การตรวจวิตามินช่วยให้รู้ว่าร่างกายกำลังมีระดับวิตามินตัวไหนมาก-น้อย เพื่อวางแผนดูแลสุขภาพได้ดีขึ้น
รายละเอียด
รายละเอียด
ราคานี้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง?
- ค่าตรวจระดับวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ 17 รายการ ดังนี้
- ตรวจสุขภาพโดยแพทย์เวชศาสตร์ป้องกัน (Consultation Anti-Aging Medicine)
- ตรวจระดับวิตามินซีในร่างกาย (Vitamin C: HPLC)
- ตรวจระดับวิตามินเอในร่างกาย (Vitamin A: HPLC)
- ตรวจระดับวิตามินอีในร่างกาย (Vitamin E: HPLC)
- ตรวจระดับวิตามินอีในร่างกาย (Gamma Tocopherol)
- ตรวจระดับเบต้าแคโรทีนในร่างกาย (Beta Carotene)
- ตรวจระดับแอลฟ่าแคโรทีนในร่างกาย (Alpha Carotene)
- ตรวจระดับโคเอนไซม์คิวเทน (Coenzyme Q10: HPLC)
- ตรวจระดับสารไลโคปีนในร่างกาย (Lycopene)
- ตรวจความสมดุลของแร่ธาตุและเกลือแร่ต่างๆ ในร่างกาย (โฟเลท) (Folate)
- ตรวจความสมดุลของแร่ธาตุและเกลือแร่ต่างๆ ในร่างกาย (วิตามินบี 12)
- ตรวจความสมดุลของแร่ธาตุและเกลือแร่ต่างๆ ในร่างกาย (โครเมียม)
- ตรวจความสมดุลของแร่ธาตุและเกลือแร่ต่างๆ ในร่างกาย (ทองแดง)
- ตรวจความสมดุลของแร่ธาตุและเกลือแร่ต่างๆ ในร่างกาย (เฟอร์ริติน)
- ตรวจความสมดุลของแร่ธาตุและเกลือแร่ต่างๆ ในร่างกาย (แมกนีเซียม)
- ตรวจความสมดุลของแร่ธาตุและเกลือแร่ต่างๆ ในร่างกาย (เซเลเนียม)
- ตรวจความสมดุลของแร่ธาตุและเกลือแร่ต่างๆ ในร่างกาย (สังกะสี)
- ค่าแพทย์
- ค่าบริการโรงพยาบาล
- คูปองอาหารว่าง
- สมุดรายงานผลตรวจสุขภาพ
หมายเหตุ
ถ้าต้องการปรึกษาแพทย์ก่อนตรวจ จะมีค่าแพทย์ที่ปรึกษาครั้งแรกเพิ่มเติม 800-1,000 บาท
เกี่ยวกับแพ็กเกจ
- ระยะเวลารับบริการประมาณ 1-2 ชั่วโมง
- ทราบผลภายในวันตรวจ โดยแพทย์จะเป็นผู้อธิบายผลให้ทราบ
- ผู้ที่เหมาะกับการรับบริการแพ็กเกจนี้ ได้แก่
- ผู้ที่มีความสงสัยว่าความผิดปกติทางร่างกายที่เป็นอยู่อาจมีสาเหตุจากการขาดวิตามิน
- ผู้ที่รับประทานวิตามินหรืออาหารเสริมเป็นประจำ และต้องการทราบว่าระดับวิตามินในร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่
- ผู้ที่อยู่ระหว่างการรักษาด้วยยา (Pharmacological) เช่น เคมีบำบัด ได้รับยาต่อเนื่องเป็นเวลานาน เพิ่งผ่านการผ่าตัด
- ผู้ที่มีความเครียดสูง อยู่ในสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ระบบดูดซึมไม่ดี มีปัญหาลำไส้
- ผู้ที่เป็นโรคที่มีสาเหตุมาจากอนุมูลอิสระ (Oxidative stress-related disease) เช่น อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน หลอดเลือดสมองตีบ เป็นต้น
การเตรียมตัวก่อนรับบริการ
- ต้องงดอาหารและเครื่องดื่ม 8-12 ชั่วโมงก่อนตรวจ (สามารถดื่มน้ำเปล่าได้)
ข้อมูลทั่วไป
วิตามิน⠀(Vitamin) เป็นสารอาหารสำคัญที่ร่างกายต้องการเพื่อให้การทำงานของระบบต่างๆ และการเจริญเติบโตเป็นไปอย่างปกติ โดยเราจะได้รับวิตามินจากอาหารที่รับประทานในแต่ละวัน
อย่างไรก็ตาม อาหารที่เลือกรับประทานอาจมีวิตามินในปริมาณที่น้อยหรือไม่ครบถ้วน หลายคนจึงเลือกรับประทานวิตามินเสริมเพิ่มเติมจากมื้ออาหารหลัก
รับประทานวิตามินเสริมเวลาไหนดี?
โดยปกติควรรับประทานวิตามินเสริมหลังมื้ออาหาร เพราะร่างกายจะสามารถดูดซึมไปใช้ได้ดีที่สุด และหากเป็นไปได้ควรเลือกมื้ออาหารที่เป็นมื้อใหญ่สุดของวัน
ใครที่เสี่ยงต่อการขาดวิตามิน?
กลุ่มที่เสี่ยงต่อการขาดวิตามิน ได้แก่
- ผู้สูงอายุ
- ผู้ที่ได้รับแสงแดดไม่เพียงพอ
- ผู้ที่งดรับประทานเนื้อสัตว์
- ผู้ที่แพ้อาหารบางประเภท เช่น นมวัว
- ผู้ที่ผ่าตัดกระเพาะหรือลำไส้
- ผู้รับประทานยาที่ส่งผลต่อการดูดซึมวิตามินบางอย่าง
- ผู้ที่ดื่มสุรา สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนจำนวนมากเป็นประจำ ซึ่งจะทำให้ร่างกายสูญเสียวิตามินอย่างรวดเร็ว
การตรวจระดับวิตามิน⠀เป็นการตรวจที่ทำให้รู้สภาวะขาดหรือเกินของวิตามินในร่างกาย เพื่อให้เลือกรับประทานเสริมได้อย่างเหมาะสม
การตรวจระดับวิตามิน สำคัญอย่างไร?
การตรวจวัดระดับวิตามินในร่างกาย นอกจากจะทำให้ทราบว่าควรได้รับวิตามินชนิดใดเพิ่มเติมแล้ว ยังเป็นการป้องกันการเลือกรับประทานวิตามินบางชนิดมากเกินไป จนอาจก่อให้เกิดผลเสียด้วย
ประเภทของวิตามิน
วิตามินแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
- วิตามินที่ละลายในน้ำ ได้แก่ วิตามินบี1 บี2 บี3 บี5 บี6 บี7 บี9 บี12 และวิตามินซี กลุ่มนี้จะอยู่ในร่างกายประมาณ 2-4 ชั่วโมง ส่วนที่เหลือจากการใช้งานจะถูกขับออกทางปัสสาวะ โอกาสที่จะสะสมในร่างกายจึงมีน้อย ไม่ค่อยก่อให้เกิดผลข้างเคียง
- วิตามินที่ละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามินเอ ดี อี และเค วิตามินชนิดนี้จะละลายในไขมัน หรือน้ำมันเพื่อดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ไม่สามารถขับออกทางปัสสาวะได้ หากได้รับมากเกินไปจะถูกสะสมไว้ในร่างกาย ซึ่งหากมีการสะสมมากเกินไปอาจมีผลเสียกับร่างกายได้
หมายเหตุ
- หากตรวจพบว่า ระดับวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายอยู่ในระดับต่ำ แพทย์อาจสั่งจ่ายวิตามินเฉพาะบุคคล
- วิตามินเสริมไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปแบบของวิตามินเม็ดเท่านั้น แต่สามารถได้จากอาหาร ผัก หรือผลไม้ที่มีประโยชน์เช่นกัน
- หากมีผลการตรวจสุขภาพครั้งล่าสุด ควรพกติดตัวมาด้วย
- หากมียา วิตามิน หรือสมุนไพร ที่รับประทานเป็นประจำ ควรนำมาด้วย อาจจดบันทึกหรือถ่ายรูปฉลากมาแทนได้
วิธีชำระและใช้งาน
จองและจ่ายเงินที่ HDmall.co.th พร้อมรับส่วนลดทันที (มีสิทธิ์ผ่อน 0% สูงสุด 10 เดือน*)
- แจ้งชื่อและข้อมูลของคุณสำหรับจองแพ็กเกจกับแอดมิน
- ชำระเงิน สามารถเลือกวิธีโอน จ่ายบัตรเดบิต หรือบัตรเครดิต โดยจ่ายบัตรเครดิตได้เมื่อมียอดชำระ 300 บาทขึ้นไป ผ่อนได้เมื่อมียอดชำระตั้งแต่ 3,000 บาท
- ส่งหลักฐานการชำระเงิน
- รอรับคูปองทางอีเมล (จะออกภายใน 24 ชั่วโมงหลังแอดมินตรวจสอบการชำระเงินเรียบร้อยแล้ว) คูปองมีอายุ 60 วัน
- นำคูปองไปยื่นที่โรงพยาบาลเพื่อรับบริการ
หมายเหตุ สำหรับแพ็กเกจที่ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนทำ หลังจากแพทย์ตรวจประเมินแล้วว่ารับบริการได้ ให้คุณกลับมาจ่ายค่าแพ็กเกจกับ HDmall.co.th เพื่อรับส่วนลด พร้อมรับสิทธิ์ผ่อน 0% สูงสุด 10 เดือน
เงื่อนไขการใช้คูปอง
- สำหรับแพ็กเกจแบบคอร์ส ต้องรับบริการครั้งแรกก่อนคูปองหมดอายุ ส่วนครั้งต่อๆ ไปขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของคลินิก
- คุณสามารถเลื่อนนัดได้ด้วยตัวเอง ตามเบอร์โทรศัพท์หรือไลน์ที่ระบุไว้ในคูปอง ก่อนวันนัดอย่างน้อย 3 วันทำการ แต่ต้องรับบริการก่อนคูปองหมดอายุ
- สามารถซื้อแพ็กเกจให้คนอื่นได้ เพียงแจ้งชื่อผู้จะรับบริการให้แอดมินทราบ เพื่อจะได้ระบุบนคูปอง
- อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของสถานที่ให้บริการ สามารถจ่ายที่โรงพยาบาลได้โดยตรง
เงื่อนไขการให้บริการ และราคาของ โรงพยาบาลพญาไท 2 อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามแผนการส่งเสริมการขาย ท่านสามารถตรวจสอบเงื่อนไขการให้บริการ และราคาล่าสุดได้จากแอดมิน HDmall.co.th