพบแพทย์โดยทันที
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ระหว่างกระบวนการกระตุ้นไข่ เก็บไข่ และแช่แข็งไข่
-
การได้จำนวน ขนาดไข่ หรือคุณภาพของไข่ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
- เกิดปัญหาไข่ไม่สุกตามระยะเวลาที่วางแผนเอาไว้
- เกิดภาวะรังไข่ถูกกระตุ้นมากเกินไป (Ovarian Hyperstimulation Syndrome: OHSS) จนเกิดปัญหาน้ำหนักตัวมากผิดปกติ มีน้ำในช่องอกและช่องท้อง ท้องอืดแน่นท้อง คลื่นไส้อาเจียน
- ภาวะติดเชื้อที่ช่องคลอดหรือรังไข่
- ภาวะเลือดออกที่ช่องคลอด
- การได้รับบาดเจ็บที่อวัยวะข้างเคียง เช่น กระเพาะปัสสาวะ ลำไส้