ตรวจหาเชื้อ HIV ด้วยวิธีเจาะเลือดแบบ PCR (NAT)

ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับการตรวจหาเชื้อ HIV

เชื้อเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus: HIV) เป็นเชื้อไวรัสที่สามารถติดต่อจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งได้ทางเลือด ทางเพศสัมพันธ์ และจากมารดาสู่ทารก แล้วกระจายผ่านเม็ดเลือดขาวไปตามอวัยวะต่างๆ ทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว (CD4) ที่ทำหน้าที่ป้องกันร่างกายจากการติดเชื้อ เมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาวและระบบภูมิคุ้มกันถูกเชื้อ HIV ทำลาย ก็จะทำให้ร่างกายอ่อนแอจนติดเชื้อและเจ็บป่วยได้ง่าย

ความแตกต่างระหว่างเอชไอวีและเอดส์

เอชไอวี เป็นเชื้อไวรัส ส่วนเอดส์ (Acquired Immune Deficiency Syndrome: AIDS) เป็นกลุ่มอาการของโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ซึ่งผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีไม่จำเป็นต้องเป็นโรคเอดส์เสมอไป

โดยทั่วไปหากติดเชื้อเอชไอวีและไม่ได้รับการดูแลรักษา เชื้อมักใช้เวลาประมาณ 10 ปีที่จะพัฒนาไปเป็นโรคเอดส์ แต่ถึงแม้จะยังไม่เป็นโรคเอดส์ ผู้ที่มีเชื้อเอชไอวีจะสามารถแพร่เชื้อสู่บุคคลอื่นได้แม้จะยังไม่มีอาการ

ปัจจัยที่ทำให้ติดเชื้อเอชไอวี

• การร่วมเพศกับผู้ที่มีเชื้อเอชไอวีโดยไม่ใส่ถุงยางอนามัย โดยจะพบเชื้อมากที่สุดในเลือด น้ำอสุจิ และน้ำหล่อลื่นในช่องคลอด
• การรับเชื้อทางเลือด เช่น การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การสัมผัสเชื้อบริเวณที่มีบาดแผล การรับเลือดมาจากการผ่าตัด หรือเพื่อรักษาโรคเลือดบางชนิด
• การติดต่อผ่านแม่สู่ลูก จึงควรตรวจเลือดก่อนแต่งงาน
• สุขภาพของผู้รับเชื้อ หากสุขภาพอ่อนแอก็มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย

อาการของผู้ติดเชื้อ HIV

• ระยะแรกเริ่ม: ปริมาณเชื้อ HIV ในร่างกายจะเริ่มเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่ถึงขั้นตรวจพบได้ในการตรวจหาเชื้อ HIV หรือตรวจหาภูมิต้านทานต่อเชื้อด้วยวิธีการตรวจเลือดปกติ ช่วงนี้อาจยาวนานตั้งแต่ 2-12 สัปดาห์ หลังจากการติดเชื้อ อาการคล้ายกันกับอาการของโรคไข้หวัด, ไข้หวัดใหญ่ หรือโรคอื่น ๆ ที่ทำให้ร่างกายมีอาการป่วย อาการเหล่านี้อาจรวมถึง ไข้, หนาวสั่น, เจ็บคอ, ปวดเมื่อยตามตัว, ผื่น, ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต, คลื่นไส้, อาเจียน, ถ่ายเหลว, น้ำหนักลด หรือมีฝ้าขาวในช่องปาก อาการเหล่านี้มักจะเป็นอยู่ประมาณ 1-2 สัปดาห์ แล้วหายไปได้เอง
• ระยะติดเชื้อแบบไม่แสงอาการ: เชื้อไวรัส HIV จะเจริญเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และทำลายระบบภูมิคุ้มกันโรค โดยการทำลายเซลล์เอียงต่อมนับเป็นเซลล์ที่สำคัญสำหรับภูมิคุ้มกันโรค ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันโรคของผู้ติดเชื้อเริ่มอ่อนแอลงลง จนกระทั่งจำนวนของเซลล์เอียงต่อมลดลงอย่างมาก ๆ จนเกิดอาการเจ็บป่วย เป็นอาการเป็นธรรมดาที่พบได้ในโรคเอดส์ อัตราการลดลงของระบบภูมิคุ้มกันโรคในผู้ติดเชื้อ HIV จะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของเชื้อไวรัสและสภาพความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันโรคของผู้ติดเชื้อเอง ส่วนใหญ่แล้ว กลุ่มผู้ติดเชื้อจะมีระยะเวลาในการเจ็บป่วยประมาณ 5-10 ปี ในขณะที่มีกลุ่มผู้ป่วยประมาณร้อยละ 10 ที่ระยะนี้อาจสั้นเพียง 2-3 ปีเท่านั้น ซึ่งมักจะมีระบบภูมิคุ้มกันโรคอ่อนแอกว่ามากกว่ากลุ่มผู้ติดเชื้ออื่น ๆ อีกทั้งยังมีกลุ่มผู้ป่วยที่ระยะนี้ช้ามากขึ้น ซึ่งสามารถควบคุมเชื้อได้ดีเป็นพิเศษ และไม่มีการแพร่เชื้อต่อผู้อื่นเลย 

โรงพยาบาลและคลินิกอื่น ที่ให้บริการ ตรวจ STD ราคา เท่าไรบ้าง? เช็กราคาพร้อมโปรโมชั่นได้ที่นี่