ใช้ลำไส้ใหญ่ทำเป็นผนังเยื่อบุช่องคลอด สามารถผลิตน้ำหล่อลื่นตามธรรมชาติได้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นหญิงอย่างสมบูรณ์ และทำให้การตกแต่งภายในช่องคลอดเหมือนธรรมชาติมากขึ้นด้วย
แพ็กเกจนี้จำเป็นต้องให้แพทย์ตรวจประเมินก่อนรับบริการ และอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากที่ระบุไว้บนเว็บไซต์
รายละเอียด
ทำไมคนอื่นซื้อแพ็กเกจนี้?
🌟 แปลงเพศจากชายเป็นหญิง ด้วยเทคนิคต่อลำไส้! คุณกำลังมองหาวิธีที่จะทำให้ชีวิตของคุณเป็นไปตามที่คุณต้องการหรือไม่? หากคุณรู้สึกว่าร่างกายของคุณไม่ตรงกับตัวตนภายใน การแปลงเพศอาจเป็นทางเลือกที่คุณต้องการ!
🏥 บริการแปลงเพศจากชายเป็นหญิงที่โรงพยาบาลยันฮี จะช่วยให้คุณมีความสุขและมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ด้วยเทคนิคที่ทันสมัยและการดูแลจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในด้านนี้โดยเฉพาะ
💡 ทำไมต้องเลือกบริการนี้?
- ช่วยแก้ไขปัญหาช่องคลอดตีบตันหรือคุณภาพชีวิตที่ไม่ดีจากการแปลงเพศที่ผ่านมา
- ใช้ลำไส้ใหญ่ในการสร้างผนังช่องคลอด ทำให้มีความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติและช่วยลดความเสี่ยงในการใช้เจลหล่อลื่น
✨ ข้อดีของการแปลงเพศด้วยเทคนิคนี้:
- สร้างช่องคลอดที่มีความลึกและความรู้สึกที่ดี
- การดูแลหลังการผ่าตัดที่มีความชำนาญ เพื่อให้คุณฟื้นตัวได้เร็วที่สุด
- มีทีมแพทย์ที่คอยดูแลและให้คำแนะนำตลอดการรักษา
อย่าปล่อยให้ความรู้สึกไม่พอใจในร่างกายของคุณทำให้ชีวิตไม่สมบูรณ์! จองบริการแปลงเพศจากชายเป็นหญิง กับเราได้ง่ายๆ ผ่าน HDmall.co.th และเริ่มต้นการเดินทางสู่ชีวิตใหม่ของคุณวันนี้! 📅
ให้เราเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้คุณมีความสุขในตัวตนที่แท้จริง!
รายละเอียด
รายละเอียดราคา แปลงเพศ
ราคานี้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง?
- ค่าแปลงเพศจากชายเป็นหญิง ด้วยเทคนิคต่อลำไส้ สำหรับเคสแก้
- ค่านอนพักฟื้นที่โรงพยาบาล 5 คืน
สิ่งที่ต้องจ่ายเพิ่ม
- ค่าปรึกษาศัลยแพทย์และจิตแพทย์ก่อนแปลงเพศด้วยลำไส้ใหญ่
- ค่าแพทย์ ราคาเริ่มต้น 1,000 บาท ต่อท่าน
- ค่าบริการโรงพยาบาล ราคาครั้งละ 250 บาท
หมายเหตุ
- หากมารับบริการที่โรงพยาบาลเป็นครั้งแรก จะมีค่าลงทะเบียนผู้ป่วยใหม่ ราคา 20 บาท
- หากเคยฉีดสารต่างๆ มาก่อน เช่น ซิลิโคน หรือสารเติมเต็ม และต้องการปรึกษาแพทย์ก่อนรับบริการ จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมดังนี้
- ค่าแพทย์ ราคา 1,000 บาท (กรณีที่ไม่รับบริการในวันที่ปรึกษา)
- ค่าบริการโรงพยาบาล ราคาครั้งละ 250 บาท
- หากต้องการปรึกษาแพทย์ท่านอื่นเพิ่ม จะมีค่าแพทย์เพิ่มเติม ราคาเริ่มต้น 1,000 บาท ต่อท่าน
- สำหรับเคสที่มีเชื้อ HIV จะมีค่าความเสี่ยงเพิ่มเติมจากราคาแปลงเพศปกติ 80,000 บาท
- อาจมีค่ายาบางรายการเพิ่มเติม ขึ้นอยู่กับแพทย์ประเมิน
- Cashback ที่ได้รับจะไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่นนอกเหนือจากบริการที่จอง เช่น ค่ายาผู้ป่วยนอก ค่าตรวจวินิจฉัย เป็นต้น
- หากวันที่ไปประเมินมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม HD จะออกค่าประเมินให้เฉพาะครั้งแรก โดยไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่อยู่นอกเหนือจากการประเมิน (เช่น ตรวจโควิด หรือค่ายา เป็นต้น)
เกี่ยวกับแพ็กเกจ
ข้อควรรู้เกี่ยวกับแพ็กเกจ แปลงเพศ
- ระยะเวลารับบริการประมาณ 6-7 ชั่วโมง
- เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขในกรณีที่แปลงเพศแล้วช่องคลอดตีบตัน หรือผู้ที่ต้องการช่องคลอดที่มีความลึกมาก วิธีนี้ต้องทำการผ่าตัดช่องท้อง โดยนำลำไส้ใหญ่บางส่วน ประมาณ 7-8 นิ้ว มาสร้างเป็นผนังช่องคลอด ส่วนรูปลักษณ์ภายนอกจะเหมือนกับแบบต่อกราฟทุกประการ
- ใช้วิธีดมยาสลบ หรือให้ยาชาเข้าไขสันหลัง
- ผ่าตัดโดยศัลยแพทย์ตกแต่งที่ได้รับการรับรองจากสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย ชำนาญการเฉพาะทางการแปลงเพศ และด้านเทคนิคใหม่
- บริการนี้ดูแลโดยทีมสหวิชาชีพที่มีความชำนาญการโดยตรง
- ห้องผ่าตัดเป็นระบบ Positive Pressure Room ในแต่ละห้องจะมีระบบกรองอากาศ HEPA Filter และระบบอากาศหมุนเวียน มากกว่า 15 ครั้งต่อชั่วโมง ตามมาตรฐาน JCI
- แพทย์จะทำการสร้างช่องคลอดที่มีความลึกเท่ากับความลึกของกระดูกเชิงกรานของคนไข้ในแต่ละราย ซึ่งอาจไม่เท่ากัน โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 5.5-6 นิ้ว แต่หากผ่าตัดด้วยเทคนิคต่อลำไส้หรือเยื่อบุช่องท้อง อาจมีความลึกเพิ่มมากขึ้นได้อีกประมาณ 1-2 นิ้ว
- แพทย์จะทำการเก็บเส้นประสาทที่รับความรู้สึก เพื่อสร้างเป็นจุดรับความรู้สึกต่างๆ ของอวัยวะเพศใหม่ ซึ่งประกอบด้วย คลิตอริส แคมใน และรอบท่อปัสสาวะ ซึ่งการกระตุ้นภายนอกจะมีความรู้สึกทางเพศได้ ส่วนภายในช่องคลอดจะไม่มีเส้นประสาทรับความรู้สึกโดยตรง แต่ในบางรายก็อาจมีความรู้สึกทางเพศได้เช่นกันจากการกระตุ้นบริเวณต่อมลูกหมาก (Prostate Gland)
- การมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอดใหม่ มีโอกาสติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้เช่นเดียวกับช่องทางอื่นๆ
- ในช่วง 1 ปีแรก ควรพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง เพื่อติดตามการหายของบาดแผล และตรวจความลึกของช่องคลอด หลังจาก 1 ปีไปแล้ว ควรพบแพทย์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อตรวจอวัยวะเพศภายนอก และส่องกล้องตรวจภายใน
- ราคานี้สงวนสิทธิ์เฉพาะคนไทยเท่านั้น
- กรณีซื้อผ่าน HDmall.co.th ในวันที่เข้ารับบริการลูกค้าจะได้ใบแจ้งหนี้ (Invoice) เท่านั้นไม่สามารถออกใบเสร็จได้
การเตรียมตัวก่อนรับบริการ
- การเตรียมความพร้อมสำหรับการผ่าตัดแปลงเพศ เริ่มต้นด้วยการซักประวัติ ความต้องการในการเป็นเพศตรงข้าม และขั้นตอนในการข้ามเพศที่ได้กระทำมาแล้ว จากนั้นแพทย์จะทำการตรวจร่างกายและประเมินความพร้อมในการผ่าตัด ตามเกณฑ์ประเมินดังนี้
- มีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ (ในกรณีที่อายุตั้งแต่ 18 ปี แต่ยังไม่ถึง 20 ปี สามารถผ่าตัดได้แต่ต้องมีผู้ปกครองร่วมเซ็นลงนามด้วย)
- ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นคนข้ามเพศ (Gender Dysphoria) และมีใบรับรองจากจิตแพทย์จำนวน 2 ใบ (ในกรณีเป็นการผ่าตัดแก้ไข ไม่ต้องใช้ใบรับรองจากจิตแพทย์)
- ไม่มีโรคประจำตัวหรือโรคทางจิตเวช ที่อาจเป็นอันตรายต่อการผ่าตัดใหญ่ หรือการดมยาสลบ
- ผ่านการใช้ฮอร์โมนข้ามเพศ อย่างน้อย 1 ปี
- ผ่านการใช้ชีวิตเป็นเพศตรงข้าม อย่างน้อย 1 ปี
- แพทย์จะทำการตรวจสุขภาพ ตรวจเลือดและเอกซเรย์ หากพบว่ามีความผิดปกติหรือมีโรคประจำตัว จะส่งปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อร่วมประเมินด้วย
- กรณีที่คนไข้รับประทานยาหรืออาหารเสริมอยู่ ซึ่งอาจมีฤทธิ์ทำให้เลือดออกง่าย เช่น ยาแอสไพริน (Aspirin) โคลพิโดเกรล (Clopidogrel) สมุนไพร เช่น ถั่งเช่า แปะก๊วย โสม กระเทียม น้ำมันตับปลา คอลลาเจน และวิตามินอี จะต้องหยุดรับประทานก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันไม่ให้เสียเลือดมากระหว่างการผ่าตัด
- ควรหยุดยาฮอร์โมนข้ามเพศทุกชนิดก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 1 เดือน เพื่อป้องกันภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำระหว่างการผ่าตัด (Deep Venous Thrombosis)
- ผู้ที่สูบบุหรี่หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบนิโคติน เช่น บุหรี่ไฟฟ้า หมากฝรั่งนิโคติน หรือแผ่นแปะสำหรับเลิกบุหรี่ ต้องหยุดใช้ ก่อนและหลังผ่าตัดอย่างน้อย 2 เดือน เนื่องจากนิโคตินจะส่งผลให้แผลผ่าตัดหายช้าลง
- ควรงดดื่มแอลกอฮอล์ 1 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด
- ช่วง 1 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด ควรรับประทานอาหารอ่อนที่มีกากน้อย เพื่อเตรียมลำไส้ให้สะอาด
- รักษาสุขอนามัยอวัยวะเพศ ด้วยการล้างทำความสะอาดด้วยน้ำเปล่าหรือสบู่สำหรับจุดซ่อนเร้น
การดูแลหลังรับบริการ
- เทคนิคต่อลำไส้และเยื่อบุช่องท้อง คนไข้จะนอนโรงพยาบาล 4 คืน ได้แก่ ก่อนผ่าตัด 1 คืน และหลังผ่าตัด 3 คืน โดยแพทย์จะเปิดผ้าก๊อซปิดแผลทั้งหมดในวันที่ 4 ถอดสายสวนปัสสาวะและสายเดรนออก และสอนให้ขยายช่องคลอด หากไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ สามารถกลับบ้านได้
- หลังผ่าตัดแปลงเพศด้วยเทคนิคต่อลำไส้และเยื่อบุช่องท้อง ควรหยุดพักรักษาตัวประมาณ 1 เดือน ในกรณีผ่าตัดครั้งแรก และ 2 สัปดาห์ในกรณีผ่าตัดแก้ไข
- ยาทาแผลมี 2 ชนิด คือ โพวิโดนไอโอดีนชนิดน้ำ (Povidone Iodine Solution) และชนิดเจล (Povidone Iodine Gel) ยาชนิดน้ำใช้สำหรับทาแผลแคมนอก ส่วนยาชนิดเจลใช้สำหรับทาแผลบริเวณแคมในและรอบท่อปัสสาวะ
- ภายหลังขับถ่ายและขยายช่องคลอด ควรทำความสะอาดบาดแผลร่วมกับการทายาทุกครั้ง และสวมใส่ผ้าอนามัยเพื่อซึมซับคราบเลือด โดยทั่วไปแผลผ่าตัดจะหายภายใน 2-3 สัปดาห์ หากไม่มีภาวะแทรกซ้อน
- ควรใช้วิธีการสวนล้างช่องคลอดทุกครั้งหลังขยายช่องคลอดเสร็จ โดยใช้น้ำเกลือผสมกับยาโพวิโดนไอโอดีนชนิดน้ำ ในอัตราส่วน 1:10 (เช่น ผสมน้ำ 100 ซีซี เข้ากับยา 10 ซีซี) ควรสวนล้างช่องคลอดครั้งละ 100-200 ซีซี
- ห้ามนั่งยองหรือแยกขาก่อนที่แผลผ่าตัดจะหายสนิท เนื่องจากจะทำให้แผลปริแยกได้
- ไม่ควรใช้น้ำสบู่สวนล้างช่องคลอดเพราะอาจเกิดการระคายเคืองได้
- โดยทั่วไปแพทย์จะอนุญาตให้มีเพศสัมพันธ์ ภายหลังจากผ่าตัด 1-2 เดือน (เมื่อแผลภายในช่องคลอดหายสนิท)
- กลิ่นภายในช่องคลอดอาจมีได้ในช่วง 3-6 เดือนแรกเนื่องจากยังมีคราบเลือดที่ยังหลงเหลืออยู่
- ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มจัดและของหมักดอง เพราะอาจทำให้บริเวณที่ผ่าตัดบวมได้นาน
- ควรรับประทานฮอร์โมน เพื่อคงสภาพความเป็นหญิงอย่างต่อเนื่อง สามารถเริ่มรับประทานฮอร์โมนหลังการผ่าตัดไปแล้ว 1 เดือน
- ควรใส่วัสดุขยายช่องคลอดเทียม หรือการแยงโม เพื่อป้องกันไม่ให้ช่องคลอดตีบตัน โดยแนะนำให้แยงโมทุกวัน วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ครั้งละ 15-30 นาที นาน 1 ปี หลัง 1 ปีขึ้นไปหากมีเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอไม่จำเป็นต้องแยงโม แต่เมื่อใดที่ไม่มีเพศสัมพันธ์ให้แยงโมอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง สำหรับการผ่าตัดแบบต่อลำไส้ จำเป็นต้องแยงโมบริเวณปากทางช่องคลอดวันละ 1 ครั้ง
ก่อนตัดสินใจ
ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจ
- การผ่าตัดโดยใช้ลำไส้ใหญ่ทำเป็นผนังเยื่อบุช่องคลอด เป็นส่วนหนึ่งของการผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิง
- ผู้ที่ต้องการผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิง จะต้องเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพ ทำความเข้าใจ และวางแผนการผ่าตัดอย่างละเอียด
- ควรสอบถามแพทย์เกี่ยวกับการงดรับประทานยา วิตามิน อาหารเสริม หรือเครื่องดื่มที่อาจส่งผลกระทบต่อการผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิง
- หากมีโรคประจำตัว จะต้องแจ้งให้แพทย์ทราบ เพื่อความปลอดภัยในการผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิง
ข้อห้ามสำหรับการแปลงเพศด้วยลำไส้ใหญ่
- ผู้ที่เป็นโรคในกลุ่มลำไส้ เช่น ลำไส้อักเสบ หรือมีกระเปาะที่ลำไส้
ผู้ที่เหมาะกับบริการนี้
คุณสมบัติของผู้ที่สามารถผ่าตัดแปลงเพศ ได้แก่
- ผู้ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป
- ในกรณีที่มีอายุน้อยกว่า 20 ปี จะต้องมีจดหมายรับรองจากผู้ปกครองเพื่อยินยอมการผ่าตัด
- ต้องใช้ชีวิตเป็นผู้หญิงติดต่อกันเป็นระยะเวลา 1 ปีขึ้นไป และมีความรู้สึกเป็นหญิงมานานแล้ว
- ได้รับฮอร์โมนเพศหญิงมาก่อน อย่างน้อย 1 ปี
- ผ่านการประเมินสภาพจิตใจ และมีใบรับรองจากจิตแพทย์ อย่างน้อย 2 ท่าน
- มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้
- ความเสี่ยงทั่วไปจากการผ่าตัด เช่น มีเลือดออก บวม ติดเชื้อ แพ้ยาชา หรือแพ้ยาสลบ
- การผ่าตัดต่อลำไส้ อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงอย่างการอักเสบภายในช่องท้อง การรั่วของรอยต่อลำไส้ หรือการติดเชื้อในช่องท้องได้
- ปวดแผล สามารถบรรเทาได้ด้วยยาแก้ปวดที่แพทย์สั่งให้
- ความรู้สึกทางเพศลดลง
- ช่องคลอดตีบ หรือท่อปัสสาวะตีบ
- ช่องคลอดทะลุเข้าลำไส้
- เนื้อตาย
- เกิดแผลเป็นที่หน้าท้อง ในกรณีที่ใช้เทคนิคการผ่าตัดแบบเปิดแผลหน้าท้อง
- อาจต้องเข้ารับการผ่าตัดตกแต่งแคมหลังแปลงเพศเพิ่มในภายหลัง เนื่องจากไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ
ข้อมูลทั่วไป
ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับการแปลงเพศ
การผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิง เป็นการผ่าตัดเพื่อตกแต่งอวัยวะเพศชายภายนอกให้มีรูปร่างเหมือนอวัยวะเพศหญิงมากที่สุด
การผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิง มี 3 ขั้นตอนหลัก ได้แก่
- สร้างช่องคลอดเทียม เริ่มจากตัดต่อท่อปัสสาวะที่ยาวให้สั้นลง และอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง สามารถนั่งปัสสาวะได้ จากนั้นจึงทำช่องคลอดเทียม โดยความลึกของช่องคลอดจะขึ้นอยู่กับความยาวของอวัยวะเพศเดิม
- ตกแต่งรูปร่างแคมใน และแคมนอกให้เหมือนอวัยวะเพศหญิงมากที่สุด
- ตกแต่งประสาทรับความรู้สึก โดยเก็บเส้นเลือด และเส้นประสาทรับรู้ไว้ แล้วสร้างเป็นปุ่มคลิตอริส (Clitoris) ซึ่งเป็นจุดสัมผัสรับรู้ทางเพศ
แพ็กเกจนี้ใช้ลำไส้ใหญ่ทำเป็นผนังเยื่อบุช่องคลอด (Colon Graft)
ในขั้นตอนการสร้างช่องคลอดเทียมขึ้นมาใหม่นั้น แพทย์จะต้องสร้างผนังเยื่อบุช่องคลอดเพื่อไม่ให้ช่องคลอดตีบแคบ แบ่งเป็น 2 วิธีหลักๆ คือ การบุเนื้อเยื่อชนิดที่ไม่มีเยื่อเมือกธรรมชาติ และการบุเนื้อเยื่อชนิดที่มีเยื่อเมือกธรรมชาติ
การผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิง โดยใช้ลำไส้ใหญ่ทำเป็นผนังเยื่อบุช่องคลอด (Colon Graft) เป็นหนึ่งในเทคนิคการตกแต่งภายในช่องคลอดด้วยเนื้อเยื่อชนิดที่มีเยื่อเมือกธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นหญิงอย่างสมบูรณ์แบบ เพราะลำไส้ใหญ่สามารถผลิตน้ำหล่อลื่นตามธรรมชาติได้
นอกจากนี้การใช้ลำไส้ใหญ่ทำเป็นผนังเยื่อบุช่องคลอด ยังสามารถทำในผู้ที่เคยเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศมาแล้ว แต่มีปัญหาช่องคลอดตีบตันจนทำให้ไม่สามารถร่วมเพศได้อีกด้วย
ข้อดีของการใช้ลำไส้ใหญ่ทำเป็นผนังเยื่อบุช่องคลอด
- ไม่ต้องใช้เจลหล่อลื่นช่วยในการมีเพศสัมพันธ์ เพราะเนื้อเยื่อสามารถผลิตเมือกได้เองตามธรรมชาติ
- เหมาะสำหรับผู้ที่อวัยวะเพศเดิมมีขนาดเล็ก ทำให้มีเนื้อเยื่อไม่เพียงพอต่อการตกแต่งภายในช่องคลอด
- การใช้เยื่อเมือกธรรมชาติอย่างลำไส้ใหญ่ จะช่วยให้การตกแต่งภายในช่องคลอดมีประสิทธิภาพ และเป็นธรรมชาติมากขึ้น
- สามารถนำมาใช้แก้ไขปัญหาการตีบตันช่องคลอด ในผู้ที่เคยเข้ารับการผ่าตัดทำผนังช่องคลอดด้วยเนื้อเยื่อชนิดที่ไม่มีเยื่อธรรมชาติได้
ข้อจำกัด
- มีความเสี่ยงมากกว่าการทำผนังเยื่อบุช่องคลอดด้วยเนื้อเยื่อชนิดไม่มีเยื่อเมือกธรรมชาติ เพราะต้องผ่าตัดต่อลำไส้ภายในช่องท้อง
หมายเหตุ
- หลังเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิง โดยใช้ลำไส้ใหญ่ทำเป็นผนังเยื่อบุช่องคลอด จะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย
- การผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิง จำเป็นต้องทำกับศัลยแพทย์ที่ชำนาญการและมีประสบการณ์ เพื่อความปลอดภัย ควรเลือกทำกับสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐานและเชื่อถือได้
สถานพยาบาลอื่นที่มีบริการ ผ่าตัดแปลงเพศ ราคา เท่าไรบ้าง? เช็กราคาพร้อมโปรโมชั่นได้ที่นี่
วิธีชำระและใช้งาน
วิธีซื้อแพ็กเกจของ โรงพยาบาลยันฮี ผ่าน HDmall
จองแพ็กเกจผ่าน HDmall.co.th แล้วชำระเงินที่โรงพยาบาล จากนั้นเก็บใบเสร็จมารับ แคชแบ็ก* (กรณีลูกค้าใช้สิทธิประกันจะไม่สามารถรับแคชแบ็กได้)
- กดจองแพ็กเกจที่ต้องการและกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน
- รับอีเมลเพื่อยืนยันการจอง พร้อมรหัสคูปองสำหรับขอแคชแบ็กจาก HDmall คูปองมีอายุ 30 วัน
- เช็กคิวหรือทำนัดผ่านแอดมิน HDmall เท่านั้น เพื่อรับสิทธิพิเศษ
- เข้ารับบริการตามวันและเวลานัดที่ระบุในคูปอง เมื่อถึงโรงพยาบาล เพียงแสดงบัตรประชาชน ณ ศูนย์บริการลูกค้า ชั้น 1 โดยไม่ต้องแสดงคูปอง HDmall เข้ารับบริการ ชำระเงินตามยอดที่ฝ่ายการเงินแจ้ง
- แจ้งขอแคชแบ็กจาก HDmall ภายใน 30 วันหลังชำระเงิน ทางไลน์ @hdcoth โดยพิมพ์ '5' หรือ 'ขอแคชแบ็ก' ลูกค้าจะได้รับแคชแบ็กภายใน 7-14 วัน (ตัดรอบโอนเงินทุกวันจันทร์ เวลา 15.00 น. เงินจะเข้าบัญชีของคุณภายในวันศุกร์)
หลักฐานที่ใช้ขอแคชแบ็ก
- รูปใบเสร็จของโรงพยาบาล
- รูปสมุดบัญชี
- รูปรหัสคูปองที่ได้รับ
หมายเหตุ
- แพ็กเกจนี้ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนทำ
- ลูกค้าต้องชำระค่าแพทย์และค่าบริการปรึกษาแพทย์ในราคาเต็มที่โรงพยาบาลไปก่อน หลังจากนั้นค่อยแจ้งแอดมินทางไลน์ @hdcoth เพื่อกรอกแบบฟอร์มขอแคชแบ็กภายหลัง (ขั้นตอนการขอแคชแบ็กพร้อมรหัสจะแสดงในอีเมล)
- *จะได้รับแคชแบ็กเฉพาะแพ็กเกจที่ร่วมรายการ (สอบถามรายละเอียดได้จากแอดมิน)
เงื่อนไขการใช้คูปอง
- คุณสามารถเลื่อนนัดได้ด้วยตัวเอง ตามเบอร์โทรศัพท์หรือไลน์ที่ระบุไว้ในคูปอง ก่อนวันนัดอย่างน้อย 1-3 วันทำการ แต่ต้องรับบริการก่อนคูปองหมดอายุ (คูปองมีอายุ 30 วัน)
- สามารถซื้อแพ็กเกจให้คนอื่นได้ เพียงแจ้งชื่อผู้จะรับบริการให้แอดมินทราบ เพื่อจะได้ระบุบนคูปอง
- อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของสถานที่ให้บริการ สามารถจ่ายที่โรงพยาบาลได้โดยตรง
- สำหรับแพ็กเกจแบบคอร์ส ต้องรับบริการครั้งแรกก่อนคูปองหมดอายุ ส่วนครั้งต่อๆ ไปขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของคลินิก
เงื่อนไขการให้บริการ และราคาของ โรงพยาบาลยันฮี อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามแผนการส่งเสริมการขาย ท่านสามารถตรวจสอบเงื่อนไขการให้บริการ และราคาล่าสุดได้จากแอดมิน HDmall.co.th