การใส่บอลลูนกระเพาะอาหาร เป็นการใส่บอลลูนบรรจุน้ำเกลือและเมทิลีนบลู เข้าไปยังกระเพาะอาหารผ่านทางปาก ช่วยลดพื้นที่กระเพาะ ทำให้อิ่มเร็วขึ้น
🚀 จองแพ็กเกจได้ด้วยตัวเอง ฟรี! ง่ายๆ ใน 3 ขั้นตอน
- กด จองเลย
- กรอกข้อมูลให้ครบ
- คลิกส่งข้อมูลให้ HDmall
เสร็จแล้วอย่าลืมเช็กคิวและทำนัดผ่านแอดมิน HDmall เท่านั้นนะ (นัดล่วงหน้าอย่างน้อย 24 ชม.)
แพ็กเกจนี้จำเป็นต้องให้แพทย์ตรวจประเมินก่อนรับบริการ และอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากที่ระบุไว้บนเว็บไซต์
รายละเอียด
ทำไมคนอื่นซื้อแพ็กเกจนี้?
✨ เปลี่ยนชีวิตคุณด้วยวิธีลดน้ำหนักที่ง่ายและปลอดภัย! หากคุณกำลังมองหาวิธีลดน้ำหนักที่ไม่ต้องผ่าตัดและมีประสิทธิภาพ การใส่บอลลูนกระเพาะอาหาร (Gastric Balloon) ที่โรงพยาบาลยันฮี คือคำตอบที่คุณไม่ควรพลาด!
🏥 แพ็กเกจใส่บอลลูนกระเพาะอาหารชนิด 6 เดือน มาพร้อมการดูแลจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่จะช่วยให้คุณรับประทานอาหารน้อยลงและรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้มากกว่า 24 กิโลกรัมภายใน 1 ปี! สำหรับผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ระหว่าง 30-50 นี่คือโอกาสที่คุณจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการรับประทานอาหารและสุขภาพของคุณอย่างยั่งยืน
💡 ทำไมต้องเลือกใส่บอลลูนกระเพาะอาหาร?
- ลดน้ำหนักได้โดยไม่ต้องผ่าตัด
- การดูแลอย่างครบวงจรจากทีมแพทย์และนักโภชนาการ
- เริ่มเห็นผลการลดน้ำหนักภายใน 3 เดือน
อย่าปล่อยให้ปัญหาน้ำหนักตัวเกินส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของคุณ! จองบริการ กับเราผ่าน HDmall.co.th วันนี้ เพื่อเริ่มต้นการเดินทางสู่ร่างกายที่คุณต้องการ! 📅
ให้บอลลูนกระเพาะอาหารเป็นก้าวแรกในการเปลี่ยนแปลงชีวิตคุณ เริ่มต้นที่นี่!
รายละเอียด
รายละเอียดราคา ใส่บอลลูนกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนัก
ราคานี้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง?
- ค่าใส่บอลลูนกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนัก (Gastric Balloon) ชนิด 6 เดือน
- ค่านอนพักฟื้นที่โรงพยาบาล 2 คืน
สิ่งที่ต้องจ่ายเพิ่ม
- ค่าบริการโรงพยาบาล ราคา 250 บาท
- ค่าแพทย์ ราคาเริ่มต้น 200 บาท ขึ้นอยู่กับแพทย์ประเมิน
- ค่าตรวจคัดกรอง COVID-19 ก่อนผ่าตัด (แพทย์จะเป็นผู้แจ้งอีกครั้ง ว่าต้องตรวจด้วยวิธีใด)
- กรณีตรวจ ATK ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ 800 บาท
- กรณีตรวจ RT-PCR ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ 2,250 บาท
หมายเหตุ
- กรณีไม่เคยรับบริการที่โรงพยาบาลยันฮีมาก่อน ต้องเสียค่าลงทะเบียนผู้ป่วยใหม่ 20 บาท
- กรณีวันผ่าตัดมีญาติมาเฝ้าไข้ ต้องตรวจ ATK ที่โรงพยาบาล มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
- อาจมีค่าใช้จ่ายบางรายการเพิ่มเติม
เกี่ยวกับแพ็กเกจ
ข้อควรรู้เกี่ยวกับแพ็กเกจ ใส่บอลลูนกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนัก
- ผู้มีภาวะหรืออาการต่อไปนี้ ต้องแจ้งแพทย์ให้ทราบก่อน
- มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) น้อยกว่า 27 คำนวณค่าดัชนีมวลกาย ที่นี่
- มีประวัติแพ้ซิลิโคน
- เคยผ่าตัดกระเพาะอาหารหรือหลอดอาหาร
- เคยผ่าตัดรัดกระเพาะอาหาร
- มีกรดไหลย้อน
- มีภาวะหลอดอาหารอักเสบ
- มีภาวะเลือดออกง่าย หรืออยู่ระหว่างกินยาละลายลิ่มเลือด
- มีความเสี่ยงเกิดแผลในกระเพาะอาหาร เช่น กินยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs ได้แก่ ยาไอบูโพรเฟน นาพร็อกโซน ไดโคฟีแน็ก เซเลค็อกซิน แอสไพริน
- ระยะเวลารับบริการประมาณ 15-20 นาที
- ราคานี้สงวนสิทธิ์เฉพาะคนไทยเท่านั้น
- เปลี่ยนใส่ชุดที่ทางโรงพยาบาลเตรียมไว้ให้ ถอดแว่นตา คอนแทคเลนส์ และฟันปลอม ก่อนรับบริการ
- จะมีการพ่นยาชาที่บริเวณลำคอ หรือกลั้วปากด้วยยาชา หรือให้ยานอนหลับ เพื่อช่วยให้คลายกังวลขณะทำหัตถการ
- นอนพักฟื้นที่โรงพยาบาล 1-2 วัน เพื่อดูอาการ หากมีอาการแน่นท้อง คลื่นไส้อาเจียนมากๆ พยาบาลจะให้รับประทานยาลดกรดและยาแก้อาเจียน
- โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงประมาณ 10% เมื่อผ่านไปประมาณ 3 เดือน
- หลังใส่บอลลูนครบ 6 เดือนแล้ว แพทย์จะปล่อยน้ำในบอลลูนออก และส่องกล้องเพื่อนำบอลลูนออกจากกระเพาะอาหาร
การเตรียมตัวก่อนรับบริการ
- เตรียมสภาพร่างกายให้พร้อม โดยแพทย์จะตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) และตรวจเลือดเบื้องต้น (Lab Pre Operation) ส่องกล้องเพื่อดูความพร้อมของหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร และเพื่อประเมินความเสี่ยงของโรคประจำตัว ซึ่งต้องอยู่ในเกณฑ์ปกติจึงจะสามารถใส่บอลลูนได้
- ต้องรับประทานยาลดกรด Miracid (Omeprazole) ก่อนอาหารเช้าและเย็น เป็นเวลา 14 วันก่อนรับบริการ
- งดสูบบุหรี่ ดื่มสุรา และงดรับประทานอาหารหมักดอง
การดูแลหลังรับบริการ
- นักโภชนาการจะจัดตารางการรับประทานอาหาร เพื่อปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร ระยะแรกต้องเลือกรับประทานอาหารที่ดูดซึมง่าย เช่น น้ำเปล่า นม น้ำผลไม้ โยเกิร์ต ซุปใส ต้มจืด เป็นต้น
- นักปรับพฤติกรรมจะสอบถามดูแลอย่างใกล้ชิด สามารถปรึกษาได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านทางช่องทาง LINE
- สามารถใช้ชีวิตประจำวันและออกกำลังกายได้ตามปกติ ยกเว้นการออกกำลังกายที่มีการเปลี่ยนแปลงของแรงดันมากๆ เช่น ดำน้ำ ฟุตบอล มวยไทย
- สามารถเดินทางด้วยเครื่องบินได้ตามปกติ
- ต้องพบแพทย์เดือนละ 1 ครั้ง เพื่อติดตามผลการใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร
- กรณีเกิดอาการผิดปกติขณะใส่บอลลูน เช่น น้ำหนักลดลงเร็วเกินไป ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
ก่อนตัดสินใจ
ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจ
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
- หลังจากทำ มีอาการปวดท้อง แน่นท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งจะเป็นมากภายในระยะเวลา 1-2 สัปดาห์แรก ซึ่งจำเป็นต้องรับประทานยาลดกรดและยากันอาเจียนควบคู่กันไปด้วย
- อาจมีเลือดออกจากแผลในกระเพาะอาหาร แต่โอกาสเกิดน้อย
ข้อห้ามในการใช้บอลลูนลดน้ำหนัก
- สตรีมีครรภ์ ในกรณีที่ใส่บอลลูนแล้วและเกิดการตั้งครรภ์ แพทย์จะนำบอลลูนออกทันที เนื่องจากอาจส่งผลต่อคุณแม่และทารกในครรภ์
- ผู้ที่มีความผิดปกติของหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร เช่น เป็นแผลในกระเพาะอาหาร กรดไหลย้อนรุนแรง หรือเคยผ่าตัดกระเพาะอาหารและหลอดอาหาร
- ผู้ที่แพ้ยางซิลิโคน
- ผู้ที่เป็นโรคประจำตัวรุนแรง เช่น โรคหัวใจขาดเลือด เป็นต้น
- ผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่าย หรือกินยาละลายลิ่มเลือด
- การลดน้ำหนักด้วยบอลลูน ควรทำในโรงพยาบาลที่มีแพทย์เฉพาะทางและชำนาญการ พร้อมทีมงานที่มีประสบการณ์ในการใส่บอลลูน ในกระเพาะอาหารเท่านั้น
ข้อมูลทั่วไป
ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับการใส่บอลลูนกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนัก
การใส่บอลลูนในกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนัก (Gastric Balloon) เป็นการลดน้ำหนัก โดยการส่องกล้องเข้าทางปาก เพื่อใส่บอลลูนเข้าไปในกระเพาะอาหาร ภายในบอลลูนจะใส่น้ำเกลือ และเมทิลีนบลูรวมประมาณ 400-500 ซีซี ซึ่งจะช่วยลดพื้นที่ในกระเพาะอาหาร และทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น รับประทานได้น้อยลง
ข้อดีของการใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร
- เป็นการลดน้ำหนักโดยไม่ต้องผ่าตัด
- ทำได้ง่าย ไม่รู้สึกเจ็บ
- บอลลูนจะเข้าไปลดพื้นที่ในกระเพาะอาหาร ทำให้รู้สึกอิ่มตลอดเวลา และรับประทานอาหารได้ลดลงกว่าเดิม ส่งผลให้ฮอร์โมนเกี่ยวกับความหิวหลั่งลดลง ทำให้รู้สึกหิวน้อยลง
- โดยเฉลี่ยสามารถลดน้ำหนักได้มากกว่า 24 กิโลกรัม ภายในระยะเวลา 1 ปี
- เป็นวิธีลดน้ำหนักที่มีประสิทธิภาพ และปลอดภัย
- ได้รับการดูแลตลอดการรักษาอย่างครบวงจร โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบบทางเดินอาหาร นักปรับพฤติกรรม และนักโภชนาการ
- มีพฤติกรรมการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย และการใช้ชีวิตที่ดีขึ้น ทำให้สุขภาพดีขึ้น
- หลังนำบอลลูนออก จะยังเคยชินกับพฤติกรรมขณะใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร ทำให้สามารถควบคุมน้ำหนักได้
เหมาะกับใคร?
- ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก
- เป็นโรคอ้วน
- มีค่าดัชนีมวลกาย หรือ BMI 30-50
วิธีชำระและใช้งาน
วิธีซื้อแพ็กเกจของ โรงพยาบาลยันฮี ผ่าน HDmall
จองแพ็กเกจผ่าน HDmall.co.th แล้วชำระเงินที่โรงพยาบาล จากนั้นเก็บใบเสร็จมารับ แคชแบ็ก* (กรณีลูกค้าใช้สิทธิประกันจะไม่สามารถรับแคชแบ็กได้)
- กดจองแพ็กเกจที่ต้องการและกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน
- รับอีเมลเพื่อยืนยันการจอง พร้อมรหัสคูปองสำหรับขอแคชแบ็กจาก HDmall คูปองมีอายุ 30 วัน
- เช็กคิวหรือทำนัดผ่านแอดมิน HDmall เท่านั้น เพื่อรับสิทธิพิเศษ
- เข้ารับบริการตามวันและเวลานัดที่ระบุในคูปอง เมื่อถึงโรงพยาบาล เพียงแสดงบัตรประชาชน ณ ศูนย์บริการลูกค้า ชั้น 1 โดยไม่ต้องแสดงคูปอง HDmall เข้ารับบริการ ชำระเงินตามยอดที่ฝ่ายการเงินแจ้ง
- แจ้งขอแคชแบ็กจาก HDmall ภายใน 30 วันหลังชำระเงิน ทางไลน์ @hdcoth โดยพิมพ์ '5' หรือ 'ขอแคชแบ็ก' ลูกค้าจะได้รับแคชแบ็กภายใน 7-14 วัน (ตัดรอบโอนเงินทุกวันจันทร์ เวลา 15.00 น. เงินจะเข้าบัญชีของคุณภายในวันศุกร์)
หลักฐานที่ใช้ขอแคชแบ็ก
- รูปใบเสร็จของโรงพยาบาล
- รูปสมุดบัญชี
- รูปรหัสคูปองที่ได้รับ
หมายเหตุ
- แพ็กเกจนี้ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนทำ
- ลูกค้าต้องชำระค่าแพทย์และค่าบริการปรึกษาแพทย์ในราคาเต็มที่โรงพยาบาลไปก่อน หลังจากนั้นค่อยแจ้งแอดมินทางไลน์ @hdcoth เพื่อกรอกแบบฟอร์มขอแคชแบ็กภายหลัง (ขั้นตอนการขอแคชแบ็กพร้อมรหัสจะแสดงในอีเมล)
- *จะได้รับแคชแบ็กเฉพาะแพ็กเกจที่ร่วมรายการ (สอบถามรายละเอียดได้จากแอดมิน)
เงื่อนไขการใช้คูปอง
- คุณสามารถเลื่อนนัดได้ด้วยตัวเอง ตามเบอร์โทรศัพท์หรือไลน์ที่ระบุไว้ในคูปอง ก่อนวันนัดอย่างน้อย 1-3 วันทำการ แต่ต้องรับบริการก่อนคูปองหมดอายุ (คูปองมีอายุ 30 วัน)
- สามารถซื้อแพ็กเกจให้คนอื่นได้ เพียงแจ้งชื่อผู้จะรับบริการให้แอดมินทราบ เพื่อจะได้ระบุบนคูปอง
- อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของสถานที่ให้บริการ สามารถจ่ายที่โรงพยาบาลได้โดยตรง
- สำหรับแพ็กเกจแบบคอร์ส ต้องรับบริการครั้งแรกก่อนคูปองหมดอายุ ส่วนครั้งต่อๆ ไปขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของคลินิก
เงื่อนไขการให้บริการ และราคาของ โรงพยาบาลยันฮี อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามแผนการส่งเสริมการขาย ท่านสามารถตรวจสอบเงื่อนไขการให้บริการ และราคาล่าสุดได้จากแอดมิน HDmall.co.th