ผ่าตัดกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง 2 ข้าง (Mullerrectomy) ฉีดยาชา (ครั้งแรก)

รายละเอียดราคา

แพ็กเกจนี้รวมค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง?

• ค่าผ่าตัดกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง 2 ข้าง (Mullerrectomy) ฉีดยาชา สำหรับเคสทำครั้งแรก
• ค่าแพทย์ทำหัตถการ
• ค่ายาและเวชภัณฑ์ที่จำเป็นต้องใช้ในการทำหัตถการ
• ค่าอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ที่จำเป็นต้องใช้ในการทำหัตถการ
• ค่าห้องผ่าตัด และค่าบริการพยาบาลห้องผ่าตัด
• ค่าบริการพยาบาล และค่าบริการโรงพยาบาล

หมายเหตุ

• หากปรึกษาแพทย์แล้วตัดสินใจยังไม่ทำ ต้องจ่ายค่าแพทย์ประเมิน 700-1,000 บาท
• รายการต่อไปนี้ไม่รวมอยู่ในราคาแพ็กเกจ หากแพทย์พิจารณาว่าต้องทำ จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม
  • ค่ารักษาพยาบาล กรณีเกิดภาวะแทรกซ้อน
  • ค่ายาสำหรับกลับบ้าน

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแพ็กเกจ

• กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง (Ptosis) คือภาวะกล้ามเนื้อตาทำงานไม่เต็มที่ สาเหตุเกิดจากการยืดของกล้ามเนื้อตา ส่งผลให้ดวงตาไม่แข็งแรง ไม่สามารถพยุงหนังตา หรือชั้นตาของเราได้ เพราะดวงตาของเราไม่ได้มีเพียงลูกตาและเปลือกตาเท่านั้น การลืมตาหรือกระพริบตาแต่ละครั้ง ต้องมีการประสานงานกัน 3 ส่วน ระหว่าง “เปลือกตา” “เส้นประสาท” และ “กล้ามเนื้อตา” อาการตาปรือที่เกิดขึ้น ก็เกิดจากกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ทำงานไม่เต็มที่ ดวงตาไม่สดใส เหมือนเป็นคนที่ไม่กระตือรือร้น ตาขี้เกียจ ตาง่วงนอนตลอดเวลา ส่งผลให้เสียบุคลิกภาพ และทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย อาการของกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง มีลักษณะเด่นๆ ดังนี้
  • มีอาการ ตาปรือ ตาตก
  • กล้ามเนื้อหนังตาอ่อนแรง
  • เลิกคิ้วสูง
  • ตาขี้เกียจ (Lazy eye) เป็นอาการกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ที่เกิดขึ้นได้ตั้งแต่เด็ก
  • เบ้าตาลึก
  • กล้ามเนื้อตาอ่อนแรงข้างเดียว
• การรักษากล้ามเนื้อตาอ่อนแรง จำเป็นต้องผ่าตัดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น โดยการผ่าตัดจะใช้วิธีเย็บตรึงกล้ามเนื้อตา ด้วยความตึงที่แตกต่างกันในแต่ละข้าง เพราะส่วนใหญ่ กล้ามเนื้อตา จะหย่อนคล้อยไม่เท่ากัน ถ้าแพทย์เย็บด้วยความตึงเท่ากัน ก็จะทำให้ชั้นตาไม่เท่ากันอยู่ดี
• วิธีการผ่าตัดมีมากมายหลายวิธี แต่ส่วนสำคัญที่สุดคือการจัดการกับกล้ามเนื้อ รีเวเตอร์ (Levator) ที่อยู่ลึกเข้าไปใน ชั้นหนังตา โดยแพทย์จะไปทำการเลาะชั้นกล้ามเนื้อตานี้ออก เย็บให้แข็งแรง หรือ ผ่าตัดตกแต่งเพิ่มเติม ขึ้นอยู่กับอาการที่แตกต่างกันในแต่ละราย เพราะชั้นกล้ามเนื้อตานี้มีความบอบบาง และยิ่งเปราะบางมากในเคส กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง แต่กำเนิด ดังนั้น แพทย์ที่รักษาควรเป็นจักษุแพทย์เฉพาะทางรอบดวงตา โดยเฉพาะ Occuloplastic
• วิธีรักษาที่ถูกต้องคือการผ่าตัดรักษา และการผ่าตัดก็มีหลายแบบ ใช่จะมาจากการผ่าตัดเย็บชั้นกล้ามเนื้อตาเพียงอย่างเดียว ดังนั้น แพทย์ควรจะมีประสบการณ์การรักษา รอบรู้วิธีรักษา กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง หลายๆ วิธี เพื่อนำมาใช้กับคนไข้ ทั้งนี้ ชั้นกล้ามเนื้อตาเป็นอวัยวะที่บอบบาง แพทย์ที่รักษาจึงต้องรู้กายวิภาครอบดวงตาเป็นอย่างดี นอกเหนือจากการผ่าตัดแล้ว หากคนไข้เป็นโรค MG ก็สามารถรักษาด้วยยา ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดแต่อย่างใด
• ใช้เวลารับบริการประมาณ 45-90 นาที ขึ้นอยู่กับความยากง่ายในแต่ละเคส
• สำหรับทุกเพศอายุ 30 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่มีอาการกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง
• สำหรับชาวต่างชาติที่ไม่ได้ถือสัญชาติไทย สามารถซื้อแพ็กเกจในราคาคนไทยได้ก็ต่อเมื่อมีคุณสมบัติอย่างน้อย 1 ข้อดังต่อไปนี้
  • เป็นผู้ที่ทำงานในประเทศไทย โดยสามารถรับสิทธิ์ด้วยการแสดงใบอนุญาตทำงาน (Work Permit)
  • เป็นผู้ที่ศึกษาในประเทศไทย
  • เป็นผู้ที่มีถิ่นพำนักถาวรในประเทศไทย
  • เป็นผู้มีบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรชมพู)
  • เป็นผู้มีคู่สมรสเป็นชาวไทย

การเตรียมตัวก่อนเข้ารับบริการ

• งดยา วิตามิน อาหารเสริม ที่ลดการแข็งตัวของเลือด เช่น วิตามิน C, E คอลลาเจน น้ำมันตับปลา อย่างน้อย 2 สัปดาห์
• ควรสระผมมาให้เรียบร้อยก่อนผ่าตัด เพราะหลังจากผ่าตัดช่วงแรกอาจจะต้องระวังไม่ให้น้ำโดนแผล
• งดการแต่งหน้าในวันผ่าตัด
• ไม่ใส่คอนแทคเลนส์
• ถ้ามีอาการผิดปกติที่ผิวหนังบริเวณเปลือกตาก่อนวันผ่าตัด 2 สัปดาห์ ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ เช่น เป็นตากุ้งยิง ตาบวม หรือมีผื่นขึ้นตา
• เตรียมแว่นตากันแดดมาเอง เพื่อใส่ป้องกันฝุ่นละอองหลังผ่าตัด
• หากมีโรคประจำตัว เช่น ความดันสูง เบาหวาน โรคหัวใจ ให้ปรึกษาแพทย์ก่อน

การดูแลหลังเข้ารับบริการ   

• หลังผ่าตัด 1-2 วันแรก อาจมีเลือดซึมได้เป็นเรื่องปกติ ควรประคบเย็นบริเวณรอบดวงตา และหน้าผาก ด้วยผ้าเย็น หรือ Gel Pack เพื่อช่วยให้หลอดเลือดหดตัว ลดอาการเลือดออก และลดบวมได้อีกด้วย
• วันที่ 3-5 ให้ประคบด้วยน้ำอุ่น เพื่อลดอาการบวม 
• ไม่ควรให้แผลโดนน้ำประมาณ 7 วัน ควรทำความสะอาดหน้าโดยใช้ผ้าหรือสำลีชุบน้ำเช็ดให้สะอาด หลังจากนั้นเริ่มล้างหน้าได้ตามปกติ แต่หากไม่มีแผลเลย สามารถล้างหน้าในวันรุ่งขึ้นได้ทันที
• หลังการผ่าตัด 24 ชั่วโมง ทายาขี้ผึ้งเคลือบแผลตามที่แพทย์จัดให้ ก่อนทายาควรทำความสะอาดด้วยผ้าหรือสำลีชุบน้ำอุ่นและซับแผลให้แห้งก่อน โดยควรทายาทั้งเช้าและเย็น 
• รับประทานยาแก้อักเสบและลดบวมตามที่แพทย์จัดให้ หากมีอาการปวดสามารถรับประทานยาแก้ปวดได้
• หลังผ่าตัด 7 วัน แพทย์จะนัดหมายให้มาพบเพื่อตรวจดูแผลหรือตัดไหม
• สัปดาห์แรกควรนอนศีรษะสูง เพื่อช่วยลดอาการบวมของแผล ไม่ควรนอนคว่ำ 
• ไม่ควรขยี้ตา ในช่วง 6 เดือนแรก เพราะจะทำให้ชั้นตาที่เย็บหลุดหรือไม่เท่ากันได้
• งดเว้นการใช้สายตามากในช่วง 7 วันแรก และหลีกเลี่ยงการใส่คอนแทคเลนส์ ควรเลือกสวมแว่นตาแทนชั่วคราว 
• งดรับประทานอาหารรสจัด ของหมักดอง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประมาณ 1 เดือน และงดสูบบุหรี่ ประมาณ 1 สัปดาห์