FUE เป็นเทคนิคการเจาะรากผมที่แข็งแรงจากส่วนท้ายทอย ด้วยหัวเจาะขนาด 1 มม. มาปลูกบริเวณที่ต้องการ
PRP (Platelet Rich Plasma) ได้จากการนำเลือดของผู้รับบริการเอง มาปั่นแยกชั้น มี Growth Factor ปริมาณมาก ถูกนำมาใช้ฟื้นฟูเซลล์
แพ็กเกจนี้จำเป็นต้องให้แพทย์ตรวจประเมินก่อนรับบริการ และอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากที่ระบุไว้บนเว็บไซต์
รายละเอียด
รายละเอียดราคา ปลูกผม เทคนิค FUE
ราคานี้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง?
- ค่าปลูกผม ด้วยเทคนิค FUE ไม่จำกัดกราฟต์ 1 ครั้ง
- ค่าโปรแกรม PRP บำรุงผม 8 ครั้ง
- ค่าฉายแสงสีแดง กระตุ้นรากผม ไม่จำกัดครั้ง ภายใน 1 ปี
- ค่ารักษา
- ค่ายาทา
- ค่ายารับประทาน
- ค่าตรวจเลือด
ข้อควรรู้เกี่ยวกับแพ็กเกจ ปลูกผม เทคนิค FUE
- ระยะเวลารับบริการประมาณ 4-8 ชั่วโมง
- ควรนัดหมายล่วงหน้าก่อนเข้ารับบริการ
- ปลูกผม ด้วยเทคนิค FUE ไม่จำกัดกราฟต์ ขึ้นอยู่กับแพทย์ประเมิน
- ฉีด PRP บำรุงผม 8 ครั้ง
- ฉายแสงสีแดง กระตุ้นรากผม ไม่จำกัดครั้ง ภายใน 1 ปี
- รับประกัน 1 ปี
การเตรียมตัวก่อนรับบริการ
- ควรงดรับประทานยาต้านเกล็ดเลือด 1 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด เช่น พลาวิกซ์ (Plavix) แอสไพริน (Aspirin) หรือยาที่ส่วนผสมของแอสไพริน วิตามินอี (Vitamin E) น้ำมันตับปลา (Fish Oil) เนื่องจากยาดังกล่าวจะทำให้เลือดไม่แข็งตัว หยุดยาก ควรปรึกษาแพทย์โรคประจำตัวก่อนหยุดยา
- หากเป็นความดันโลหิตสูงและรับประทานยาอยู่ กรุณาแจ้งแพทย์ประจำตัวของท่านเพื่อหยุดยาในกลุ่ม เบต้าบลอกเกอร์ (Beta Blocker) และเปลี่ยนไปใช้ยาตัวอื่นก่อนการผ่าตัด 1 สัปดาห์ เพราะจะมีผลต่อยาชาฉีดเฉพาะที่ (Xylocaine)
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 1 สัปดาห์ ก่อนการผ่าตัด
- หากต้องการทำสีผมหรือย้อมผม ควรทำล่วงหน้าก่อนการผ่าตัด 1-2 วัน เพราะหลังจากผ่าตัดปลูกผมแล้วห้ามทำสีผมเป็นเวลา 1 เดือน
- สามารถตัดผมได้ แต่ควรเหลือผมไว้ปิดแผลบริเวณท้ายทอยอย่างน้อย 1 นิ้ว
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เนื่องจากการผ่าตัดจะใช้เวลานานซึ่งอาจทำให้อ่อนเพลียได้
- วันผ่าตัดและวันหลังจากผ่าตัด 2-3 วัน ควรสวมเสื้อเชิ้ต เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนกราฟต์ที่ปลูกผม
- วันผ่าตัดต้องนำหมวกหลวมๆ มาด้วย
- สามารถรับประทานอาหารเช้าได้แต่ไม่ควรมากเกินไป และงดชา กาแฟ หากมีไข้ กรุณาแจ้งให้แพทย์ทราบล่วงหน้า
- ห้ามขับรถมาเองในวันที่ทำการผ่าตัด
- กรุณาแจ้งแพทย์ให้ทราบล่วงหน้าหากมีอาการแพ้ยา
การดูแลหลังรับบริการ
- ควรคาดผ้าที่คาดศีรษะ (Head Band) โดยถอดเข้า-ออกได้ แต่ไม่ควรเอาออกนานเกินครึ่งชั่วโมง และเวลานอนควรคาดไว้ตลอดคืน
- อาจมีอาการบวมบริเวณหน้าผากได้ ส่วนใหญ่เป็นอาการบวมเล็กน้อยและอาจหายเองภายใน 7 วัน ถ้ามีอาการบวมให้ใช้ Cold Pack ประคบบริเวณหน้าผาก ระวังไม่ให้โดนบริเวณเซลล์ผม (Graft) ที่ปลูกไป จะช่วยทำให้อาการลดลงเร็วขึ้น
- หลังการผ่าตัดควรนอนหงายหรือตะแคงข้าง ห้ามนอนคว่ำหน้า เพราะทำให้หน้าบวมและอาจทำให้เซลล์ผม (Graft) ที่ปลูกหลุดได้
- เวลานอนควรใช้ผ้าขนหนูม้วนเป็นก้อน (Roll) รองบริเวณต้นคอใต้ผ้าคาดศีรษะเพื่อประคองให้แผลลอยไม่กระทบหมอน
- ให้นอนหัวสูงขึ้นเล็กน้อย เพื่อช่วยลดอาการบวมและอาการปวดแผลบริเวณท้ายทอย
- ถ้ามีเลือดออกบริเวณที่ปลูกผม แสดงว่าเซลล์ (Graft) ที่ปลูกหลุด ให้ใช้ผ้าก๊อซสะอาดกดบริเวณที่มีเลือดออกนาน 3-5 นาที ถ้ายังไม่หยุดให้กดนานขึ้นประมาณ 5-10 นาที แต่ถ้าเลือดยังไหลควรโทรปรึกษาแพทย์หรือพยาบาลทันที
- ไม่ควรก้มศีรษะลงหยิบของหรือสวมรองเท้า เพราะจะทำให้เลือดออกและเกิดอาการบวมบริเวณหน้าผากได้ ควรย่อตัวลงเพื่อหยิบของหรือสวมรองเท้าแทน
- สัปดาห์แรกของการผ่าตัด ควรระวังไม่ให้ศีรษะกระแทกของแข็ง เช่น ขอบประตูบ้าน ขอบประตูรถ เพราะอาจทำให้เซลล์ผม (Graft) ที่ปลูกหลุดได้
- หลังการผ่าตัดควรงดยกของหนักอย่างน้อย 1 สัปดาห์
- หลังการผ่าตัดควรพักผ่อน และไม่อยู่ในที่ที่มีอากาศร้อน
- หลังออกจากคลินิกควรรับประทานอาหารเบาๆ ถ้าเกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนควรงดรับประทานอาหาร
- หลังผ่าตัด 48 ชั่วโมง ห้ามดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสมทุกชนิดเพื่อป้องกันภาวะเลือดออกและอาการบวม
- งดออกกำลังกายอย่างน้อย 1 สัปดาห์
- งดว่ายน้ำทั้งในสระว่ายน้ำหรือทะเล อย่างน้อย 1 เดือน เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- งดซาวน่าอย่างน้อย 2 เดือน เนื่องจากความร้อนสูงมีผลต่อรากผมที่ปลูกไป
- การสระผมครั้งแรกหลังปลูกผม ควรมาสระที่คลินิกโดยให้เจ้าหน้าที่ของคลินิกสอนและแนะนำการสระผม พร้อมทั้งการทำความสะอาดแผลให้ จากนั้นสามารถกลับไปดูแลเองได้
- หลังจากผ่าตัดในสัปดาห์แรกต้องสระผมทุกวัน วันละ 1-2 ครั้ง โดยใช้แชมพูสูตรอ่อนโยนที่ทางคลินิกจัดให้ หลังจากนั้นสามารถใช้แชมพูอื่นๆ สระผมได้ตามปกติ
- ควรใช้น้ำที่มีอุณหภูมิปกติหรืออุ่นเล็กน้อยในการสระผม ไม่ควรใช้น้ำอุ่นมากในสัปดาห์แรก และไม่ควรใช้กระแสน้ำแรงเกินไป สามารถใช้มือบังกระแสน้ำไม่ให้กระทบบริเวณที่ปลูกผมโดยตรงได้ เพื่อป้องกันเซลล์รากผมที่ปลูกหลุดได้
- การสระผมในสัปดาห์แรกหลังผ่าตัด ใช้ฝ่ามือแตะเบาๆบริเวณที่ปลูกผม ห้ามถูหรือขยี้และปล่อยทิ้งไว้ 2-3 นาที
- การสระผมในสัปดาห์ที่ 2 หลังผ่าตัด ให้เริ่มถูเบาๆ บริเวณที่ปลูกได้ การสระผมในสัปดาห์ที่ 3 หลังผ่าตัด เริ่มถูได้แรงขึ้น หลังจากผ่าตัด 1 เดือน สามารถสระผมได้ตามปกติ
- สำหรับแผลบริเวณท้ายทอย สามารถถูเบาๆ ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่สระผม แต่ให้ระวังบริเวณปมไหมที่ปลายแผลทั้ง 2 ข้าง
- แผลบริเวณท้ายทอยสีจะค่อยๆ จางลงและหายเป็นปกติใน 5-6 เดือน หลังผ่าตัด 24 ชั่วโมง แผลจะเริ่มแห้ง และเริ่มตกสะเก็ดภายใน 2-3 วัน ไม่ควรใช้เล็บแกะหรือเกาเพราะจะทำให้เลือดออกหรือแผลติดเชื้อได้
- อาการแดงของหนังศีรษะบริเวณที่ปลูกผม จะค่อยๆ จางลงภายใน 2-3 สัปดาห์ แต่บางรายอาจใช้เวลา 2-3 เดือน
- ในสัปดาห์แรกหลังการผ่าตัดควรหลีกเลี่ยงแสงแดด หากจำเป็นต้องออกไปข้างนอก สวมหมวกป้องกันแดด
- สามารถใช้เจล มูส สเปรย์ ได้หลังผ่าตัดแล้ว 5 วัน
- สำหรับผู้รับบริการบางรายที่ปลูกผมแทรกเข้าไปในบริเวณที่มีผมเดิมอยู่ ผมเหล่านั้นอาจได้รับผลกระทบจากการผ่าตัดจนหลุดร่วงไปได้ แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าจะเป็นมากน้อยแค่ไหน อาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นในช่วงเดียวกับการร่วงของผมใหม่ที่ปลูกไป คือสัปดาห์ที่ 3-4 หลังผ่าตัด และจะงอกกลับขึ้นมาพร้อมผมชุดใหม่ที่ปลูกไปในช่วง 3-4 เดือนหลังผ่าตัด
- หลังจากผ่าตัดปลูกผมไป 6 เดือน ควรมาพบแพทย์เพื่อติดตามผลการเปลี่ยนแปลงและรับยาบำรุง
ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจ
- ผลลัพธ์ของการเสริมความงามขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล หากพบอาการผิดปกติหลังรับบริการควรปรึกษาแพทย์
- ควรแจ้งให้แพทย์ทราบหากมีโรคประจำตัวหรือกำลังรับประทานยาหรืออาหารเสริมอยู่
ข้อห้ามสำหรับการปลูกผม
- ผู้ที่มีผมบางมาก ศีรษะล้านเป็นบริเวณกว้างหรือกระจัดกระจาย
- ผู้ที่มีปริมาณเส้นผมที่ใช้ในการปลูกไม่เพียงพอ
- ผู้ที่มีปัญหาเรื่องคีลอยด์หรือมีแผลเป็นง่ายเมื่อผ่าตัดหรือได้รับบาดเจ็บ
- ผู้ที่มีสาเหตุของศีรษะล้านหรือผมร่วงจากการรักษาทางการแพทย์ เช่น เคมีบำบัด
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
- เลือดออกมากผิดปกติ
- เกิดการติดเชื้อบนหนังศีรษะ
- หนังศีรษะบวม
- มีรอยช้ำบริเวณรอบดวงตา
- มีแผลตกสะเก็ดหรือน้ำเหลือง เกิดขึ้นได้ทั้งบริเวณหนังศีรษะที่ปลูกผมหรือบริเวณที่ผมถูกย้ายไปปลูกบริเวณอื่น
- รู้สึกชาหรือไม่มีความรู้สึกบริเวณหนังศีรษะที่ทำการปลูกผม
- มีอาการคัน
- แผลเป็นบนหนังศีรษะจากการปลูกผม
- เกิดอาการอักเสบหรือการติดเชื้อที่ต่อมขุมขน (Folliculitis)
- ผมร่วงอย่างกะทันหันจากการปลูกถ่าย (Shock Loss) แต่จะเกิดขึ้นชั่วคราว
ข้อห้ามสำหรับการฉีด PRP รักษาผมร่วง ผมบาง
- สตรีมีครรภ์
- ผู้ที่สูบบุหรี่หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนัก
- มีการอักเสบหรือติดเชื้อบริเวณหนังศีรษะ
- เป็นโรคผิวหนังหรือมะเร็งบริเวณหนังศีรษะ
- ผู้ที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เคยมีปัญหาเลือดหยุดยาก หรือต้องรับประทานยาละลายลิ่มเลือด
- ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์
- ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ เชื้อเอชไอวี
- ผู้ที่เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง โรคตับ มะเร็งเม็ดเลือดทุกชนิด
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
- อาจมีอาการฟกช้ำ เกิดการอักเสบ บวม แดง หลังจากการฉีด ซึ่งสามารถหายได้เองภายในไม่กี่วัน
- อาจเกิดการติดเชื้อหรือเกิดแผลเป็นหลังทำ ซึ่งโอกาสเกิดค่อนข้างน้อย
- อาจเป็นอันตรายต่อหลอดเลือดหรือเส้นประสาทที่หนังศีรษะได้
ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับการปลูกผม เทคนิค FUE
การปลูกผม
เป็นการแก้ปัญหาให้กับผู้ที่มีผมบาง ศีรษะล้าน คิ้วบาง รวมถึงมีหนวดเคราน้อย ซึ่งก่อให้เกิดการเสียความมั่นใจในตัวเอง อย่างไรก็ตาม แพทย์จะประเมินปัญหาก่อนว่าเหมาะกับการรักษาด้วยการปลูกเส้นขนหรือไม่
การปลูกผมแบบ FUE (Follicular Unit Extraction)
เป็นวิธีการปลูกผมด้วยการตัดรากขนจากบริเวณด้านหลังศีรษะทีละกราฟต์และใส่กราฟต์บริเวณที่ต้องการโดยตรง ทำให้ไม่จำเป็นต้องตัดหนังศีรษะและไม่เกิดแผลผ่าตัด โดยวิธีนี้แบ่งออกเป็น 2 วิธีย่อยๆ คือ
- ใช้รากผมปริมาณมาก (Slit Grafts) ใช้รากผมประมาณ 4-10 รากในแต่ละหลุม
- ใช้รากผมปริมาณน้อย (Micro-Grafts) ใช้รากผมเพียง 1-2 รากในแต่ละหลุม
ขั้นตอน
- โกนผมหรือเส้นขนบริเวณที่จะปลูกให้สั้น
- ฆ่าเชื้อบริเวณที่ต้องการและใช้ยาชาเฉพาะที่ทาบริเวณดังกล่าว เพื่อให้ไม่รู้สึกเจ็บปวดขณะทำ
- ใช้เข็มขนาดเล็กพิเศษเปิดหนังศีรษะบริเวณที่ต้องการปลูกผมให้เป็นรู ค่อยๆ ใส่กราฟต์เส้นผมลงไป
- แพทย์จะใช้ผ้าพันแผลพันบริเวณที่ทำไว้ประมาณ 2-3 วัน ก่อนจะนัดมาตัดไหมประมาณ 10 วันหลังจากนั้น
สาเหตุสำคัญของปัญหาศีรษะล้าน
- กรรมพันธุ์
- ฮอร์โมนเพศชายหรือเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ไปจับกับเอนไซม์ 5-Alpha reductase ที่พบตามผิวหนังบริเวณศีรษะก็จะเปลี่ยนเป็น ไดไฮโดรเทสโทสเตอโรน (Dihydrotestosterone-DHT) ซึ่งยับยั้งกระบวนการสร้างเส้นผมที่ต่อมรากผม
- โรคหรือภาวะต่างๆ เช่น ผู้ป่วยโรค SLE ไทรอยด์เป็นพิษ ขาดสารอาหาร บาดแผลจากอุบัติเหตุ ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก หรือการติดเชื้อราบริเวณรากผม
- การสูบบุหรี่ เพราะสารนิโคตินในบุหรี่ส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดที่หนังศีรษะ
หมายเหตุ
- สำหรับการปลูกผม ผู้รับบริการควรมีอายุประมาณ 20-25 ปีขึ้นไป เพราะเป็นช่วงที่กะโหลกโตเต็มที่แล้ว หากปลูกผมในช่วงที่กะโหลกยังไม่โตเต็มที่ อาจทำให้ผมดูบางลงได้ในอนาคต
- ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางก่อนตัดสินใจรับบริการ
- เส้นผมหรือเส้นขนร่วงในช่วงประมาณ 2-3 สัปดาห์แรก ถือเป็นอาการปกติและจะงอกขึ้นเองในภายหลัง ส่วนใหญ่จะใช้เวลางอกประมาณ 3 เดือน
- อาจมีอาการชาหลังการปลูกผมหรือเส้นขน แต่จะหายเองในภายหลัง
- สำหรับผู้ที่ปลูกหนวดเคราหรือปลูกคิ้ว เมื่อเส้นขนขึ้นจนเป็นปกติแล้วต้องหมั่นดูแลรักษา ตัดแต่งหนวดเคราและคิ้วมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะคิ้ว เนื่องจากเป็นการปลูกถ่ายเส้นผมแทนที่ตำแหน่งขนคิ้ว ซึ่งเส้นผมจะยาวขึ้นเรื่อยๆ ตามธรรมชาติ ต่างจากขนคิ้วที่จะมีระยะการเจริญเติบโตจำกัด ดังนั้นจึงต้องหมั่นตัดแต่งขนคิ้วอย่างสม่ำเสมอด้วย
PRP หรือ Platelet-Rich Plasma คือพลาสมาที่อุดมไปด้วยเกล็ดเลือด ได้จากการนำเลือดจำนวนเล็กน้อยมาผ่านกระบวนการให้ได้ส่วนของพลาสมาที่มีความเข้มข้นของเกล็ดเลือดและสารโปรตีนอื่น ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการสร้างและซ่อมแซมเซลล์ตามธรรมชาติ
การแพทย์ในปัจจุบันจึงมีการนำ PRP มาฉีดเพื่อช่วยรักษาและฟื้นฟูเซลล์และเนื้อเยื่อหลายชนิด รวมถึงการฉีดเพื่อแก้ปัญหาผมร่วง ผมบาง
การฉีดหนังศีรษะด้วย PRP แก้ปัญหาผมร่วงได้อย่างไร?
PRP สามารถช่วยลดผมหลุดร่วงได้ทั้งในชายและหญิง โดยเกล็ดเลือดและส่วนประกอบอื่นๆ ใน PRP เช่น โกรทแฟกเตอร์ (Growth Factor) ที่มีคุณสมบัติช่วยสร้างและฟื้นฟูเซลล์ จะกระตุ้นให้เซลล์รากผมสร้างเส้นผมเองตามธรรมชาติได้ดียิ่งขึ้น
จากการศึกษาพบว่า PRP อาจช่วยแก้ปัญหาผมร่วงหรือผมบางได้ จากคุณสมบัติต่อไปนี้
- ทำให้รากผมแข็งแรง ช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผม
- กระตุ้นการเจริญของเส้นผมที่เซลล์รากผม ช่วยทำให้เส้นผมมีลักษณะที่หนาขึ้น
- เพิ่มจำนวนเซลล์รากผม ช่วยลดปัญหาผมบาง
ขณะฉีดเจ็บหรือไม่? หลังฉีดต้องพักฟื้นนานแค่ไหน?
การฉีด PRP บนหนังศีรษะจะไม่รู้สึกเจ็บ เนื่องจากมีการใช้ยาชา และเข็มที่ใช้มีขนาดเล็กเป็นพิเศษ (Microneedle) ระยะเวลาพักฟื้นจึงค่อนข้างต่ำหรืออาจไม่ต้องพักฟื้น อย่างไรก็ตามควรปฏิบัติตามคำแนะนำหลังการทำอย่างเคร่งครัด
ปลอดภัยหรือไม่?
พลาสมา หรือ PRP ที่นำมาฉีดมีความปลอดภัยค่อนข้างสูง เนื่องจากเป็นส่วนที่ได้มาจากเลือดของตัวเอง แต่ควรมีกระบวนการทำ PRP ที่เหมาะสมและปลอดเชื้อ ดังนั้นการเลือกสถานพยาบาลและแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญจึงมีความสำคัญ
เมื่อไหร่จึงจะเห็นผล?
หลังการฉีดจะไม่เห็นผลทันที เพราะต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูเซลล์และสร้างเส้นผมใหม่ นอกจากนี้การฉีด PRP เพื่อรักษาปัญหาผมร่วงผมบางจำเป็นต้องมีการฉีดมากกว่า 1 ครั้ง ซึ่งสามารถทำความเข้าใจเพิ่มเติมได้กับแพทย์ผู้ทำการรักษา
หมายเหตุ
- การฉีด PRP ควรทำโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ และควรปรึกษาแพทย์หากมีข้อสงสัยก่อนตัดสินใจ
- แม้สาร PRP ที่ใช้ฉีดได้มาจากเลือดของตัวเอง ดังนั้นโอกาสแพ้หรือมีปัญหาแทรกซ้อนจึงน้อย อย่างไรก็ตาม ควรเลือกสถานพยาบาลหรือคลินิกที่สะอาดและได้มาตรฐาน เพื่อลดโอกาสเสี่ยงดังกล่าว
- จากการศึกษาพบว่าผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับชนิดหรือสาเหตุของปัญหา ความรุนแรงของอาการ และความสมบูรณ์ของเลือดในแต่ละบุคคล
การฉายแสงลดผมร่วงบริเวณศีรษะ เพื่อกระตุ้นรากผมให้แข็งแรง ช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผม ส่วนใหญ่มักฉายแสง 2 สี ได้แก่
- แสงสีแดง มีความยาวคลื่น 660 นาโนเมตร ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงหนังศีรษะ ทำให้รากผมแข็งแรง สร้างเส้นผมใหม่ได้มากขึ้น
- แสงสีเหลือง มีความยาวคลื่น 830 นาโนเมตร ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวบริเวณหนังศีรษะกระชับ และเสริมสร้างความแข็งแรงของระบบประสาทในเซลล์หนังศีรษะ
การฉายแสงลดผมร่วง มีข้อดีอย่างไร?
การฉายแสง สามารถช่วยแก้ปัญหาผมร่วงผมบางทั้งในผู้ชายและผู้หญิง จากคุณสมบัติต่อไปนี้
- ฟื้นฟูให้รากผมมีขนาดใหญ่ขึ้น ช่วยแก้ปัญหาผมเส้นเล็ก
- ซ่อมแซมเซลล์รากผมเดิมให้มีความแข็งแรง ช่วยป้องกันการหลุดร่วงของเส้นผมได้
- เพิ่มการแบ่งตัวของเซลล์รากผมใหม่ ช่วยแก้ไขปัญหาผมบาง
- หากฉายแสงหลังการปลูกถ่ายเส้นผม จะช่วยเสริมให้เส้นผมที่ปลูกถ่ายเจริญเติบโตได้ดีขึ้น
- เป็นการรักษาที่ไม่เจ็บ ไม่มีผลข้างเคียง และไม่ต้องพักฟื้น
ฉายแสงกระตุ้นรากผม ลดผมร่วงได้อย่างไร?
การฉายแสง จะไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ ทำให้สเต็มเซลล์ในปมรากขนอยู่ในระยะแอนนาเจน (Anagen Phase) ซึ่งเป็นระยะที่มีการแบ่งตัวของเซลล์รากผมอย่างรวดเร็ว ทำให้รากผมแข็งแรง และมีการเจริญเติบโตของเส้นผม
อีกทั้งยังทำให้มีการไหลเวียนของเลือดบริเวณหนังศีรษะดีขึ้น ช่วยเสริมให้เซลล์รากผมฟื้นฟู และมีการสร้างเส้นผมที่แข็งแรง
ที่อื่นที่มีบริการรักษาผมร่วง ปลูกผม ราคา เท่าไรบ้าง? เช็กราคาพร้อมโปรโมชั่นได้ที่นี่
วิธีซื้อแพ็กเกจของ MP Medigroup (One Bright Clinic) ผ่าน HDmall
นัดคิวเข้าไปให้คุณหมอตรวจประเมิน แล้วกลับมาจ่ายเงินที่ HDmall.co.th รับส่วนลดทันที
- กด 'จองเลย' แล้วกรอกข้อมูลให้ครบ
- นัดคิวเข้าไปให้คุณหมอตรวจประเมินก่อนรับบริการ (อาจมีค่าใช้จ่าย ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของคลินิก)
- นำยอดค่าใช้จ่ายที่คุณหมอสรุปให้ มาแจ้งกับแอดมิน HDmall โดยเข้าไลน์ @hdcoth แล้วพิมพ์ 'hdexpress' เพื่อดำเนินการชำระเงินพร้อมรับส่วนลด สามารถเลือกวิธีโอน จ่ายบัตรเดบิต หรือบัตรเครดิต โดยจ่ายบัตรเครดิตได้เมื่อมียอดชำระ 300 บาทขึ้นไป ผ่อนได้เมื่อมียอดชำระตั้งแต่ 3,000 บาท
- รอรับคูปองทางอีเมล (จะออกภายใน 15 นาทีหลังแอดมินตรวจสอบการชำระเงินเรียบร้อยแล้ว) คูปองมีอายุ 60 วัน
- นำคูปองไปยื่นที่คลินิกเพื่อรับบริการ
*ระยะเวลาผ่อนชำระขึ้นอยู่กับราคาแพ็กเกจ
เงื่อนไขการใช้คูปอง
- สำหรับแพ็กเกจแบบคอร์ส ต้องรับบริการครั้งแรกก่อนคูปองหมดอายุ ส่วนครั้งต่อๆ ไปขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของคลินิก
- คุณสามารถเลื่อนนัดได้ด้วยตัวเอง ตามเบอร์โทรศัพท์หรือไลน์ที่ระบุไว้ในคูปอง ก่อนวันนัดอย่างน้อย 3 วันทำการ แต่ต้องรับบริการก่อนคูปองหมดอายุ
- สามารถซื้อแพ็กเกจให้คนอื่นได้ เพียงแจ้งชื่อผู้จะรับบริการให้แอดมินทราบ เพื่อจะได้ระบุบนคูปอง
- อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของสถานที่ให้บริการ ทางคลินิกจะสรุปค่าใช้จ่ายให้ทราบหลังแพทย์ตรวจประเมิน
เงื่อนไขการให้บริการ และราคาของ MP Medigroup (One Bright Clinic) อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามแผนการส่งเสริมการขาย ท่านสามารถตรวจสอบเงื่อนไขการให้บริการ และราคาล่าสุดได้จากแอดมิน HDmall.co.th