ไวรัสตับอักเสบ ทำให้ตับเกิดการอักเสบแบบเฉียบพลัน ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงตับวายและถึงแก่ชีวิตได้
รายละเอียด
ทำไมคนอื่นซื้อแพ็กเกจนี้?
🦠 รู้จักโรคไวรัสตับอักเสบเอ บี และซี! อาการที่คุณไม่ควรมองข้าม! คุณรู้หรือไม่ว่าโรคไวรัสตับอักเสบเป็นหนึ่งในโรคที่ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรงในระยะยาว? ส่วนใหญ่ผู้ติดเชื้ออาจไม่มีอาการชัดเจน แต่หากปล่อยไว้นานอาจส่งผลต่อการทำงานของตับและสุขภาพโดยรวมของคุณได้!
🏥 บริการตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบที่ Glove Clinic เป็นโอกาสที่ดีในการตรวจเช็กสุขภาพของคุณอย่างละเอียด โดยบริการนี้รวมการตรวจเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ บี และซี ที่มีความแม่นยำและรวดเร็ว เพื่อให้คุณมั่นใจในสุขภาพของตัวเอง
💡 ทำไมต้องตรวจไวรัสตับอักเสบ?
- การตรวจเช็คสุขภาพตับเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบสามารถนำไปสู่โรคตับแข็งหรือมะเร็งตับได้
- ช่วยให้คุณรู้ว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ และสามารถวางแผนการรักษาที่เหมาะสมได้
🔍 อย่ารอช้า! หากคุณสงสัยว่าตัวเองเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ หรือมีอาการเช่น อ่อนเพลีย ตัวเหลือง หรือปวดท้องด้านขวา อย่าลังเลที่จะทำการตรวจเช็คสุขภาพกับเรา! จองบริการ ผ่าน HDmall.co.th และรับผลการตรวจภายใน 1 วันทำการ 📅
สุขภาพดีเริ่มต้นที่การตรวจสุขภาพที่ถูกต้อง!
รายละเอียด
ราคานี้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง?
- ค่าตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ บี และซี มีรายการตรวจดังนี้
- ตรวจการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ (HAV IgG)
- ตรวจการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และตรวจภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบบี
- ตรวจการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี (Anti-HCV)
- ค่าบริการ
- ค่าปรึกษาทางการแพทย์
เกี่ยวกับแพ็กเกจ
- ระยะเวลารับบริการประมาณ 30 นาที ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของผู้เข้ารับบริการ
- ควรนัดหมายล่วงหน้าก่อนเข้ารับบริการ
- ไม่ต้องงดน้ำงดอาหาร
- แพทย์จะให้คำปรึกษาตั้งแต่ก่อนตรวจและแจ้งผลให้ทราบ
การเตรียมตัวก่อนรับบริการ
- ควรแจ้งให้แพทย์ทราบหากมีการตั้งครรภ์ แพ้ยา มีโรคประจำตัว หรือมียาที่รับประทานประจำ เพราะอาจต้องงดยาบางชนิดล่วงหน้าก่อนตรวจเลือด
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนการตรวจเลือด
การดูแลหลังรับบริการ
- หากตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบ แพทย์มักแนะนำให้ตรวจเช็กการทำงานของตับ (Liver Function Test) เพื่อดูความเสียหาย ณ ปัจจุบันว่ายังคงเหลือประสิทธิภาพมากน้อยอยู่เท่าใด และจะจัดยาทำลายเชื้อไวรัสพร้อมคำแนะนำในการดูแลตนเอง
- หากตรวจไม่พบเชื้อไวรัสตับอักเสบ ควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ได้แก่ ควรฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสตับอักเสบบีให้ครบ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้น้อยลง งดกินยา และวิตามินเสริมที่ไม่จำเป็น งดการใช้ภาชนะส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น มีเพศสัมพันธ์โดยการสวมถุงยางอนามัยเสมอ งดการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย และหมั่นตรวจสุขภาพทุกปี
ก่อนตัดสินใจ
ผู้ที่เหมาะกับบริการนี้
- ผู้ที่สงสัยว่าอาจติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ บี และซี
- ผู้ที่ไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ
- สตรีมีครรภ์ หรือมีโอกาสตั้งครรภ์
- ผู้ที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนคู่นอนบ่อย
- ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี
- ผู้ที่กำลังได้รับยากดภูมิคุ้มกัน
- ผู้ที่เป็นโรคไตระยะสุดท้าย หรือมีการฟอกไต
ข้อมูลทั่วไป
ไวรัสตับอักเสบชนิดเอ เป็นโรคติดต่อที่สามารถแพร่เชื้อและติดต่อได้ง่าย และการติดเชื้ออาจทำให้เกิดอาการตับอักเสบ ซึ่งเป็นภาวะที่มีการอักเสบและการขยายตัวของตับ มีไวรัสหลายชนิดที่สามารถทำให้เกิดโรคตับอักเสบได้ ไวรัสตับอักเสบบางชนิดทำให้เกิดการติดเชื้อในระยะสั้นเท่านั้นที่เรียกว่าโรคเฉียบพลัน ในขณะที่บางชนิดอาจทำให้เกิดการติดเชื้อระยะยาวที่เรียกว่าโรคเรื้อรัง
โดยทั่วไปแล้วการติดเชื้อโรคไวรัสตับอักเสบชนิดเอ จะเป็นการติดเชื้อเฉียบพลัน จึงจะมีเชื้อคงอยู่ไม่กี่สัปดาห์ แต่ในบางกรณีก็อาจยาวนานถึงหลายเดือน แต่ในกรณีส่วนใหญ่จะไม่ใช่การติดเชื้อเรื้อรัง ในบางกรณีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเออาจรุนแรง จนทำให้ตับเสียหายหรือล้มเหลวได้
อาการหลังจากติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดเอ
- บางคนจะมีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น อ่อนเพลีย ในบางคนจะมีอาการตัวเหลือง ตาขาวเป็นสีเหลืองร่วมด้วย หรือ บางคนจะมีอาการมากกว่านั้น เช่น เป็นไข้ คลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียน เบื่ออาหาร ปวดท้องที่ตำแหน่งชายโครงด้านขวา ปัสสาวะสีเข้ม อุจจาระสีซีด อาจพบว่ามีอาการคันตามผิวหนัง หรือผื่นลมพิษก็เป็นได้
- โดยทั่วไปผู้ป่วยโรคตับอักเสบจะมีไข้นำมาก่อน ร่วมกับอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย อ่อนเพลีย บางรายอาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วย ต่อมาจะเริ่มมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง หรือที่คนทั่วไปเรียกว่าเป็นโรคดีซ่าน
- ภาวะการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ มักปรากฏอาการในเด็กโตและผู้ใหญ่มากกว่าในเด็กเล็ก ผู้ป่วยมักสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสต่อไปในระยะยาว และหายจากโรคอย่างสมบูรณ์โดยไม่เป็นพาหะเรื้อรัง
ไวรัสตับอักเสบเอ ติดต่อได้อย่างไร?
ไวรัสตับอักเสบเอ สามารถติดต่อกันได้ผ่านทางอุจจาระที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหาร บ่อยครั้งเกิดจากการบริโภคอาหารที่ไม่ได้ล้าง อาหารดิบ หรือดื่มน้ำที่มีการปนเปื้อน
การตรวจวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบเอ
สามารถทำได้โดยการตรวจเลือดหาเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ (HAV) หรือแอนติบอดี้ IgM ซึ่งแสดงถึงการสัมผัสกับไวรัสตับอักเสบเอเป็นครั้งแรก โดยจะคงอยู่ในเลือดของคุณประมาณ 3 ถึง 6 เดือน และอาจมีการตรวจแอนติบอดี้ IgG หรือภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบเอเพิ่มเติม เพื่อดูว่าร่างกายมีภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสตับอักเสเอหรือไม่
การตรวจไวรัสตับอักเสบเอ มีข้อดีอย่างไร?
- ทำให้ทราบว่ามีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอหรือไม่ หากมีจะได้เข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสม รวมถึงป้องกันและประเมินความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่น
- ทำให้ทราบว่ามีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบเออยู่หรือไม่ สำหรับพิจารณาความจำเป็นที่จะต้องฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอต่อไป
การแปลผลการตรวจ
- การตรวจเชื้อ หากผล IgM anti-HAV เป็นบวก แปลว่ามีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ และสามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้
- ตรวจหาภูมิคุ้มกัน IgG anti-HAV หากผลเป็นบวก แปลว่าร่างกายมีภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสตับอักเสเอ ซึ่งอาจได้มาจากการฉีดวัคซีนหรือร่างกายสร้างขึ้นเองจากการตอบสนองต่อการติดเชื้อ ผู้ที่มีภูมิต้านทานอยู่จะไม่เกิดการติดเชื้อ และไม่เป็นพาหะของเชื้อแพร่ไปสู่บุคคลอื่น
- กรณีที่ได้ผลเป็นลบทั้งคู่ แปลว่าไม่มีการติดเชื้อ แต่ร่างกายยังไม่มีภูมิต้านทาน แนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ
โรคตับอักเสบบี (Hepatitis B) เป็นโรคที่มีการอักเสบของตับ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี ที่อาจทำให้เกิดอาการป่วยเล็กน้อยหลายสัปดาห์ หรือเป็นเรื้อรังทำให้เกิดอาการรุนแรงเกิดผลเสียในระยะยาวได้
อาการหลังจากติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี
หลังจากได้รับเชื้อ เชื้อจะฟักตัว 2-3 เดือน แล้วจึงแสดงอาการคล้ายเป็นหวัด คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้ อ่อนเพลีย ปัสสาวะเข้ม ตาเหลือง ปวดกล้ามเนื้อ ข้อ และปวดใต้ชายโครงขวาจากภาวะตับโตร่วมด้วย ซึ่งร่างกายจะค่อยๆ กำจัดเชื้อออกไป พร้อมกับสร้างภูมิคุ้มกัน อาการจึงค่อยๆ ดีขึ้นภายในเวลา 2-3 สัปดาห์
แต่หากไม่สามารถกำจัดเชื้อออกจากร่างกายได้ จะเกิดการติดเชื้อเรื้อรัง ซึ่งบางรายเกิดการอักเสบของตับร่วมด้วย ทำให้เซลล์ตับตายกลายเป็นพังผืดจนเกิดตับแข็ง หรืออาจกลายเป็นมะเร็งตับได้
ไวรัสตับอักเสบบี ติดต่อได้อย่างไร?
ไวรัสตับอักเสบชนิดบี สามารถติดต่อได้จากหลายทาง ดังต่อไปนี้
- ถ่ายทอดจากมารดาที่ติดเชื้อสู่ทารก ปัจจุบันพบน้อยเนื่องจากมีการฉีดวัคซีนให้ทารกหลังจากคลอด ซึ่งป้องกันได้เกือบ 100%
- ผ่านทางเพศสัมพันธ์ โดยไม่ได้ป้องกัน
- ผ่านเลือด หรือสัมผัสถูกบาดแผล
- ผ่านการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับบุคคลอื่น
- ผ่านการสัก เจาะหู หรือฝังเข็ม ด้วยอุปกรณ์ที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างเหมาะสม
การตรวจวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบบี
สามารถทำได้โดยการตรวจเลือดหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หรือ HBsAg และอาจมีการตรวจแอนติบอดี้ HBsAb หรือภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเพิ่มเติม เพื่อดูว่าร่างกายมีภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือไม่
การตรวจไวรัสตับอักเสบบี มีข้อดีอย่างไร?
- ทำให้ทราบว่ามีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือไม่ หากมีจะได้เข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสม รวมถึงป้องกัน และประเมินความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่น
- ทำให้ทราบว่ามีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบบีอยู่หรือไม่ สำหรับพิจารณาความจำเป็นที่จะต้องฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีต่อไป
การแปลผลการตรวจ
- ตรวจหาเชื้อ (HBsAg) หากผลเป็นบวก แปลว่ามีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และสามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้
- ตรวจหาภูมิคุ้มกัน (HBsAb หรือ Anti-HBs) หากผลเป็นบวก แปลว่าร่างกายมีภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งอาจได้มาจากการฉีดวัคซีนหรือร่างกายสร้างขึ้นเองจากการตอบสนองต่อการติดเชื้อ ผู้ที่มีภูมิต้านทานอยู่จะไม่เกิดการติดเชื้อ และไม่เป็นพาหะของเชื้อแพร่ไปสู่บุคคลอื่น
- กรณีที่ได้ผลเป็นลบทั้งคู่ แปลว่าไม่มีการติดเชื้อ แต่ร่างกายยังไม่มีภูมิต้านทาน แนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี
ไวรัสตับอักเสบซี คือ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดซี สามารถติดต่อกันทางเลือดหรือเพศสัมพันธ์คล้ายกับไวรัสตับอักเสบบี แต่ไม่สามารถติดต่อกันได้ทางการให้นมบุตร การจามหรือไอรดกัน การรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำด้วยกัน หรือการใช้ถ้วยชามร่วมกัน
เชื้อไวรัสตับอักเสบซี เมื่อเข้าไปในร่างกายจะแบ่งตัวและอาศัยอยู่ในตับ ระยะแรกทำให้เกิดตับอักเสบเฉียบพลัน ซึ่งมักจะมีอาการไม่มาก ทำให้ผู้รับเชื้อไม่ทราบว่ามีตับอักเสบ โดยประมาณเกือบ 8% ของผู้ที่ได้รับเชื้อจะมีการติดเชื้อเรื้อรังและตามมาด้วยตับอักเสบแบบเรื้อรังแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ค่อยมีอาการชัดเจน ผ่านไปประมาณ 10-30 ปีจึงเข้าสู่ระยะตับแข็ง และอีกสิบปีต่อมาจึงถึงระยะท้ายของโรคตับแข็ง เมื่อมีโรคตับแข็งเกิดขึ้นจะมีโอกาสเกิดมะเร็งตับได้ประมาณ 1-3% ทั้งนี้จากสถิติที่ติดตามอาการของผู้ป่วยโรคตับแข็งจากไวรัสตับอักเสบซี จำนวน 100 คน จะมี 3 คนที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งตับตามมา
ภาวะที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี
- ตับอักเสบเฉียบพลัน หลังจากไวรัสตับอักเสบซีเข้าสู่ร่างกายแล้วจะทำให้เกิดการอักเสบของตับ แต่ส่วนมากผู้ป่วยจะไม่มีอาการ มีเพียงประมาณ 25-30% ของผู้ป่วยจะมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ที่เรียกว่าดีซ่าน ดังนั้นผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าตัวเองเกิดการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีแบบเฉียบพลัน
- ตับอักเสบเรื้อรัง ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีมากกว่า 60% จะเกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรัง ซึ่งในระยะแรกผู้ป่วยมักจะไม่มีอาการ จนเมื่อตับถูกทำลายไปมากพอควรหรือมีการอักเสบของตับมาก ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
- ตับแข็ง ผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสตับอักเสบซีนั้น ตับจะมีอาการอักเสบและถูกทำลายไปเรื่อยๆ จนในที่สุดจะกลายเป็นตับแข็ง ซึ่งถ้าเป็นมากแล้ว ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลียมาก ดีซ่าน ท้องมาน และเกิดตับวายได้ในที่สุด
- มะเร็งตับ ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรังจะมีโอกาสเกิดมะเร็งตับได้มากกว่าคนปกติ แต่มีรายงานว่าถ้าผู้ป่วยได้รับการรักษาไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรังอย่างถูกต้อง ก็สามารถลดโอกาสเกิดมะเร็งตับลงได้
อาการหลังจากติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี
คนส่วนใหญ่ที่เป็นโรคตับอักเสบซีจะไม่แสดงอาการ ผู้ที่เป็นโรคตับอักเสบซีเฉียบพลันบางรายจะมีอาการภายใน 1 ถึง 3 เดือนหลังจากที่ได้รับเชื้อไวรัส โดยอาจมีอาการเหล่านี้
- ปัสสาวะสีเหลืองเข้ม
- ร่างกายอ่อนเพลีย
- มีไข้
- อุจจาระสีเทาหรือมีลักษณะคล้ายดินเหนียว
- ปวดข้อกระดูก
- เบื่ออาหาร
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ปวดท้องประจำเดือน
- มีภาวะดีซ่าน โดยมีตาและผิวหนังเหลือง
และในกรณีที่เป็นโรคตับอักเสบซีเรื้อรัง จะไม่มีลักษณะอาการใด แต่จะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนและเริ่มมีอาการอื่น ๆ โดยอาจเกิดขึ้นได้หลายสิบปีหลังจากที่ติดเชื้อ
ไวรัสตับอักเสบซี ติดต่อได้อย่างไร?
- สัมผัสเลือด สารคัดหลั่งของร่างกาย ได้แก่ เลือด น้ำเหลือง น้ำเหลืองจากเลือด เหงื่อ ไขมันจากต่อมเหงื่อ หนอง น้ำไขสันหลัง น้ำตา น้ำในช่องต่างๆ ของดวงตา ขี้หู น้ำมูก ขี้มูก น้ำลาย เสมหะ น้ำนม อาเจียน น้ำดี น้ำจากช่องคลอด น้ำอสุจิ นอกจากนี้ ยังมีน้ำต่างๆ ในโพรงของอวัยวะต่างๆ เช่น น้ำในช่องท้อง และน้ำในช่องปอดและปัสสาวะ
- ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน เช่น ผู้เสพสารเสพติด
- ได้รับเลือดที่มีผู้บริจาคก่อน พ.ศ. 2535 เพราะการตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบซีในช่วงนั้นยังไม่ดีเท่าที่ควร แต่ปัจจุบันมีการตรวจคัดกรองเชื้อไวรัสตับอักเสบซีในเลือด ทุกถุงก่อนจะนำมาให้กับผู้ป่วย
- ทารกได้รับเชื้อจากมารดาขณะคลอด
- เพศสัมพันธ์
- การใช้สิ่งของในชีวิตประจำวันที่อาจมีการสัมผัสเลือดร่วมกัน เช่น อุปกรณ์โกนหนวด แปรงสีฟัน กรรไกรตัดเล็บ
การตรวจวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบซี
เก็บตัวอย่างโดยการเจาะเลือด โดยส่วนใหญ่มักจะเจาะเลือดจำนวน 2 ครั้ง ได้แก่ การทดสอบแอนติบอดีและการทดสอบ PCR โดยผลการทดสอบจะออกภายใน 2 สัปดาห์
- การทดสอบภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบซี (anti-HCV) จะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าคุณเคยสัมผัสกับไวรัสตับอักเสบซีหรือไม่ โดยการทดสอบหาภูมิคุ้มกันไวรัสต่อไวรัส แอนติบอดีผลิตโดยระบบภูมิคุ้มกันของคุณเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค วิธีการนี้จะบอกได้เพียงว่าคุณเคยได้รับเชื้อหรือไม่
- การทดสอบ PCR โดยการตรวจเลือดจะตรวจสอบว่าไวรัสยังคงมีอยู่หรือไม่ โดยตรวจสอบการแพร่พันธุ์ภายในร่างกาย
การตรวจไวรัสตับอักเสบซี มีข้อดีอย่างไร?
- ทำให้ทราบว่ามีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีหรือไม่ หากมีจะได้เข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสม รวมถึงป้องกันและประเมินความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่น
- ทำให้ทราบว่ามีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบซีอยู่หรือไม่ สำหรับพิจารณาความจำเป็นที่จะต้องฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบซีต่อไป
การแปลผลการตรวจ
- ภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบซี (anti-HCV) เป็นภูมิที่บอกว่ามีหรือเคยมีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ถ้าให้ผลบวก แสดงว่าเคยมีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีมาก่อนโดยที่ขณะนี้อาจมีหรือไม่มีไวรัสอยู่ในเลือดก็ได้
- การนับปริมาณไวรัสโดยวิธี Polymerase Chain Reaction (PCR) ถ้าให้ผลบวกแสดงว่ากำลังมีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี
แพ็กเกจอื่นเกี่ยวกับตรวจตับ ตรวจการทำงานของตับ ตรวจไวรัสตับอักเสบบี ราคา เท่าไรบ้าง? เช็กราคาพร้อมโปรโมชั่นได้ที่นี่
วิธีชำระและใช้งาน
วิธีซื้อแพ็กเกจของ Glove Clinic ผ่าน HDmall
วิธีการจ่ายเงินและการใช้คูปอง
- กดชำระเงินออนไลน์
- รับคูปองทางอีเมลภายใน 24 ชั่วโมง
- โทรนัดหรือเลื่อนนัดกับคลินิกได้โดยตรงตามข้อมูลในคูปอง
- ยื่นคูปองที่คลินิกเพื่อรับบริการ
เงื่อนไขการใช้คูปอง
- คุณสามารถเลื่อนนัดได้ด้วยตัวเอง ตามเบอร์โทรศัพท์หรือไลน์ที่ระบุไว้ในคูปอง ก่อนวันนัดอย่างน้อย 1-3 วันทำการ แต่ต้องรับบริการก่อนคูปองหมดอายุ (คูปองมีอายุ 60 วัน)
- สามารถซื้อแพ็กเกจให้คนอื่นได้ เพียงแจ้งชื่อผู้จะรับบริการให้แอดมินทราบ เพื่อจะได้ระบุบนคูปอง
- อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของสถานที่ให้บริการ สามารถจ่ายที่คลินิกได้โดยตรง
- สำหรับแพ็กเกจแบบคอร์ส ต้องรับบริการครั้งแรกก่อนคูปองหมดอายุ ส่วนครั้งต่อๆ ไปขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของคลินิก
เงื่อนไขการให้บริการ และราคาของ Glove Clinic อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามแผนการส่งเสริมการขาย ท่านสามารถตรวจสอบเงื่อนไขการให้บริการ และราคาล่าสุดได้จากแอดมิน HDmall.co.th