ผ่าตัดรักษาโรคปวดเส้นประสาทใบหน้า
รายละเอียด
รู้จักโรคนี้
โรคปวดประสาทใบหน้า (Trigeminal Neuralgia) คือ ชื่อเรียกกลุ่มอาการผิดปกติบริเวณใบหน้าซึ่งเกิดจากเส้นประสาทสมองคู่ที่ห้าหรือ “เส้นประสาทไทรเจมินัล (Trigeminal Nerve)” ถูกกดทับหรือถูกเบียดจนทำงานผิดปกติ โดยส่วนมากมักมาจากหลอดเลือดสมองบริเวณใกล้เคียง จากก้อนเนื้องงอก หรือจากก้อนซีสต์ รวมถึงยังเกิดได้จากการบาดเจ็บของเส้นประสาทจากอุบัติเหตุ
อาการเด่นของโรคปวดประสาทใบหน้าจะเป็นอาการปวดที่ใบหน้าด้านใดด้านหนึ่ง บริเวณที่พบอาการปวดได้บ่อยจะอยู่ที่มุมปากและคาง
ลักษณะของอาการปวดจากโรคนี้จะคล้ายกับถูกเข็มแทงหรือโดนไฟช็อตกะทันหัน บางครั้งก็คล้ายกับปวดฟันหรือปวดเหงือก โดยอาการปวดจะเกิดขึ้นเป็นพักๆ ไม่ตลอดเวลา แต่จะพบซ้ำอยู่เรื่อยๆ ตลอดวัน ส่วนมากมักจะพบอาการในตอนเช้า
สัญญาณที่ต้องตรวจ
หากพบอาการปวดใบหน้าข้างใดข้างหนึ่งอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะในตำแหน่งมุมปากและคาง และเป็นอาการที่ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติภายในช่องปาก ผู้ป่วยควรเดินทางไปพบแพทย์เพื่อตรวจสาเหตุของอาการเพิ่มเติม
ตรวจโรคนี้อย่างไรได้บ้าง
การตรวจโรคปวดประสาทใบหน้าจะประกอบไปด้วยการตรวจหลายขั้นตอน เนื่องจากอาการปวดที่ใบหน้าอาจเกิดได้จากโรคอื่นที่ไม่ใช่โรคปวดประสาทใบหน้าได้อีกมาก เช่น โรคปลอกประสาทเสื่อม เนื้องอกในสมอง โรคไซนัสอักเสบ โรคต้อหิน โรคงูสวัดที่ใบหน้า โรคไมเกรน ภาวะปวดศีรษะจากความเครียดหรือภาวะทางจิต
แพทย์จึงจะมีการตรวจร่างกายอย่างละเอียด ร่วมกับตรวจเอกซเรย์ดูความผิดปกติของเส้นประสาทที่สมองและก้านสมอง เช่น ตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือการทำ MRI (Magnetic Resonance Imaging) เพื่อวินิจฉัยและคัดแยกโรคที่ทำให้เกิดอาการอย่างแม่นยำ
รักษาโรคนี้ได้วิธีไหนบ้าง
การรักษาโรคปวดเส้นประสาทใบหน้าสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นกับระดับความรุนแรงของอาการ โดยจำแนกออกได้ 2 รูปแบบหลักๆ ได้แก่
- การรักษาด้วยการใช้ยา เป็นวิธีรักษาเริ่มต้นที่นิยมใช้ในผู้ป่วยที่ได้รับการตรวจวินิจฉัยว่าเป็นโรคปวดประสาทใบหน้าเรียบร้อยแล้ว โดยกลุ่มยาที่นิยมใช้จะเป็นยากันชักหรือยาแก้อาการปวดเส้นประสาท แต่หากรักษาแล้วอาการยังไม่ดีขึ้นหรือกลับมาเป็นซ้ำอยู่เรื่อยๆ แพทย์อาจพิจารณาให้รักษาด้วยวิธีอื่นๆ ต่อไป
- การรักษาด้วยการใช้หัตถการ เป็นวิธีรักษาในลำดับถัดมาหากผู้ป่วยรักษาด้วยการใช้ยาแล้วไม่หายดี หรือเกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยา หรือกลับมามีอาการซ้ำอีกในภายหลัง โดยการทำหัตถการเพื่อรักษาโรคปวดเส้นประสาทใบหน้านั้นมีอยู่หลายวิธี เช่น
- การจี้หรือตัดเส้นประสาท เป็นวิธีรักษาในกรณีตรวจพบความผิดปกติที่เส้นประสาทส่วนปลายเหนือเบ้าตา ใต้เบ้าตา หรือใต้ฟัน เป็นวิธีรักษาที่ไม่ต้องดมยาสลบ ยังไม่จัดเป็นการผ่าตัด และสามารถทำซ้ำได้อีกในอนาคต
- การทำให้เกิดพยาธิสภาพบนปมประสาทผ่านผิวหนัง สามารถทำได้หลักๆ 3 วิธีคือ
- การใช้เข็มที่ปล่อยความร้อนได้จี้ที่ผิวหนังเพื่อทำลายเส้นใยประสาทคู่ที่ห้า
- การใช้บอลลูนแทงผ่านผิวหนังแล้วฉีดสารน้ำเข้าไปทำให้ปมประสาทเกิดการกดเบียด ทำให้เกิดเป็นอาการช้าและลดอาการปวดได้
- การฉีดสารกลีเซอรอลเข้าที่ผิวหนังรอบๆ ปมเส้นประสาทคู่ที่ห้า จนทำให้เกิดอาการชา
- การฉายรังสีแกมม่า แต่ส่วนมากไม่นิยมรักษาด้วยวิธีนี้นัก เนื่องจากให้ผลลัพธ์ในการรักษาไม่เด่นชัด
การรักษาด้วยการผ่าตัดแยกหลอดเลือดที่ไปกดทับเส้นประสาทคู่ที่ห้า เป็นการผ่าตัดเข้าไปตัดแต่งหลอดเลือดที่ไปกดทับหรือเบียดเส้นประสาทคู่ที่ห้า และวางวัสดุเส้นใยเล็กๆ คั่นไว้เพื่อไม่ให้อาการกลับมาเป็นซ้ำได้อีก
สัญญาณที่ต้องผ่าตัด
แพทย์มักเลือกใช้วิธีการผ่าตัดเพื่อรักษาโรคปวดประสาทใบหน้าก็ต่อเมื่อผู้ป่วยไม่สามารถรักษาอาการของโรคด้วยการใช้ยาหรือหัตถการอื่นๆ ได้ หรือเมื่อรักษาไปแล้วอาการกลับมาเป็นซ้ำอีก
แต่ขณะเดียวผู้ที่ได้รับการพิจารณาให้ใช้วิธีรักษาเป็นการผ่าตัดก็จะต้องเป็นผู้ป่วยที่ไม่มีโรคประจำตัวอื่นๆ รุนแรงจนเข้ารับการผ่าตัดไม่ได้ มีสมรรถภาพร่างกายพร้อมต่อการผ่าตัดแบบวางยาสลบ และต้องไม่ใช่ผู้ป่วยที่มีอาการปวดใบหน้าจากโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง เนื่องจากมักจะตอบสนองต่อการผ่าตัดได้ไม่ดีนัก
รู้จักการผ่าตัดนี้
การผ่าตัดแยกหลอดเลือดที่ไปกดทับเส้นประสาทคู่ที่ห้า (Microvascular Decompression) คือ การผ่าตัดเพื่อแยกหรือเบี่ยงหลอดเลือดที่ไปกดทับเส้นประสาทคู่ที่ห้าออก เพื่อให้เส้นประสาทกลับมาทำงานได้ตามปกติอีกครั้ง
ขั้นตอนการผ่าตัดแยกหลอดเลือดเพื่อรักษาโรคปวดประสาท มีขั้นตอนหลักๆ ดังต่อไปนี้
- วิสัญญีแพทย์ให้ยาสลบผู้เข้ารับบริการ และมีการใส่สายสวนปัสสาวะไว้
- แพทย์จัดท่าผู้ป่วยสำหรับการผ่าตัด โดยขึ้นอยู่กับความถนัดของแพทย์แต่ละท่าน อาจเป็นท่านั่ง ท่าตะแคงข้าง หรือท่ากึ่งคว่ำ
- แพทย์ยึดเครื่องยึดกะโหลกศีรษะไว้กับเตียงผ่าตัด ตามด้วยให้ยาลดโอกาสติดเชื้อ และยาลดน้ำไขสันหลังในช่องสมอง เพื่อลดระดับความดันในกะโหลกศีรษะ
- แพทย์เจาะเปิดกะโหลกศีรษะในตำแหน่งด้านหลังบริเวณท้ายทอยซึ่งเป็นตำแหน่งที่อยู่ของเส้นประสาทคู่ที่ห้า รวมถึงแยกกระดูกกะโหลกศีรษะออกจากเยื่อหุ้มสมอง
- แพทย์วางแผ่นเครื่องมือดึงรั้งสมองเพื่อดันสมองมาอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมต่อการผ่าตัด แต่จะมีการวางเครื่องมือเจลโฟมเพื่อป้องกันการบาดเจ็บของเนื้อสมองด้วย
- แพทย์ปล่อยน้ำไขสันหลังออกเพื่อลดความดันสมอง และลดการกดดันของเนื้อสมองจากแผ่นเครื่องมือดึงรั้งสมอง
- แพทย์เจาะเปิดเยื่อหุ้มสมองชั้นกลาง สลับกับสอดแผ่นเครื่องมือดึงรั้งสมองไปด้วย เพื่อทำให้สมองน้อย หรือซีรีเบลลัม (Cerebellum) ตกลงมาอีก และทำให้เห็นเส้นประสาทคู่ที่ห้าได้ชัดเจนขึ้น
- แพทย์แยกหลอดเลือดที่ไปกดทับหรือเบียดเส้นประสาทคู่ที่ห้า รวมถึงเลาะตกแต่งเนื้อเยื่อหุ้มสมองชั้นกลาง หลอดเลือดแดง และหลอดเลือดดำโดยรอบ พร้อมกับใส่อุปกรณ์เส้นใยเล็กๆ (Teflon Felt) วางคั่นไว้ระหว่างหลอดเลือดที่ไปกดทับกับเส้นประสาทคู่ที่ห้า เพื่อไม่ให้มีการกดทับเส้นประสาทเกิดขึ้นอีกในอนาคต
- แพทย์ตรวจว่าหลอดเลือดรอบๆ เส้นประสาทไม่มีการหักงอจนมีโอกาสที่การไหลเวียนของเลือดลดลงได้
- วิสัญญีแพทย์เพิ่มความดันในโพรงกะโหลกศีรษะ ตรวจสอบการไหลเวียนของเลือด แล้วเริ่มถอดเครื่องมือถึงรั้งสมองออก
- แพทย์เย็บปิดเยื่อหุ้มสมอง เย็บปิดกะโหลกศีรษะด้วยแผ่นดามกระดูก เย็บปิดชั้นกล้ามเนื้อ และเย็บปิดชั้นใต้ผิวหนังกับชั้นผิวหนังตามลำดับ
เปรียบเทียบการผ่าตัดวิธีต่างๆ
ปัจจุบันการผ่าตัดแยกหลอดเลือดที่ไปกดทับเส้นประสาท จัดเป็นการผ่าตัดที่นิยมใช้เพื่อรักษาโรคปวดประสาทใบหน้าที่สุด เนื่องจากเป็นการผ่าตัดที่แก้ปัญหาตั้งแต่สาเหตุของโรคนี้ซึ่งมักเกิดจากการกดทับของเส้นประสาทและหลอดเลือด
นอกจากนี้ยังเป็นการผ่าตัดที่มักให้ผลตอบรับในการรักษาค่อนข้างดี มีโอกาสที่อาการจากโรคจะหายไปอย่างน้อย 10 ปีหรือถาวรตลอดชีวิต
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด
- แจ้งประวัติสุขภาพ ประวัติโรคประจำตัว ประวัติแพ้ยา แจ้งรายการยาประจำตัว วิตามินเสริม อาหารเสริม สมุนไพรเสริมสุขภาพทุกชนิดกับแพทย์ล่วงหน้า
- งดยาและวิตามินเสริมบางชนิดล่วงหน้าประมาณ 7 วันหรือตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยาละลายลิ่มเลือด
- งดน้ำและงดอาหารล่วงหน้า 6-8 ชั่วโมง
- ตรวจสุขภาพตามรายการที่แพทย์แนะนำ เช่น ตรวจเลือด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ตรวจหู ตรวจการทำงานของหู ตรวจการทำงานของก้อนสมอง
- งดสูบบุหรี่และงดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ล่วงหน้า 2-3 สัปดาห์ก่อนวันผ่าตัด
- งดใส่คอนแทคเลนส์ งดทาเล็บ งดใส่แว่นตา งดใส่ฟันปลอม และถอดอุปกรณ์ที่เจาะตามร่างกายก่อนเดินทางมาผ่าตัด เช่น จิวจมูกหรือสะดือ
- ถอดเครื่องประดับและของมีค่าเก็บไว้ที่บ้าน เพื่อป้องกันการสูญหาย
- ผู้เข้ารับบริการอาจต้องโกนผมหรือตัดผมบางส่วนออก ขึ้นอยู่กับคำแนะนำจากแพทย์
- อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด แพทย์อาจให้ผู้เข้ารับบริการอาบน้ำและสระผมด้วยสบู่กับแชมพูพิเศษสำหรับผู้ที่กำลังเข้ารับการผ่าตัดล่วงหน้า
- พาญาติมาด้วย เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในระหว่างการพักฟื้นที่โรงพยาบาล
- ลางานล่วงหน้าตามคำแนะนำของแพทย์
การดูแลหลังผ่าตัด
- นอนหมอนสูงชั่วคราว และหมั่นประคบเย็น 15-20 นาทีทุกๆ 3-4 ชั่วโมง เพื่อลดอาการบวม
- ผู้เข้ารับบริการจะนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาล 2-5 วัน ขึ้นอยู่กับการประเมินจากแพทย์ หลังจากนั้นหากไม่มีสัญญาณอาการข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อน ก็สามารถเดินทางกลับบ้านได้
- งดออกกำลังกายหนักๆ งดยกของหนัก รวมถึงงดทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมาก งดการมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 2-3 สัปดาห์
- งดสูบบุหรี่และงดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระยะยาวหรืออย่างถาวร เพื่อป้องกันโอกาสกลับมาเป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดซ้ำ
- งดขับรถและงดเดินทางไกลจนกว่าแพทย์จะอนุญาต
- งดสระผมจนกว่าแพทย์จะอนุญาต แต่โดยทั่วไปหลังผ่าตัด 1 วัน แพทย์มักอนุญาตให้เริ่มสระผมด้วยแชมพูสูตรอ่อนโยนได้ แต่ห้ามถูหนังศีรษะแรงๆ และยังต้องเว้นบริเวณแผลผ่าตัดให้ยังแห้ง อย่าให้แผลเปียกชื้นจนกว่าแพทย์จะอนุญาตให้แผลโดนน้ำได้
- งดทำสีผม งดการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผมหรือตกแต่งทรงผมทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นสเปรย์ น้ำมัน เจล หรือโฟม อย่างน้อย 6 สัปดาห์ หรือจนกว่าแพทย์จะอนุญาต
- กินยาตามที่แพทย์สั่งจ่ายให้อย่างเคร่งครัด
- กินอาหารที่มีประโยชน์ และดื่มน้ำให้เพียงพออยู่เสมอ
- ผู้เข้ารับบริการอาจได้ยินเสียงแปลกๆ อยู่ข้างในศีรษะ อาการนี้เป็นอาการที่พบได้ปกติหลังผ่าตัด อย่าเพิ่งตกใจ แต่หากรู้สึกกังวล สามารถเดินทางไปปรึกษาแพทย์เพิ่มเติมได้
- หมั่นเดินและหมั่นเคลื่อนไหวร่างกายประมาณ 5-10 นาทีในทุกๆ 3-4 ชั่วโมง
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
- อาจพบอาการผิวบวมที่ใบหน้าและผิวบริเวณรอบๆ หูในช่วงแรกหลังผ่าตัด แต่เมื่อผ่านไปไม่กี่สัปดาห์อาการก็จะดีขึ้น
- อาจพบอาการปวดศีรษะเบาๆ ได้ จัดเป็นอาการข้างเคียงที่ไม่เป็นอันตรายและสามารถกินยาแก้ปวดบรรเทาอาการได้ แต่หากปวดอย่างรุนแรง กินยาแล้วไม่ดีขึ้น ให้รีบกลับมาพบแพทย์
- อาการข้างเคียงที่เป็นอันตรายและควรรีบเดินทางกลับไปพบแพทย์โดยทันที ได้แก่ มีไข้สูง แผลบวมแดง มีของเหลวหรือเลือดไหลออกจากแผล อาการง่วงซึม การมองเห็นพร่าเบลอ มีอาการสับสนหรือพูดจาไม่รู้เรื่อง คลื่นไส้อาเจียน น่องขาบวม
- อาการสมรรถภาพการได้ยินลดลง อาการกล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง แต่มีโอกาสเกิดได้น้อยมาก