รักษาโรคหลอดเลือดแดงคาโรติดตีบตัน ด้วยการใส่ขดลวด
รายละเอียด
รู้จักโรคนี้
หลอดเลือดแคโรติด (Carotid) เป็นหลอดเลือดแดงใหญ่ อยู่บริเวณสองข้างของลำคอ ที่ทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงสมองของคนเรา
หลอดเลือดแดงแคโรติดมีโอกาสเกิดคราบไขมันอุดจนตีบตัน กลายเป็นโรคหลอดเลือดแคโรติดตีบ (Carotid artery disease) ทำให้เกิดภาวะสมองขาดเลือด นำไปสู่โรคหลอดหลอดสมอง (Stroke)
โรคหลอดเลือดสมองมักเกิดอย่างฉับพลัน ไม่มีอาการแสดงใดๆ บ่งบอกให้รู้ล่วงหน้า ถือเป็นภาวะฉุกเฉินซึ่งอันตรายถึงแก่ชีวิตหรือทำให้เป็นอัมพฤกษ์-อัมพาตได้
สัญญาณที่ต้องตรวจ
ภาวะหลอดเลือดแดงใหญ่ที่คออุดตันระยะแรกๆ มักไม่แสดงอาการใดให้เห็น แต่แพทย์อาจสังเกตพบได้เบื้องต้นจากการฟังชีพจร
เมื่อเริ่มมีการอุดตันมากขึ้น คนไข้อาจมีอาการเหมือน “ปวดศีรษะนำก่อนเกิดการแตกของหลอดเลือดสมอง” หรือเป็นโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ซึ่งอาการได้แก่
- ปวดศีรษะอย่างรุนแรงมากอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนในชีวิต
- มองเห็นไม่ชัด หรือมองไม่เห็น
- รู้สึกสับสน
- มีปัญหาด้านการจดจำ
- ชา หรืออ่อนแรง ที่ร่างกายข้างใดข้างหนึ่ง
- มีปัญหาด้านการคิด การใช้เหตุผล การจดจำ การพูด
ตรวจโรคนี้อย่างไรได้บ้าง
การตรวจเพื่อวินิจฉัยโรคหลอดเลือดแคโรติดตีบ ได้แก่
1. อัลตราซาวด์
เป็นเทคนิคการตรวจดูการไหลเวียนของเลือดที่หลอดเลือดแดงแคโรติด ว่ามีคราบไขมันสะสมที่ผนังด้านในของหลอดเลือดหรือไม่ ปริมาณของคราบนั้นมากน้อยแค่ไหน
2. ทำ CTA (Computed Tomography Angiography)
เป็นเทคนิคการตรวจโดยฉีดสารทึบรังสีเข้าไปในหลอดเลือดแดง ร่วมกับใช้รังสีเอกซ์ สร้างภาพรายละเอียดของเส้นเลือดออกมา
3. ทำ MRA (Magnetic Resonance Angiography)
เป็นเทคนิคการตรวจที่ใช้สนามแม่เหล็กกำลังสูงร่วมกับคลื่นความถี่วิทยุ เพื่อสร้างภาพโครงสร้างภายในหลอดเลือด ทำให้เห็นการอุดตันของหลอดเลือดแดงแคโรติด
4. ฉีดสีตรวจหลอดเลือดสมองและหลอดเลือดแดงแคโรติด
เป็นเทคนิคการตรวจโดยใช้สายสวนหลอดเลือดสวนเข้าไปจนถึงหลอดเลือดแดงแคโรติด แล้วฉีดสารทึบรังสี ร่วมกับถ่ายภาพด้วยรังสีเอกซ์ เพื่อให้ได้ตำแหน่งของหลอดเลือดที่ตีบตัน ให้ภาพ 3 มิติที่คมชัด
รักษาโรคนี้ได้วิธีไหนบ้าง
การรักษาโรคหลอดเลือดแคโรติดตีบ มี 2 วิธีใหญ่ๆ คือ รักษาด้วยการผ่าตัด กับ รักษาโดยการใช้สายสวนหลอดเลือด
การผ่าตัดเป็นวิธีรักษาหลอดเลือดแคโรติดตีบแบบดั้งเดิม โดยแพทย์จะทำการผ่าตัดเปิดแผลบริเวณคอคนไข้ เพื่อเข้าถึงเส้นเลือดแดงบริเวณที่อุดตัน มีการติดตั้งอุปกรณ์เพื่อช่วยสูบเลือดไปเลี้ยงสมองระหว่างผ่าตัด จากนั้นเข้าทำความสะอาดคราบไขมันต้นเหตุออก เพื่อให้เลือดไหลเวียนได้ดี ลดความเสี่ยงที่จะเกิดลิ่มเลือดไปอุดตันเส้นเลือดในสมอง บางกรณีแพทย์อาจใส่ขดลวดค้ำยันเสริมเข้าไปที่หลอดเลือดแคโรติดด้วย เพื่อลดโอกาสหลอดเลือดอุดตันซ้ำ หลังจากนั้นทำการเย็บปิดแผล โดยอาจมีการใส่ท่อระบายเลือดและของเหลวส่วนเกินคาไว้ที่คอผู้ป่วย แล้วค่อยนำออกหลังผ่าตัดประมาณ 1 วัน
การรักษาด้วยวิธีผ่าตัดนี้ แพทย์มักระงับความรู้สึกคนไข้ด้วยวิธีวางยาสลบ หรืออาจร่วมกับให้ยาระงับประสาท
ในกรณีที่คนไข้ไม่สามารถรับการผ่าตัดแบบดั้งเดิมได้ แพทย์มักแนะนำให้รักษาด้วยการใส่สายสวนหลอดเลือด โดยจะใช้ 2 เทคนิคร่วมกัน ได้แก่ การทำบอลลูนหลอดเลือด และใส่ขดลวดค้ำยัน
ทำบอลลูนหลอดเลือด เป็นการใส่สายสวนขนาดเล็กแต่ยาว เข้าที่หลอดเลือดแดงบริเวณขาหนีบ (มีการกรีดเปิดแผลขนาดประมาณ 2.6 มิลลิเมตรเพื่อเข้าถึงหลอดเลือดคนไข้) แล้วดันเข้าไปจนถึงหลอดเลือดแคโรติดที่มีการอุดตัน โดยที่ปลายสุดของสายสวนมีอุปกรณ์ป้องกันไม่ให้คราบไขมันหรือลิ่มเลือดในหลอดเลือดแดงหลุดไปสู่เส้นเลือดในสมองติดอยู่
เมื่อได้ตำแหน่งที่ถูกต้องแล้ว แพทย์จะควบคุมอุปกรณ์ขยายขนาดได้ที่ติดอยู่กับสายสวน (เรียกกันว่า “บอลลูน”) ให้ขยายตัวออก ส่งผลให้คราบไขมันถูกกดเบียดจนแบนราบติดผนังหลอดเลือด ช่วยให้เลือดกลับมาสูบฉีดเลี้ยงสมองได้ดังเดิม
เทคนิคการรักษาหลอดเลือดแดงตีบพัฒนาขึ้น มีการทำบอลร่วมกับใส่ขดลวดคล้ำยัน (Carotid stenting) ซึ่งหลังใช้บอลลูนขยายหลอดเลือดแล้ว แพทย์จะทำการฉีดสารทึบรังสีสู่หลอดเลือดแดงของคนไข้เพื่อตรวจสอบตำแหน่งบอลลูน จากนั้นใส่ขดลวดค้ำยันหรือขดลวดตาข่าย (Stent) เข้าไปค้ำผนังหลอดเลือดที่ตีบ เพื่อเสริมความแข็งแรงของหลอดเลือดบริเวณนั้น ปัจจุบันมีขดลวดชนิดเคลือบน้ำยาป้องกันหลอดเลือดหัวใจตีบซ้ำ ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นอีก ผลทำให้โอกาสเป็นโรคหลอดเลือดแคโรติดตีบซ้ำของคนไข้ลดลงจาก 30% เหลือประมาณ 5%
การทำบอลลูนร่วมกับใส่ขดลวดค้ำยัน ใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 30-50 นาที และไม่จำเป็นต้องวางยาสลบระหว่างทำ
สัญญาณที่ต้องผ่าตัด
แพทย์มักพิจารณาให้คนไข้รักษาหลอดเลือดแคโรติดตีบด้วยวิธีใส่ขดลวดค้ำยัน ในกรณีที่คนไข้มีการอุดตันทางไหลเวียนของเลือด 70% ขึ้นไป และไม่สามารถรักษาด้วยวิธีผ่าตัดได้ ซึ่งข้อจำกัดนี้อาจมาจากคนไข้เป็นโรคหัวใจหรือโรคปอดขั้นรุนแรง หรืออยู่ระหว่างรักษาเนื้องอกบริเวณคอด้วยวิธีรังสีรักษา โดยเฉพาะในผู้ที่เคยเป็นโรคหลอดเลือดสมองหรือมีอาการหลอดเลือดสมองแล้ว
การที่หลอดเลือดถูกอุดตัน 70% นี้ เป็นไปได้ว่าคนไข้จะเกิดภาวะสมองขาดเลือดได้ภายใน 2 ปี
นอกจากนี้ เทคนิคใส่ขดลวดค้ำยันในหลอดเลือดแคโรติด ยังใช้ในคนไข้ที่เคยผ่าตัดเปิดหลอดเลือดแคโรติดมาแล้ว แต่หลอดเลือดกลับตีบลงอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ก็แพทย์ก็จะพิจารณาคนไข้แต่ละรายเป็นกรณีๆ ไป เนื่องจากการรักษาที่ต้องมีการใส่สายสวน ทำบอลลูน ฉีดสี ใส่ขดลวดค้ำยัน อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงหรือผลข้างเคียงต่อคนไข้ที่มีโรคประจำตัวอยู่ ถ้าแพทย์พิจารณาว่าการรักษาจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี อาจแนะนำให้รักษาด้วยวิธีอื่นหรือเฝ้าระวังสังเกตอาการไปก่อน
ถ้าไม่รักษาหลอดเลือดแคโรติดตีบ จะเกิดอะไรขึ้น
ถ้ามีคราบไขมันอุดตันหลอดเลือดแคโรติดมากขึ้นเรื่อยๆ จนเลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย ไม่สามารถสูบฉีดขึ้นไปเลี้ยงสมองได้ จะทำให้สมองของคนไข้ขาดเลือด อาจส่งผลให้เซลล์สมองบางส่วนตาย ขึ้นอยู่รับระยะเวลาที่เลือดไม่ไปเลี้ยง หรืออาจเป็นโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
นอกจากนี้ การที่มีคราบไขมันอุดตันยังทำให้การไหลเวียนเลือดผิดปกติ มีโอกาสเกิดลิ่มเลือดสะสมและอาจหลุดเข้าไปอุดตันเส้นเลือดในสมองที่มีขนาดเล็ก นำไปสู่การเกิดโรคหลอดเลือดสมองเช่นกัน
ความเสี่ยงต่างๆ เหล่านี้เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด
ก่อนใส่ขดลวดค้ำยันในหลอดเลือดแคโรติด แพทย์จะตรวจร่างกายคนไข้อย่างละเอียดเพื่อให้แน่ใจว่าสามารถรักษาด้วยเทคนิคนี้ได้อย่างปลอดภัย
เมื่อถึงวันนัดหมาย แพทย์มักให้คนไข้เตรียมตัวที่โรงพยาบาลตั้งแต่เช้า แล้วค่อยรับการรักษาในช่วงเย็น
การดูแลหลังผ่าตัด
หลังจากใส่ขดลวดค้ำยันในหลอดเลือดแคโรติดเสร็จใหม่ๆ แพทย์มักให้คนไข้พักสังเกตอาการในโรงพยาบาลก่อน โดยคาสายสวนหลอดเลือดไว้ที่ขาหนีบประมาณ 4 ชั่วโมง เมื่อครบกำหนดโดยไม่มีสัญญาณแสดงถึงความผิดปกติใดๆ จึงนำสายสวนออก
หลังจากนั้นคนไข้ยังควรนอนราบต่อไปอีกประมาณ 6-10 ชั่วโมง โดยห้ามงอขาข้างที่ใส่สายสวน หรือตามที่เจ้าหน้าที่แนะนำ
ช่วงพักฟื้นในโรงพยาบาล คนไข้จะได้รับการตรวจสอบคลื่นไฟฟ้าหัวใจและสัญญาณชีพอย่างใกล้ชิด
ถ้าคนไข้มีอาการต่อไปนี้ ต้องติดต่อแพทย์ทันที เนื่องจากอาจบ่งบอกว่าการรักษาเกิดความซับซ้อนขึ้น
- แน่นหน้าอก
- เหนื่อยหอบ
- นอนราบไม่ได้
- เวียนศีรษะ
- มีไข้
- รู้สึกอุ่นๆ ชื้นๆ
- มีเลือดออก
- รู้สึกมีก้อนเลือดใต้ผิวหนังบริเวณขาหนีบที่ใส่สายสวน
ตามปกติ หลังจากพักในโรงพยาบาลอยู่ 1 วัน แพทย์มักอนุญาตให้คนไข้กลับไปพักฟื้นต่อที่บ้าน
เมื่อกลับบ้านแล้ว คนไข้ควรปฏบัติดังนี้
- รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งให้ครบถ้วน โดยอาจมียาต้านเกล็ดเลือด ซึ่งแพทย์จ่ายให้เพื่อป้องกันเกล็ดเลือดเกาะขดลวด
- ประกอบกิจวัตรประจำวัน เช่น รับประทานอาหาร อาบน้ำ ตามปกติ แต่หลีกเลี่ยงการนั่งงอข้อสะโพกประมาณ 1 สัปดาห์
- ไปตามนัดตรวจติดตามการรักษาทุกครั้ง
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อไม่ให้กลับมาเป็นโรคหลอดเลือดแคโรติดตีบซ้ำ เช่น ออกกำลังกาย ลดการรับประทานอาหารไขมันสูง
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
การใส่ขดลวดค้ำยันในหลอดเลือดแคโรติดจัดเป็นการรักษาหลอดเลือดแคโรติดตีบที่ปลอดภัย ได้ผลลัพธ์ที่ดี และโอกาสที่หลอดเลือดจะกลับมาตีบซ้ำค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับการรักษาแบบดั้งเดิม แต่เนื่องจากขั้นตอนการรักษามีการใส่สายสวนหลอดเลือด (ซึ่งนำเข้าไปด้วยลวดนำสายสวน) มีการฉีดสารทึบรังสี จึงอาจเกิดผลข้างเคียงได้ เช่น
- ผนังหลอดเลือดได้รับความเสียหายจากการใส่สายสวน
- ติดเชื้อจากการใส่สายสวน
- เกิดอาการแพ้สารทึบรังสี
- คนไข้ที่เป็นโรคไตอยู่แล้วเกิดความผิดปกติที่เกิดจากการระบายสารทึบรังสีออกทางไต
- ขดลวดอุดตัน (มักเกิดในกรณีที่คนไข้ไม่ได้รับประทานยาตามแพทย์แนะนำ หรือรับประทานไม่ครบ)
เพื่อเตรียมตัวป้องกันผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์เหล่านี้ คนไข้จึงควรแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับภาวะสุขภาพของตนเองให้แพทย์ทราบอย่างครบถ้วน ไม่ปิดบังอาการใดๆ ถ้ามีข้อสงสัยหรือความกังวลควรสอบถามแพทย์อย่างละเอียด