ไอเรื้อรัง เรื่องน่ากังวลที่ไม่ควรปล่อยไว้


ไอเรื้อรัง


อาการไอ เป็นการตอบสนองของร่างกายเพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอมในทางเดินหายใจ เช่น เชื้อโรค เสมหะ และฝุ่นควัน เมื่อสิ่งแปลกปลอมถูกกำจัดหมดไปอาการไอก็จะหายไปเองตามธรรมชาติ ซึ่งส่วนมากจะใช้เวลาไม่เกิน 3-4 สัปดาห์ แต่หากใครที่ไอติดต่อกันเป็นเดือนๆ คงรู้สึกกังวลใจไม่น้อยเลยจริงไหม? เพราะนอกจากจะหวั่นวิตกว่า “นี่ฉันป่วยเป็นอะไร?” บางครั้งยังทำให้เรารำคาญใจ และอาจเป็นที่รังเกียจของคนรอบข้างอีกต่างหาก ... เรามาดูกันดีกว่าว่า ไอเรื้อรัง เกิดจากอะไรบ้าง และเราจะรักษาได้อย่างไร

ไอเรื้อรัง (Chronic cough) คืออาการไอที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันนานกว่า 8 สัปดาห์ ซึ่งอาจเป็นการไอแบบแห้งๆ ไอมีเสมหะ หรือการไอที่มาพร้อมกับอาการอื่นๆ เช่น คัดจมูก น้ำมูกไหล เจ็บคอ เสียงแหบ มีไข้ หายใจติดขัด แสบร้อนหน้าอก และไอเป็นเลือด ซึ่งลักษณะการไอที่แตกต่างกันเหล่านี้ ก็เกิดจากสาเหตุที่ต่างกันไป

ไอเรื้อรัง อันตรายหรือไม่?

อาการไอเรื้อรังโดยที่เราไม่ทราบสาเหตุ นับเป็นความผิดปกติที่ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อสืบหาต้นสายปลายเหตุ โดยเฉพาะเมื่อการไอเรื้อรังของเรามีอาการเหล่านี้พ่วงมาด้วย...

  • ไอเป็นเลือดสดๆ หรือเสมหะมีเลือดปน
  • เบื่ออาหาร
  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • หอบเหนื่อยง่าย
  • เกิดปอดอักเสบบ่อยครั้ง

สาเหตุของอาการไอเรื้อรัง

สาเหตุหรือความผิดปกติที่ทำให้เกิดอาการไอเรื้อรังนั้นมีอยู่มากมาย เช่น

  • มีเสมหะไหลลงคือ หรือเสมหะอุดตันในทางเดินหายใจ
  • โรคหอบหืด
  • โรคหลอดลมอักเสบ
  • โรคกรดไหลย้อน ซึ่งมักมีอาการแสบร้อนหน้าอกร่วมด้วย
  • มีการติดเชื้อในทางเดินหายใจ เช่น ปอดบวม
  • โรคภูมิแพ้ เช่น แพ้อากาศเย็น แพ้ละอองเกสร แพ้สารเคมี และได้รับสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการแพ้
  • การสูบบุหรี่
  • โรคถุงลมโป่งพอง
  • โรคมะเร็งปอด ซึ่งการไอมักมีเลือดปนมากับเสมหะ และมีน้ำหนักลดร่วมด้วย
  • โรคไอกรน
  • โรควัณโรค ซึ่งบางครั้งมีอาการไอเป็นเลือด เจ็บหน้าอก น้ำหนักลด และมีไข้หนาวสั่น
  • ผลจากการใช้ยาควบคุมความดันโลหิต

การรักษาอาการไอเรื้อรัง

การรักษาอาการไอเรื้อรัง จะต้องตรวจหาสาเหตุของอาการและรักษาความผิดปกตินั้น เช่น

  • หากมีเสมหะไหลลงคอ หรือเสมหะปิดกั้นทางเดินหายใจ มักรักษาด้วยยาแก้แพ้ (Antihistamine) ยา Chlorpheniramine หรือยา Fluticasone รวมถึงอาจใช้ยาพ่น Ipratropium เพื่อทำให้ทางเดินหายใจโล่งขึ้นด้วย
  • หากมีการติดเชื้อแบคทีเรียจนเกิดปอดบวมหรือหลอดลมอักเสบ แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะเพื่อกำจัดเชื้อที่เป็นต้นเหตุ
  • หากคนไข้เป็นโรคหอบหืด จะต้องรักษาด้วยยาพ่นเพื่อขยายหลอดลม หรือใช้สเตียรอยด์เพื่อบรรเทาความอักเสบที่หลอดลม
  • หากเป็นโรคกรดไหลย้อน คนไข้ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการทานอาหาร เช่น ไม่นอนหลังทานอาหารอิ่ม และงดอาหารที่เป็นกรดสูง อย่างน้ำอัดลม แอลกอฮอล์ หรืออาหารรสจัด นอกจากนี้อาจรักษาด้วยยา เช่น ยา Omeprazole และ Ranitidine
  • หากพบว่าป่วยเป็นวัณโรค แพทย์อาจรักษาด้วยยา Isoniazid ยา Rifampicin หรือยา Streptomycin เพื่อกำจัดเชื้อก่อโรค ร่วมกับการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง

นอกจากนี้ หากอาการไอรุนแรงจนรบกวนชีวิตประจำวัน แพทย์อาจให้ยาระงับอาการไอ เช่น Codeine และบางครั้งเราอาจทานยาอมหรือยาน้ำแก้ไอ เพื่อช่วยให้รู้สึกชุ่มคอ และช่วยบรรเทาอาการไอได้ระยะหนึ่ง

การป้องกันอาการไอเรื้อรัง

  • งดสูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับฝุ่นควัน มลพิษ
  • หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรค ปอดบวม หลอดลมอักเสบ เพื่อป้องกันการติดโรค
  • ในผู้ที่เป็นภูมิแพ้ ให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้
  • ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง โดยการทานผักผลไม้ ดื่มน้ำมากๆ ออกกำลังกายประจำ และพักผ่อนให้เพียงพอ

เปรียบเทียบราคาแพ็กเกจตรวจสุขภาพ


บทความแนะนำ


ที่มาของข้อมูล

ขยาย

ปิด

@‌hdcoth line chat