รักษาหลอดเลือดสมองโป่งพอง ด้วยการใส่ขดลวดหรือกาวอุดหลอดเลือด
รายละเอียด
รู้จักโรคนี้
รู้จักโรคหลอดเลือดสมองโป่งพอง
หลอดเลือดสมองโป่งพอง (Cerebral Aneurysm) เป็นภาวะที่ผนังหลอดเลือดในสมองเกิดการขยายตัวโป่งออกเฉพาะจุด เนื่องจากผนังเส้นเลือดส่วนนั้นเสื่อมจนบางลง เมื่อเลือดไหลเวียนสู่กระเปาะที่โป่งพองนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ กระเปาะดังกล่าวก็จะยิ่งโป่งพองมากขึ้นจนคล้ายบอลลูน ทำให้ผนังหลอดเลือดยิ่งบางลง จนในที่สุดอาจถึงขั้นแตก ตามมาด้วยเลือดออกในสมองได้ในเวลาต่อมา
บริเวณหลอดเลือดสมองที่มีโอกาสเสื่อม บาง โป่งพองและแตก คือ ขั้วของหลอดเลือดที่แตกแขนงในสมอง
ผู้มีหลอดเลือดสมองโป่งพองราวๆ 10-30% มีหลอดเลือดสมองโป่งพองหลายมากกว่า 1 ตำแหน่ง โดยส่วนใหญ่พบว่าเป็นหลอดเลือดโป่งพองขนาดเล็ก และไม่ทำให้เกิดอาการแสดงที่ผิดปกติใดๆ
สัญญาณที่ต้องตรวจ
หลอดเลือดสมองโป่งพองมักไม่แสดงอาการ โดยทั่วไปจะมีอาการอย่างเฉียบพลันเมื่อหลอดเลือดสมองโป่งจนแตกออก อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่หลอดเลือดโป่งพองมากจนไปกดเนื้อเยื่อสมองหรือเส้นประสาทในสมอง อาจก่อให้เกิดอาการต่อไปนี้
- มีปัญหาการมองเห็น เช่น มองไม่เห็น หรือเห็นภาพซ้อน
- เจ็บปวดบริเวณเหนือหรือรอบดวงตา
- ใบหน้าข้างในข้างหนึ่งไร้ความรู้สึก หรืออ่อนแรง
- พูดลำบาก
- ปวดศีรษะ
- เสียการทรงตัว
- มีปัญหาการจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือมีปัญหาด้านความจำระยะสั้น
แม้ว่าหลอดเลือดสมองที่โป่งพองจะไม่แตกในทันทีทันใด แต่ถ้ามีสัญญาณที่น่าสงสัยว่าอาจจะเป็น ก็ควรพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยอย่างเร่งด่วน เพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที เพราะถ้าปล่อยไว้จนเส้นเลือดในสมองแตก จะกลายเป็นภาวะฉุกเฉินที่ทำให้เสียชีวิต หรือเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต ได้
อาการเส้นเลือดในสมองแตก เช่น
- ปวดศีรษะมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน บางรายอธิบายว่าเหมือนถูกตีด้วยของหนัก
- คอแข็ง ปวดคอ เคลื่อนไหวคอลำบาก
- มีปัญหาการมองเห็น เช่น แพ้แสง มองเห็นภาพเบลอหรือภาพซ้อน หนังตาตก ม่านตาขยาย รู้สึกปวดบริเวณเหนือหรือด้านหลังลูกตา
- รู้สึกสับสนขึ้นมาอย่างกะทันหัน
- หมดสติ
- ชัก
- อวัยวะหรือร่างกายข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรง
- อาเจียน
คนไข้บางรายอาจมีอาการที่เรียกว่า “ปวดศีรษะเตือนนำมาก่อนเกิดการแตกของหลอดเลือดสมอง” (Sentinel headaches) คือ อาการปวดศีรษะแบบรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต ช่วงปวดมากจะอยู่ประมาณ 5 นาที และอาการปวดศีรษะจะยังคงอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง โดยอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ร่วมด้วย
อาการดังกล่าวนี้เกิดขึ้นเนื่องจากมีเลือดรั่วซึมออกจากหลอดเลือดที่โป่งพอง โดยมักเกิดก่อนหลอดเลือดสมองแตกในหลักวันหรือสัปดาห์
ตรวจโรคนี้อย่างไรได้บ้าง
ตรวจโรคหลอดเลือดสมองโป่งพองอย่างไรได้บ้าง
การตรวจหาหลอดเลือดสมองโป่งพอง สามารถทำได้โดยวิธีการต่อไปนี้
1. ตรวจหลอดเลือดสมองโป่งพองด้วย CT Acan
เป็นเทคนิคที่ใช้รังสีเอกซ์ร่วมกับคอมพิวเตอร์ เพื่อถ่ายภาพสมองแบบตัดขวาง 2 มิติออกมา เทคนิคนี้มักเป็นเทคนิคแรกที่แพทย์จะใช้เพื่อดูความผิดปกติของหลอดเลือดในสมอง เพื่อดูว่ามีเลือดไหลออกจากหลอดเลือดหรือไม่ บางครั้งอาจจะใช้อีกเทคนิคที่เรียกว่า CT Angiogram (CTA) ซึ่งจะเพิ่มการฉีดสารทึบรังสีเข้าไป ทำให้เห็นรายละเอียดการไหลเวียนของเลือดมากขึ้น โดยจะเห็นขนาด ตำแหน่ง และรูปร่างของหลอดเลือดสมองที่โป่งพองได้
2. ตรวจหลอดเลือดสมองโป่งพองด้วย MRI
ใช้หลักการสนามแม่เหล็กขนาดใหญ่ คลื่นวิทยุ และคอมพิวเตอร์ สร้างภาพของสมองขึ้นมาแบบ 2 หรือ 3 มิติ การตรวจจะทำให้เห็นว่ามีเลือดออกในสมองหรือไม่ เทคนิคสำหรับดูหลอดเลือดโดยเฉพาะ เรียกว่า Magnetic Resonance Angiography (MRA) ซึ่งจะให้ภาพรายละเอียดหลอดเลือดในสมองที่ชัดเจน สามารถระบุขนาด ตำแหน่ง และรูปร่างของหลอดเลือดสมองที่โป่งพองได้
3. ตรวจหลอดเลือดสมองโป่งพองด้วยวิธีฉีดสีตรวจหลอดเลือดสมอง และหลอดเลือดคอ แคโรติด (Cerebral Angiography)
ใช้วิธีสอดลวดนำเข้าไปในหลอดเลือดแดงบริเวณขาหนีบ ตามด้วยท่อพลาสติกขนาดเล็กที่ยืดหยุ่นได้ แล้วค่อยๆ ดันเข้าไปจนถึงบริเวณคอ จากนั้นฉีดสารทึบรังสีเข้าสู่ท่อพลาสติก แล้วถ่ายภาพด้วยรังสีเอกซ์ การตรวจนี้จะช่วยให้เห็นรายละเอียดการไหลเวียนของเลือด ตำแหน่งที่หลอดเลือดมีปัญหา เช่น อุดตัน บาง โป่งพอง
เทคนิคการตรวจนี้สามารถวิเคราะห์ต้นตอของหลอดเลือดสมองโป่งพอง ขนาด และตำแหน่งที่แม่นยำของหลอดเลือดที่โป่งพองในสมอง
4. ตรวจหลอดเลือดสมองโป่งพองด้วยการวิเคราะห์น้ำไขสันหลัง Cerebrospinal Fluid (CSF) Analysis
การตรวจนี้มักใช้ในกรณีที่คนไข้แสดงอาการของเส้นเลือดในสมองแตก แต่ตรวจไม่พบเลือดออกด้วยวิธี CT Scan โดยเจ้าหน้าที่จะเจาะน้ำไขสันหลังคนไข้ ซึ่งเป็นของเหลวที่ทำหน้าที่ปกป้องสมองและไขสันหลัง นำมาตรวจสอบส่วนประกอบ ถ้ามีเลือดออกในสมอง เทคนิคนี้จะทำให้ตรวจพบได้
อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วแพทย์มักไม่แนะนำให้ตรวจสมองด้วยเทคนิคดังกล่าวถ้าคนไข้ไม่มีอาการผิดปกติมาก่อน จะตรวจให้ก็ต่อเมื่อเป็นกลุ่มเสี่ยงหลอดเลือดสมองโป่งพอง เช่น
- คนในครอบครัวคนไข้มีประวัติเป็นหลอดเลือดสมองโป่งพอง โดยเฉพาะที่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิด เช่น พ่อแม่ พี่น้อง ลูก
- คนไข้มีความผิดปกติที่จะเพิ่มความเสี่ยงการเกิดหลอดเลือดสมองโป่งพอง เช่น เป็นโรคถุงน้ำในไต (Polycystic Kidney Disease) มีภาวะหลอดเลือดเอออร์ตาตีบตัน (coarctation of the aorta) เป็นโรคหนังยืดผิดปกติ (Ehlers-Danlos Syndrome)
รักษาโรคนี้ได้วิธีไหนบ้าง
รักษาโรคหลอดเลือดสมองโป่งพองได้ด้วยวิธีไหนบ้าง
การรักษาหลอดเลือดโป่งพองจะพิจารณาจากขนาด ตำแหน่งที่หลอดเลือดโป่งพอง และสภาพของสมองคนไข้แต่ละคน นอกจากนี้ยังอาจพิจารณาร่วมกับภาวะสุขภาพของคนไข้ด้วยว่าสามารถรับการรักษาด้วยวิธีใดได้บ้าง โดยดูจากอายุ โรคประจำตัว น้ำหนัก ประวัติความเจ็บป่วยของคนไข้และญาติใกล้ชิด ไปจนถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่อาจส่งผลต่อการรักษา
1. การรักษาโรคหลอดเลือดสมองโป่งพองด้วยวิธีผ่าตัด
แพทย์มักพิจารณาให้ผ่าตัดก็ต่อเมื่อคนไข้มีความเสี่ยงสูงที่หลอดเลือดสมองจะแตกเท่านั้น เนื่องจากการผ่าตัดเองก็มีความเสี่ยงเช่นกัน เช่น อาจทำให้เนื้อเยื่อสมองถูกทำลาย หรือเป็นโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
การผ่าตัดรักษาโรคหลอดเลือดสมองโป่งพองที่ใช้ทั่วไป เรียกว่า Surgical Clipping ผ่าตัดจำเป็นต้องผ่าเปิดกะโหลกศีรษะ แล้วจึงเข้าถึงบริเวณผ่าตัดในสมองได้ เมื่อพบหลอดเลือดสมองที่โป่งพอง แพทย์จะทำการติดคลิปโลหะขนาดจิ๋วเพื่อปิดทางไหลเวียนเลือด ไม่ให้ไปเลี้ยงกระเปาะหลอดเลือดที่โป่งพองในสมองได้อีก
ส่วนใหญ่ผู้ที่รักษาหลอดเลือดสมองโป่งพองด้วยเทคนิคนี้ มักจะต้องพักสังเกตอาการในโรงพยาบาลประมาณ 1-2 วันหลังผ่าตัด และพักฟื้นประมาณ 4-6 สัปดาห์
กรณีที่เส้นเลือดสมองแตกไปแล้ว ก็ยังอาจรักษาได้ด้วยวิธีนี้เช่นกัน แต่มักต้องพักฟื้นนานกว่ากรณีที่หลอดเลือดโป่งพอง ยังไม่แตก
2. การรักษาโรคหลอดเลือดสมองโป่งพอง ด้วยวิธีฉีดสี อุดหลอดเลือดสมองโป่งพองด้วยขดลวด (Coiling Ambolizations)
เป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษาหลอดเลือดในสมองโป่งพอง โดยไม่ผ่าตัด จัดว่ามีความเสี่ยงต่ำกว่าการผ่าตัด ไม่ก่อให้เกิดแผลที่กะโหลกศีรษะ
ขั้นตอนการรักษา แพทย์หรือเจ้าหน้าที่จะให้คนไข้นอนบนเตียงเอกซเรย์ แล้วติดชุดให้สารน้ำทางหลอดเลือด (IV Line) เข้าที่บริเวณแขนคนไข้ จากนั้นจะมีการติดตั้งอุปกรณ์ ECG เพื่อตรวจวัดสัญญาณชีพระหว่างรักษา อาจมีการใส่สายสวนปัสสาวะเพื่อระบายน้ำปัสสาวะออกให้หมดก่อน
เมื่อจะเริ่มฉีดสี หน้าที่จะทำความสะอาดผิวหนังที่ขาหนีบของคนไข้ ฉีดยาชา กรีดเปิดแผลเล็กๆ ที่ขาหนีบเพื่อเตรียมสายสวนเข้าทางหลอดเลือดแดง ก่อนสอดสายพลาสติกขนาดเล็กเข้าไปในหลอดเลือด โดยใช้ลวดนำการสอดท่อ ร่วมกับการใช้เครื่องฉายภาพรังสีระหว่างการรักษา (Fluoroscopy) เพื่อให้สายสวนเข้าไปยังตำแหน่งที่ถูกต้อง จนหยุดที่หลอดเลือด ณ ตำแหน่งก่อนจึงกระเปาะหลอดเลือดที่โป่งพอง
เมื่อเข้าไปถึงตำแหน่งดังกล่าวแล้ว แพทย์จะทำการฉีดสารทึบรังสี (ที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า “ฉีดสี”) สู่สายสวนหลอดเลือดแล้วถ่ายภาพด้วยรังสีเอกซ์ เพื่อให้ได้ภาพการไหลเวียนเลือดภายในสมองอย่างชัดเจน จากนั้นกระเปาะหลอดเลือดที่โป่งพองจะถูกวัดขนาด รูปร่าง และบันทึกผล
หลังจากนั้น สายสวนเล็กๆ อีกอันจะถูกสอดเข้าด้านในของสายสวนอันแรก เข้าไปจนถึงตำแหน่งกระเปาะหลอดเลือดที่โป่งพอง แล้วแพทย์ก็ใส่ขดลวดผ่านสายสวนเข้าไปยังกระเปาะหลอดเลือดดังกล่าว ก่อนจะทิ้งไว้ที่บริเวณนี้อย่างถาวร โดยอาจมีการบันทึกภาพด้วยรังสีเอกซ์อีกครั้งก่อนนำอุปกรณ์ต่างๆ ออกจากร่างกายคนไข้ เพื่อให้แน่ใจว่าขดลวดได้เข้าไปปิดการไหลเวียนของเลือดเรียบร้อยแล้ว
หลักการรักษาหลอดเลือดโป่งพองด้วยวิธีฉีดสี อุดหลอดเลือดสมองโป่งพองด้วยขดลวด คือ ขดลวดจะเหนี่ยวนำให้เกิดลิ่มเลือด ทำให้กระเปาะหลอดเลือดที่โป่งพองอุดตัน ไม่มีเลือดไหลเวียนมายังจุดนี้อีก
3. การรักษาหลอดเลือดสมองโป่งพอง ด้วยวิธีฉีดสี อุดหลอดเลือดสมองโป่งพองด้วยกาวอุดหลอดเลือด (Glue Ambolizations)
เป็นอีกทางเลือกในการรักษาหลอดเลือดสมองโป่งพองโดยไม่ผ่าตัด โดยใช้สารที่เรียกว่า n-Butyl cyanoacrylate เข้าไปอุดเส้นเลือดที่โป่งพอง โดยทั่วไปจัดว่าเป็นเทคนิคที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าการผ่าตัด
สาร n-Butyl cyanoacrylate มีคุณสมบัติคล้ายกาวในรูปแบบของเหลว แต่จะแข็งตัวอย่างรวดเร็วและติดอยู่กับที่ถาวรเมื่อสัมผัสกับสารประกอบอื่นๆ เช่น เลือด ผนังหลอดเลือด
ขั้นตอนการรักษาหลอดเลือดสมองโป่งพอง ด้วยวิธีฉีดสี อุดหลอดเลือดสมองโป่งพองด้วยกาวอุดหลอดเลือด คล้ายกับการรักษาด้วยการใช้ขดลวด มีการใส่สายสวนหลอดเลือดที่ขาหนีบ ฉีดสารทึบรังสีเพื่อถ่ายภาพการไหลเวียนเลือดในสมอง ต่างกันตรงแทนที่จะปล่อยขดลวดเข้าสู่สายสวนหลอดเลือด แพทย์จะปล่อยกาวอุดหลอดเลือดแทน กับก่อนใส่กาวอุดหลอดเลือด บางทีแพทย์อาจใช้บอลลูนเพื่ออุดการไหลเวียนของเลือดชั่วคราวร่วมด้วย
การรักษาด้วยวิธีนี้อาจก่อให้เกิดความเจ็บปวด จึงมักมีการใช้ยาชาเฉพาะที่หรือยาสลบเพื่อระงับความรู้สึกร่วมด้วย
4. การรักษาหลอดเลือดสมองโป่งพอง ด้วยวิธีเปลี่ยนทางไหลเวียนเลือด
การเปลี่ยนทางไหลเวียนเลือด (Flow Diversion) แพทย์จะใส่ตาข่ายลวด (Stent) เข้าไปในหลอดเลือดคนไข้ เพื่อเปลี่ยนทางไหลของเลือดให้ไม่ไปเลี้ยงบริเวณที่โป่งพอง เมื่อเลือดไปเลี้ยงบริเวณดังกล่าวน้อยลง โอกาสที่หลอดเลือดโป่งพองจะแตกก็ลดน้อยลง และยังช่วยให้ร่างกายได้ฟื้นฟู นอกจากนี้ ตาข่ายลวดยังช่วยเตรียมร่างกายให้พร้อมสร้างเซลล์ใหม่ และปิดบริเวณที่โป่งพองไปในที่สุด
วิธีเปลี่ยนทางไหลเวียนเลือดมักให้ผลดีในกรณีที่หลอดเลือดโป่งพองมีขนาดใหญ่จนเกินกว่าจะรักษาด้วยวิธีการอื่น
ถ้าไม่รักษาหลอดเลือดสมองโป่งพอง จะเกิดอะไรขึ้น
ถ้าแพทย์ตรวจวินิจฉัยแล้วว่าภาวะหลอดเลือดสมองที่โป่งพองนั้นไม่ก่อให้เกิดอันตราย อาจไม่จำเป็นต้องรักษาเลย แต่ถ้ามีความเสี่ยงที่หลอดเลือดนั้นจะแตก จำเป็นต้องรักษาให้ทันท่วงที่ด้วยเทคนิคที่แพทย์แนะนำสำหรับคนไข้แต่ละคน
จากสถิติพบว่า 25% ของคนที่มีประสบการณ์หลอดเลือดในสมองแตกเสียชีวิตภายใน 24 ชั่วโมง ส่วนอีก 25% เกิดภาวะแทรกซ้อนที่นำไปสู่ความตายภายใน 6 เดือน
โดยทั่วไป กระเปาะของหลอดเลือดที่ใหญ่กว่า 7 มิลลิเมตรจะมีโอกาสแตกสูงในเวลาใดเวลาหนึ่ง ส่วนที่เล็กกว่า 7 มิลลิเมตรมีโอกาสแตก 0.1% อย่างไรก็ตาม แม้ตัวเลขจะดูเหมือนเล็กน้อย แต่หากเกิดหลอดเลือดในสมองแตกขึ้นแล้ว คนไข้มีโอกาสเสียชีวิตถึง 50% หรือต้องประสบภาวะอัมพฤกษ์หรืออัมพาตหากรักษาไม่ทัน
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด
ถ้าต้องวางยาสลบ แพทย์จะให้งดเครื่องดื่มและอาหารก่อน เพื่อป้องกันการสำลักระหว่างรักษา
การดูแลหลังผ่าตัด
กรณียังไม่มีเส้นเลือดในสมองแตก หลังจากฉีดสีอุดหลอดเลือดสมองโป่งพอง คนไข้อาจจะต้องพักสังเกตอาการในโรงพยาบาลประมาณ 1-2 วัน ช่วง 12-24 ชั่วโมงแรก คนไข้ควรนอนราบบนเตียง
โดยพยาบาลจะคอยตรวจวัดสัญญาณชีพ บริเวณใส่สายสวนหลอดเลือดแดง รวมถึงสังเกตการไหลเวียนของเลือด และคอยวัดความรู้สึกบริเวณขา
ถ้าผลการรักษาเป็นไปด้วยดี ไม่มีความผิดปกติแทรกซ้อน แพทย์จะให้กลับไปพักฟื้นต่อที่บ้าน ตามปกติอาการควรค่อยๆ ดีขึ้น โดยอาจเป็นหลักวันหรือไม่กี่สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ถ้าผ่านไป 3 สัปดาห์แล้วอาการไม่ดีขึ้นเลย หรือยิ่งแย่ลง ควรปรึกษาแพทย์
โดยทั่วไปมักสามารถรับประทานอาหารปกติได้เลย เว้นแต่ว่าแพทย์แนะนำเป็นอย่างอื่น
ถ้ามีอาการเจ็บปวด สามารถรับประทานยาแก้ปวดตามแพทย์สั่งได้
เมื่อกลับไปบ้านแล้ว ควรปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์อย่างเคร่งครัด พร้อมกับสังเกตอาการเหล่านี้ หากมีให้ติดต่อแพทย์ทันที
- มีไข้ หนาวสั่น
- บริเวณที่ใส่สายสวนมีอาการเจ็บปวดมากขึ้น แดง บวม มีเลือดหรือของเหลวอื่นใดไหลออกมา
- รู้สึกหนาว ชา หรือเจ็บแปลอย่างแรงขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
- มีอาการเกี่ยวกับระบบประสาท เช่น ปวดศีรษะมาก ชัด ไม่รู้สึกตัว
จากฉีดสีอุดหลอดเลือดสมองโป่งพองประมาณ 1 เดือน แพทย์มักนัดตรวจด้วยวิธี ตรวจหลอดเลือดสมองโป่งพองด้วยวิธีฉีดสีตรวจหลอดเลือดสมอง และหลอดเลือดคอ แคโรติด (Cerebral angiography) เพื่อให้แน่ใจว่าการรักษาได้ผลดี
นอกจากนี้แพทย์อาจสั่งตรวจด้วยเทคนิคอื่นร่วมด้วย เช่น ทำ MRI MRA
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
การฉีดสีอุดหลอดเลือดสมองด้วยขดหลวดหรือกาวอุดหลอดเลือด จัดเป็นวิธีที่มีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับการรักษาแบบผ่าตัด แต่ก็เหมือนการทำหัตถการทุกชนิดที่สามารถเกิดผลข้างเคียงขึ้นได้ เช่น
- อาจเกิดหลอดเลือดแดงบาดเจ็บจากขดลวดนำหรือสายสวนหลอดเลือด ซึ่งทำให้มีเลือดออก หลอดเลือดอุดตัน หรือเกิดลิ่มเลือดขึ้นได้
- แพ้สารทึบรังสีหรือแพ้กาวอุดหลอดเลือด
- ติดเชื้อ
- สารทึบรังสีส่งผลต่อการทำงานของไต ทำให้ไตเสียหาย (อาจเกิดได้กับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานหรือเป็นโรคไตอยู่ก่อน)
อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงเหล่านี้จัดว่าพบได้น้อยมาก โดยเฉพาะเมื่อทำโดยผู้ชำนาญการ มีประสบการณ์ และเตรียมตัวก่อนตรวจเป็นอย่างดี