ฝากครรภ์ และทำคลอดพรีเมี่ยม พลัส พร้อมนอนพัก รพ. 4 วัน 3 คืน (Package ANC & Delivery Premium Plus)

ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับการฝากครรภ์และทำคลอด

การฝากครรภ์ เป็นส่วนหนึ่งของเวชศาสตร์ป้องกัน มีจุดประสงค์คือ ดูแลให้การตั้งครรภ์และการคลอดเป็นไปอย่างราบรื่น ปลอดภัยทั้งมารดาและทารก ปราศจากภาวะแทรกซ้อน และมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง
หลายคนมักเข้าใจผิดว่า สามารถมาฝากครรภ์ตอนไหนก็ได้ หรือมาฝากครรภ์แค่ช่วงแรกแล้วค่อยมาพบแพทย์ตอนใกล้คลอดก็ได้ นั่นเป็นเรื่องที่ผิด เพราะตลอดระยะเวลาของการตั้งครรภ์ สามารถเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้ทั้งต่อมารดาและทารก
เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ว่าที่คุณแม่ควรมาฝากครรภ์ทันทีที่ทราบว่าตนเองตั้งครรภ์ และมาตรวจให้ครบตามที่แพทย์นัดหมาย ตั้งแต่ระยะแรกเริ่มไปจนถึงการคลอด
 
ข้อดีของการฝากครรภ์

• ช่วยวินิจฉัยภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์ที่อาจทำให้เกิดอันตรายต่อแม่และเด็กได้ เช่น ภาวะครรภ์เป็นพิษ โรคซิฟิลิส โรคหัวใจ ภาวะเลือดแม่และลูกไม่เข้ากัน เด็กในครรภ์ท่าผิดปกติ หรือเบาหวานขณะตั้งครรภ์
• เป็นที่ปรึกษาให้กับคุณแม่ ทั้งก่อนคลอด ระหว่างคลอด และหลังคลอด โดยเฉพาะในด้านสุขภาพจิต เพราะในระหว่างตั้งครรภ์ สามารถเกิดความวิตกกังวล หรือภาวะซึมเศร้าระหว่างตั้งครรภ์ได้
• แพทย์จะช่วยเตรียมความพร้อมให้กับคุณพ่อคุณแม่ โดยให้คำแนะนำวิธีการเลี้ยงดูเด็กทารกแรกเกิดที่เหมาะสม
• ช่วยลดอันตรายจากภาวะเลือดออกระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่ไม่สามารถป้องกันได้แม้จะมีการฝากครรภ์ โดยการให้ยาบำรุง วิตามิน หรือยาเสริมธาตุเหล็ก เพื่อให้ความเข้มข้นของเลือดอยู่ในระดับปกติ
• ลดอัตราการเสียชีวิต หรือภาวะแทรกซ้อนของแม่ที่เกิดจากการคลอด เช่น การคลอดผิดปกติ การติดเชื้อ หรือการเสียเลือด

การผ่าคลอด เป็นการคลอดด้วยวิธีทางการแพทย์ โดยการผ่าตัดหลังจากการวางยาสลบหรือใช้วิธีระงับความเจ็บปวดเป็นส่วนๆ เช่น บล็อกหลัง ส่วนใหญ่แพทย์มักแนะนำให้คลอดด้วยวิธีนี้ในกรณีที่ไม่สามารถคลอดธรรมชาติได้ เช่น กรณีทารกตัวใหญ่ เป็นทารกแฝด ปากมดลูกไม่เปิด รกหรือสายสะดือมีปัญหา ทารกไม่กลับหัว หรือหัวใจของทารกเต้นช้าลงระหว่างรอคลอด
อย่างไรก็ตาม บางคนอาจเลือกผ่าคลอดเองก็ได้ โดยการผ่าคลอดมีข้อดีคือไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวดขณะคลอด กำหนดวัน-เวลาคลอดได้ และไม่ทิ้งแผลเป็นบริเวณฝีเย็บเหมือนกับคลอดธรรมชาติ

ปัจจัยที่แพทย์จะแนะนำให้ผ่าคลอด
การผ่าคลอดจะถูกใช้ในกรณีที่การคลอดธรรมชาติอาจเป็นอันตรายต่อทั้งแม่และเด็ก เช่น

• ผู้ตั้งครรภ์เคยได้รับการผ่าคลอดมาก่อน
• ผู้ตั้งครรภ์มีปัญหาสุขภาพที่อาจเป็นอันตรายหากคลอดแบบธรรมชาติ เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ครรภ์เป็นพิษ เป็นต้น
• เกิดภาวะรกต่ำ (Placenta Previa) โดยจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์
• ภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด (Placental Abruption) ทำให้ทารกไม่ได้รับออกซิเจนจึงต้องผ่าคลอดแบบฉุกเฉิน
• มดลูกแตก (Uterine Rupture) ทั้งแม่และทารกขาดออกซิเจน จึงต้องได้รับการผ่าคลอดโดยด่วน
• ทารกอยู่ในท่าก้นออก (Breech Position) ถือเป็นท่าที่ผิดปกติในการคลอด
• ภาวะความเครียดของทารกในครรภ์ (Fetal Distress) ส่วนใหญ่มักเกิดจากทารกขาดออกซิเจนไปเลี้ยงอย่างเพียงพอ
• การคลอดด้วยวิธีธรรมชาติล้มเหลว เช่น ปากมดลูกเปิดไม่สุด การคลอดเป็นไปได้ช้า หรือเด็กอยู่ในท่าที่ไม่สามารถคลอดออกมาได้ เป็นต้น
• การผิดสัดส่วนระหว่างศีรษะทารกกับกระดูกเชิงกราน (Cephalopelvic Disproportion: CPD) โดยส่วนใหญ่มักพบเมื่อขนาดศีรษะของทารกมีขนาดใหญ่กว่ากระดูกเชิงกรานของผู้เป็นแม่
• ผู้ตั้งครรภ์มีอาการของเริมที่อวัยวะเพศ
• ตั้งครรภ์แฝด
• ร่างกายมารดาไม่พร้อมสำหรับการคลอดแบบธรรมชาติ

หมายเหตุ

• ส่วนใหญ่แล้วการผ่าคลอดจะต้องมีการนัดหมายล่วงหน้า
• แพทย์จะแนะนำให้ปรึกษาวิสัญญีแพทย์เกี่ยวกับเงื่อนไขสุขภาพเพื่อลดภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ยาสลบ
• แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจเลือดก่อนการผ่าตัด เพื่อดูระดับฮีโมโกลบินและกรุ๊ปเลือด
• การพักฟื้นหลังคลอดจะใช้เวลามากกว่าการคลอดแบบธรรมชาติ
• โดยทั่วไป การผ่าตัดคลอดมีค่าใช้จ่ายมากกว่าการคลอดแบบธรรมชาติ

แพ็กเกจอื่นในหมวดหมู่ ทำคลอด ฝากครรภ์ ราคา เท่าไรบ้าง? เช็กราคาพร้อมโปรโมชั่นได้ที่นี่