สลายนิ่ว ด้วยวิธีส่องกล้องคล้องนิ่วในไต (ผ่านผิวหนัง)
กำจัดนิ่วได้ทุกประเภท แผลเล็ก ฟื้นตัวไว
กำจัดก้อนนิ่วได้ดีกว่าการใช้ยาหรือคลื่นกระแทก
รายละเอียด
รู้จักโรคนี้
นิ่วในไตคืออะไร เกิดจากอะไร?
นิ่วในไต เป็นก้อนแข็งที่เกิดขึ้นในระบบทางเดินปัสสาวะ เกิดจากการตกตะกอนสะสมของแร่ธาตุบางชนิดจากน้ำปัสสาวะ มีชนิดและขนาดต่างๆ กัน
เมื่อเกิดนิ่วในไต ก้อนนิ่วที่มีขนาดเล็กอาจถูกขับถ่ายออกจากร่างกายได้เองทางการถ่ายปัสสาวะ หรืออาจเคลื่อนที่จากบริเวณเดิมไปอุดกั้นทางเดินปัสสาวะ ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดขึ้นได้
การเกิดนิ่วในไตเกี่ยวข้องกับการมีแคลเซียมในปัสสาวะมากผิดปกติจากปัจจัยต่างๆ เช่น
- รับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของแคลเซียม วิตามินซี โปรตีน เกลือ และน้ำตาล มากเกินไป
- ดื่มน้ำน้อยเกินไป
- รับประทานอาหารที่มีสารออกซาเลตยับยั้งการดูดซึมแคลเซียม จำพวกถั่ว หน่อไม้ ช็อกโกแลต ผักปวยเล้ง มันเทศ มากเกินไป
นอกจากนี้นิ่วในไตยังอาจเป็นผลมาจากต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากเกินไป หรือเป็นโรคแทรกซ้อนจากการเป็นเกาต์
อาการนิ่วในไต
คนไข้นิ่วในไตบางรายอาจไม่มีอาการแสดงใดๆ เลย จนกระทั่งมีการติดเชื้อ หรือก้อนนิ่วไปอุดดันทางเดินปัสสาวะ จนทำให้เกิดอาการแสดง เช่น
- ปวดเอว หลัง หรือช่องท้องช่วงล่าง ข้างใดข้างหนึ่งของร่างกาย ถ้าเป็นมากอาจร้าวไปจนถึงขาหนีบ
- ปวดเสียด ปวดบิดเป็นพัก ๆ
- มีไข้ หนาวสั่น
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ปัสสาวะผิดปกติ เช่น น้ำปัสสาวะมีลักษณะขุ่นแดง มีเลือดปน ปัสสาวะเป็นเม็ดทราย ปัสสาวะแล้วเจ็บ ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะไม่ออก ปัสสาวะน้อย
- ปวดบิดในท้องรุนแรงถ้าก้อนนิ่วตกลงมาที่ท่อไต
ความรุนแรงของอาการมักขึ้นอยู่กับขนาดของนิ่ว ขนาด และบริเวณที่เกิดก้อนนิ่ว
กลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดนิ่วในไต
โรคนิ่วในไตเกิดได้ในคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในช่วงอายุ 30-40 ปี ส่วนใหญ่พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
ผู้มีพฤติกรรมเหล่านี้ อาจเสี่ยงเกิดนิ่วได้มากขึ้น
- ดื่มน้ำน้อยเกินไป
- นิยมบริโภคอาหารที่มีสารก่อนิ่ว เช่น ยอดผัก ผักโขม ผักกระเฉด ถั่ว ชา ช็อกโกแลต พริกไทยดำ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง อาหารที่มีกรดยูริกสูง เช่น เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ สัตว์ปีก อาหารทะเล อาหารที่มีสารซีสทีนสูง เช่น นม ไก่ เป็ด
นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน มีภาวะเบาหวาน หรือมีคนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคนิ่วในไต ก็มีความเสี่ยงจะเกิดนิ่วในไตได้มากเช่นกัน
ตรวจโรคนี้อย่างไรได้บ้าง
วิธีตรวจนิ่วในไต
เมื่อคนไข้สงสัยว่าตนเองอาจเป็นโรคนิ่วในไต สามารถเข้าพบแพทย์เมื่อรับการตรวจวินิจฉัยได้ แพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย หรืออาจส่งตรวจด้วยเทคนิคอื่น ได้แก่
- ตรวจปัสสาวะ ซึ่งหากพบเม็ดเลือดแดงจำนวนมาก แพทย์อาจสันนิษฐานได้ว่าเป็นนิ่วในไต
- ตรวจเลือด พบว่าผู้ป่วยนิ่วในไตมักมีปริมาณแคลเซียมหรือกรดยูริกในเลือดมากเกินไป
- เอกซเรย์ช่องท้อง ช่วยให้แพทย์เห็นก้อนนิ่ว ขนาดนิ่ว และตำแหน่งที่เป็นนิ่วในทางเดินปัสสาวะ
- เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) ช่วยให้แพทย์เห็นก้อนนิ่วขนาดเล็กที่การเอกซเรย์ทั่วไปอาจไม่เห็นชัดเจน
- อัลตราซาวนด์ไต ช่วยตรวจหาก้อนนิ่วในไตได้ชัดเจน
- ตรวจเอกซเรย์ไตด้วยการฉีดสี (IVP) วิธีนี้จะช่วยวิเคราะห์สาเหตุการเกิดนิ่วในไตและช่วยให้สามารถวางแผนเพื่อป้องกันการเกิดนิ่วในไตซ้ำ
รักษาโรคนี้ได้วิธีไหนบ้าง
แนวทางการรักษานิ่วในไตในปัจจุบัน
ปัจจุบันมีทางเลือกในการรักษาโรคนิ่วในไตหลายวิธี จะใช้วิธีใดแพทย์มักพิจารณาตามตามชนิด ขนาด และตำแหน่งที่เกิดก้อนนิ่ว
1. การรักษานิ่วในไตแบบไม่ต้องผ่าตัด
กรณีที่ก้อนนิ่วมีขนาดเล็กมาก นิ่วอาจหลุดออกจากร่างกายได้เอง แพทย์จะแนะนำให้คนไข้ดื่มน้ำมากๆ เพื่อขับก้อนนิ่วออกทางปัสสาวะ หรืออาจพิจารณาสั่งยาช่วยขับก้อนนิ่วให้ด้วยตามความเหมาะสม
2. การรักษานิ่วในไตด้วยเครื่องสลายนิ่ว (Extracorporeal Shock Wave Lithotripsy : ESWL)
วิธีนี้เป็นการใช้คลื่นเสียงความถี่สูง หรือที่เรียกว่าคลื่นกระแทก (Shock wave) ส่งผ่านผิวหนังไปยังก้อนนิ่ว ทำให้ก้อนนิ่วแตกตัวและสามารถขับออกได้ทางปัสสาวะ
ข้อดีของการรักษานิ่วในไตวิธีนี้คือไม่ทำให้เกิดแผล แต่อาจก่อความเจ็บปวดเล็กน้อยแก่ผู้ป่วย หรือมีโอกาสทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ รวมถึงไตช้ำ เกิดแผลภายใน หรือสูญเสียเซลล์ไตไปบางส่วน
นอกจากนี้การสลายนิ่วมีข้อจำกัด คือ ในกรณีที่คนไข้รูปร่างใหญ่ คลื่นกระแทกอาจส่งผ่านเข้าไปไม่ถึงก้อนนิ่ว หรือถ้านิ่วแข็งมาก หรือมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่เกิน 2 เซนติเมตร การรักษานี้ก็อาจไม่ได้ผลเช่นกัน
3. การรักษานิ่วในไตด้วยการส่องกล้องสลายนิ่วผ่านท่อไต (Ureteroscopy: URS)
วิธีนี้ใช้สลายนิ่วขนาดไม่เกิน 3 เซนติเมตร แพทย์จะใช้เครื่องมือขนาดเล็กที่มีกล้องติดอยู่ด้วยเข้าไปทางท่อไต จากนั้นใช้เลเซอร์ทำให้นิ่วมีขนาดเล็กลงหรือแตกตัวเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วใช้เครื่องมือนำเศษนิ่วเหล่านั้นออกมาโดยไม่ต้องผ่าตัด
ถือเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ คนไข้ไม่เจ็บตัวมาก ฟื้นตัวเร็ว เมื่อเทียบกับการผ่าตัดแบบเปิด และสามารถสลายก้อนนิ่วได้หมด แต่มีข้อจำกัดที่ขนาดนิ่วและตำแหน่งของนิ่ว
4. การรักษานิ่วในไตด้วยการผ่าตัดแบบเปิด
เป็นการผ่าตัดผ่านผิวหนังเข้าไปจึงตำแหน่งที่มีนิ่วเพื่อเอาก้อนนิ่วออก แล้วเย็บปิดแผล ทำได้กับนิ่วทุกขนาด ทุกประเภท แต่ถ้าจำเป็นต้องผ่าตัดผ่านเนื้อไต จะทำให้ไตเกิดพังผืดจากแผลเป็นได้ ทำให้ไตบางส่วนตาย จำนวนเซลล์ไตลดลง อาจส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของไตลดลงไปด้วย
การผ่าตัดนิ่วแบบเปิดยังทำให้คนไข้เกิดแผลเป็น เจ็บกว่าการรักษาแบบอื่น และใช้ระยะเวลาพักฟื้นนาน เปรียบเทียบกับการสลายนิ่วหรือการผ่าตัดแบบส่องกล้อง
รู้จักการผ่าตัดนี้
การส่องกล้องคล้องนิ้วในไตผ่านผิวหนัง ทางเลือกในการรักษานิ่วในไตแบบแผลเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวเร็ว
การส่องกล้องคล้องนิ้วในไตผ่านผิวหนัง (Percutaneous Nephrolithotomy: PCNL) มักใช้ในกรณีที่ก้อนนิ่วมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2 เซนติเมตรขึ้นไป ตำแหน่งของนิ่วขวางกั้นระบบทางเดินปัสสาวะ นิ่วอยู่ในท่อเชื่อมระหว่างไตกับกระเพาะปัสสาวะ หรือเมื่อการรักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล
การรักษานิ่วในไตวิธีนี้ โดยทั่วไปใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 3-4 ชั่วโมง ระงับความเจ็บปวดด้วยการวางยาสลบ คนไข้จึงอาจต้องงดน้ำและอาหารก่อนผ่าตัดเพื่อลดความเสี่ยงของการสำลักระหว่างผ่าตัด และแพทย์อาจให้ยาปฏิชีวนะก่อนผ่าตัดเพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อ
- หลังยาสลบออกฤทธิ์ดีแล้ว แพทย์จะเริ่มจากแพทย์เจาะรูเล็กๆ บริเวณหลังของคนไข้ขนาดประมาณ 1 เซนติเมตร จำนวน 1 รู ทะลุผ่านเนื้อไตของคนไข้ แล้วใช้กล้องส่องนำเครื่องมือสอดเข้าไปทางรูนั้น กรณีที่นิ่วมีขนาดใหญ่แพทย์จะทำให้นิ่วแตกออกเป็นชิ้นเล็กลงด้วยเครื่องมือ Lithoclast Lithotripsy แล้วจึงคล้องนิ่วออกจากร่างกายผู้ป่วยผ่านทางรูผิวหนังรูเดิม
- เป็นวิธีรักษานิ่วในไตที่กำจัดนิ่วได้ทุกขนาด ทุกระดับความแข็ง
- หลังผ่าตัด แพทย์มักแนะนำให้คนไข้พักดูอาการอยู่ในโรงพยาบาล 3-4 วัน แล้วค่อยกลับไปพักฟื้นต่อที่บ้าน
ข้อดีของการส่องกล้องคล้องนิ้วในไตผ่านผิวหนัง
แผลเจาะมีขนาดประมาณ 1 เซนติเมตร เจ็บแผลน้อย ใช้ยาระงับปวดน้อยกว่า เสียเลือดน้อยกว่า พักฟื้นไม่นาน เพียงแค่ 3-4 วันก็สามารถกลับบ้านได้ เมื่อกลับบ้านแล้วมักต้องใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 1-2 สัปดาห์ ในขณะที่การผ่าตัดแบบเปิดจะใช้เวลามากกว่า คือประมาณ 4-6 สัปดาห์
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
โดยทั่วไปแล้ว การรักษานิ่วในไตด้วยวิธีส่องกล้องคล้องนิ่วในไตผ่านผิวหนังเป็นวิธีที่ได้ผล ทำเพียงครั้งเดียวสามารถกำจัดก้อนนิ่วที่มีอยู่ ณ ขณะนั้นได้หมด ไม่ต้องทำซ้ำหลายครั้ง
อย่างไรก็ตาม เป็นปกติของการผ่าตัดที่อาจมีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ เช่น อาจมีปัญหาเลือดออกหรือเสียเลือดระหว่างผ่าตัด แต่พบน้อย กับบางกรณีซึ่งน้อยมากคือ อาจพบความซับซ้อนระหว่างผ่าตัด เช่น นิ่วมีขนาดใหญ่เกินไปหรืออยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามารถคล้องนิ่วออกมาได้ จนต้องเปลี่ยนเป็นผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้องแทน