รู้จัก “หมอวิก” ทันตแพทย์ผู้ร่วมก่อตั้ง SmileBox Dental Clinic


ทำความรู้จักทันตแพทย์วิกรม ปาเตีย หรือหมอวิก Top Tiktok Dentist ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 400,000 คน ผ่านบทสัมภาษณ์จาก HDcare

โดยปัจจุบันหมอวิกเป็นเจ้าของคลินิก SmileBox Dental Clinic ที่มีอยู่ 2 สาขา คือ สาขา Riverside ใกล้กับห้างสรรพสินค้าดิไอคอนสยาม และอีกสาขาคือ สาขาทองหล่อ อยู่ใจกลางสุขุม

เลือกอ่านบทความจากหมอวิก

ที่มาของการเป็น Top Tiktok Dentist

ในช่วงที่เกิดการระบาดของโควิด-19 หมอวิกและน้องชายก็เริ่มสร้างวิดีโอคอนเทนต์เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพช่องปากไว้ใน TikTok

โดยคอนเทนต์ที่ทำก็จะมีทั้งคอนเทนต์ที่มีสาระ ให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลช่องปากง่ายๆ การทำทันตกรรมต่างๆ หรือบริการที่คลินิกเรามี

คอนเทนต์อีกรูปแบบคือคอนเทนต์แนวตลกๆ เช่น คลิปเล่าความในใจของหมอ ให้คนดูเขาเห็นว่าเรากำลังคิดอะไร และอีกมุมมองหนึ่งที่หมอชอบทำก็คือ คลิปแสดงมุมมองของคนไข้ เวลาเข้ามาคลินิกทำฟันคนไข้รู้สึกยังไง ชอบมีความคิดแบบไหนเวลามาหาหมอฟัน ก็จะทำทั้งแบบที่สนุกและแบบมีสาระเลย

จากจุดเริ่มต้นตรงนั้น หมอก็หลงรักการสร้างสื่อคลิปวิดีโอ และก็มียอดผู้ติดตามเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้คลินิกของเราเป็นที่รู้จักในโซเชียลมีเดียและช่องทางออนไลน์ต่างๆ

เรื่องอะไรที่คนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับการทำฟัน

เรื่องแรกเลย เวลาที่มาหาหมอฟัน ทุกคนก็มักจะกลัวเจ็บ วิธีแนะนำของหมอก็คือ หมอจะอธิบายให้เข้าใจล่วงหน้าก่อนว่า ในการเข้ามารับบริการวันนี้ ความรู้สึกหรือสิ่งที่เขาจะได้เจอมีอะไรบ้าง จะเจ็บมั้ย เสียวฟันมั้ย

การที่หมอบอกคนไข้แบบนี้ ก็เพื่อให้เขาได้เตรียมตัวหรือเตรียมความรู้สึกล่วงหน้าก่อนว่าจะได้เจอกับอะไร มันจะทำให้คนไข้รู้สึกสบายใจมากขึ้น และยังรู้สึกเจ็บน้อยลงด้วย เพราะได้เตรียมตัวและรู้ล่วงหน้ามาก่อนแล้ว

เรื่องที่สองคือ การต้องกลับมาหาหมอฟันบ่อยๆ หลายคนมักมองว่าการมาหาหมอฟันต้องมาหาหลายๆ ครั้ง รักษาหนึ่งทีก็มาหาหมอ 5-6 ครั้งเลย

ซึ่งหมออยากอธิบายว่า ถ้าเราเข้ามาตรวจสุขภาพฟันอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง เราก็ไม่ต้องกลับมารักษาฟันบ่อยๆ และกินระยะเวลานานๆ เลย

ควรหมั่นเข้ามาตรวจฟัน ขูดหินปูน เช็กฟันผุ ถ้ามีฟันผุก็รีบรักษาแล้วก็กลับบ้านได้ ทำทุกอย่างเป็นวงจรแบบนี้ทุกๆ 6 เดือน เราก็ไม่จำเป็นต้องมารักษาฟันบ่อยๆ อีก

แต่ถ้าทิ้งระยะเวลาไว้นานๆ 1 ปีหรือ 2-3 ปีไม่มาตรวจสุขภาพฟันเลย แล้วเรากลับมาหาหมอฟันอีกที เราก็อาจจะต้องอุดฟันหลายซี่ มีการถอนฟัน หรือต้องรักษารากฟัน ซึ่งก็จะต้องกลับมาหาหมอฟันหลายครั้งอีก และทำให้เรารู้สึกว่าเวลาจะมาหาหมอฟันทีต้องมาหลายครั้งจัง และครั้งละนานๆ ด้วย

เรื่องที่สามคือ มาหาหมอฟันทีไรต้องจ่ายแพงทุกที หลายคนเลยไม่กล้ามาหาหมอฟันกัน เพราะเราไม่รู้ว่าต้องจ่ายเงินไปเท่าไหร่

สิ่งที่คลินิกของหมอจะอธิบายให้ผู้เข้ารับบริการฟังก่อนเสมอก็คือ Treatment Plan เป็นการบอกว่าวันนี้จะรักษาอะไรบ้าง มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่

คนไข้จะรู้ตั้งแต่วันที่เข้ามาหาหมอไปจนถึงวันที่การรักษาเสร็จสิ้นว่าจะมีค่ารักษาเท่าไหร่บ้าง ใช้เวลารักษานานเท่าไหร่ พอเขาเตรียมตัวในส่วนการเงินพร้อมแล้ว ในขั้นตอนการรักษาก็จะสบายใจขึ้น

สรุปก็คือ ถ้ามาดูแลสุขภาพฟันกับหมอทุกๆ 6 เดือน ค่าใช้จ่ายในการทำฟันก็จะน้อยลง แต่ถ้าเว้นเวลาไว้นานๆ ไม่มาหาหมอเลยหลายปี ปัญหาฟันที่ตรวจพบก็จะเยอะขึ้น และค่าใช้จ่ายก็แพงขึ้นตามไปด้วย

หมอเลยอยากให้ทุกคนเปลี่ยนทัศนคติว่า ถ้ามาหาหมอฟันอย่างสม่ำเสมอ ทั้งปัญหาด้านความเจ็บ ด้านความถี่ในการมาหาหมอ และเรื่องราคาที่ต้องจ่ายทั้ง 3 อย่างนี้จะน้อยลงและประสบการณ์ทำฟันกับหมอก็จะดีขึ้น ทำให้เข้ามาทำฟันได้อย่างมีความสุขขึ้น

ซึ่งโดยส่วนมากคนไข้ที่หมอต้องคุยหรืออธิบายเยอะหน่อย จะเป็นคนที่เคยมีประสบการณ์ไม่ดีในการไปหาหมอฟันมาก่อน เช่น เคยฉีดยาชาแล้วเจ็บ เคยถอนฟันแล้วปวดมากๆ หรือเคยรักษารากฟันแล้วมีอาการระบม

หมอมองว่าบางครั้งมันไม่ใช่ประสบการณ์ที่ไม่ดีสักทีเดียว แต่มันเกิดจากคนไข้ได้รับข้อมูลก่อนการรักษาไม่ครบถ้วนทำให้เขาไม่รู้ว่าจะมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นตามมา

ซึ่งการรักษาที่ SmileBox Dental Clinic สิ่งหนึ่งที่เราแตกต่างไปจากคลินิกอื่นเลยคือ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาอะไร เราจะแจ้งรายละเอียดทั้งหมดให้ผู้เข้ารับบริการทราบล่วงหน้าอย่างละเอียดว่าจะต้องเจอประสบการณ์หรือความรู้สึกอะไรบ้าง

เช่น กลับไปบ้านวันนี้จะมีเสียวฟันบ้างนะ มีปวดฟันหน่อยนะ อาจจะมีเลือดออกจากเหงือกได้นะ ซึ่งพอคนไข้เขาได้รู้ล่วงหน้าก่อน มันก็จะไม่ไปก่อให้เกิดความคิดว่า เขามีประสบการณ์ไม่ดีจากการทำฟันมา

และหากคนไข้เผชิญประสบการณ์พวกนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าการรักษาล้มเหลวหรือหมอฟันไม่เก่ง แต่มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตามปกติจากการรักษา เพียงแต่เราก็ต้องแจ้งให้คนไข้ทราบล่วงหน้าก่อน เพื่อป้องกันความรู้สึกในเชิงลบที่อาจจะตามมา

และอีกสิ่งที่ผมสังเกตได้ในยุคนี้คือ เพราะตอนนี้เราทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลออนไลน์ เว็บไซต์ต่างๆ เกี่ยวกับการทำฟันได้หมดแล้ว

ทำให้ตอนนี้ทุกคนที่เข้ามาหาหมอที่คลินิก ล้วนแต่เป็นคนที่อยากดูแลฟันจากภายในเองแทบทุกคนเลย คือเขาเลือกที่จะอยากเข้ามาดูแลสุขภาพฟันกับหมอเอง อยากมีฟันสวยขึ้น หรืออยากแก้ปัญหาจากตัวเขาเอง ไม่ใช่จากคำอธิบายหรือคำแนะนำจากหมอ ซึ่งมันก็ให้กระบวนการรักษาสมูธและสบายใจมากขึ้น

หัตถการที่คนส่วนใหญ่มาหาหมอวิกมีอะไรบ้าง?

มีทุกรูปแบบเลย เพราะ SmileBox Dental Clinic เปิดให้บริการแบบครบวงจร ก็จะมีตั้งแต่การดูแลฟันเบื้องต้น การตรวจสุขภาพฟัน การจัดฟันใส จัดฟัน Invisalign การรักษาเพื่อความสวยงามของฟัน การฟอกสีฟัน การทำวีเนียร์

และอีกบริการที่คนเข้ามาทำกันเยอะๆ ก็คือ การทำรากฟันเทียม ซึ่งนอกจากกลุ่มผู้เข้ารับบริการวัยผู้ใหญ่แล้ว คนอีกกลุ่มที่เข้ามากันเยอะเหมือนกันก็คือ กลุ่มเด็กๆ ครับ

ถ้าอยากมีรอยยิ้มที่สวย คุณหมอแนะนำให้ทำอะไร?

ถ้าอยากมีรอยยิ้มที่สวย สิ่งแรกที่หมอจะบอกทุกคนเสมอก่อนเริ่มทำฟันเลยก็คือ ให้มีความมั่นใจจากภายในก่อน

พอเรามั่นใจจากภายในแล้ว ไม่ว่าจะยิ้มท่าไหนหรือมุมไหนก็จะมีรอยยิ้มที่สวยดูดีไปเอง แต่ถ้าเรารู้สึกว่าตัวฟันมีปัญหาอย่างฟันซ้อนเก คุยกับเพื่อนหรือในกลุ่มคนหมู่มากแล้วดูภาพลักษณ์ไม่ดี เราก็ค่อยมาเริ่มวางแผนการรักษากัน เช่น ถ้าฟันเรียงไม่สวย ฟันซ้อนเก ฟันห่าง เราก็จัดฟันกันก่อน

แต่ถ้าอยากให้รอยยิ้มของเราดูสดใสมาก คนมองแล้วมีความสุขหรือยิ้มตามไปด้วย อีกตัวเลือกที่หมอมักจะแนะนำก็คือ การทำวีเนียร์ครับ เพราะเราสามารถเปลี่ยนได้ทั้งสีฟันและทรงฟันเลย บุคลิกของเราก็จะเปลี่ยนไปด้วย ทำให้ภาพรวมของใบหน้าเราดูดีขึ้นอีกด้วยครับ

รอยยิ้มแบบไหนคือรอยยิ้มที่สวยสำหรับคุณหมอ

สำหรับหมอ รอยยิ้มที่สวยที่สุด คือ รอยยิ้มที่มาจากภายใน แต่ในขั้นตอนการทำวีเนียร์ เขาก็มีนิยามของรอยยิ้มที่มีเสน่ห์อยู่ หรือที่เรียกว่า “Charming Smile” ที่หมออยากเรียกว่ารอยยิ้มที่มีเสน่ห์มากกว่า ก็เพราะว่า “ความสวย” ของรอยยิ้มในแต่ละคนมันมีมุมมองที่ไม่เหมือนกัน

การทำ Smile Design

ซึ่งในการออกแบบ Charming Smile ก่อนที่เราจะไปเจาะลึกตรงส่วนของฟันหรือรอยยิ้ม หมอก็จะดูภาพรวมใหญ่ก่อนว่าบุคลิกของคุณเป็นยังไง เป็นคนคุยเก่งหรือชอบอยู่เงียบๆ ต้องทำงานที่ถ่ายรูปหรือถ่ายวิดีโอหรือเปล่า

จากนั้นค่อยมาดูภาพรวมใบหน้าของคุณต่อว่าโครงหน้าของคุณเป็นยังไง หมอจะดูทั้งความสมมาตร สีผิว แนวของลูกตาเรา 2 ข้างด้วย คางเรามีเบี่ยงซ้ายหรือขวามั้ย เพราะทั้งหมดนี้มีผลต่อการออกแบบรอยยิ้มเราหมดเลย

ส่วนการออกแบบฟัน จะต้องมองเห็นสีทั้งหมด 3 สีครับ คือ สีขาวจากฟัน สีแดงจากเหงือก และสีดำจากช่องระหว่างแถวฟันกับกระพุ้งแก้มด้านใน ถ้าเรายิ้มแล้วมองเห็นทั้ง 3 สีนี้อย่างครบถ้วน ก็จัดว่าเป็นรอยยิ้มที่มีชัยไปกว่าครึ่ง

นอกจากนี้ก็ยังมีรายละเอียดส่วนอื่นๆ ที่ส่งผลต่อ Charming Smile อีกครับ นั่นก็คือ การออกแบบความยาวของฟัน โดยจะเทียบจากสัดส่วนของใบหน้าด้วย รวมถึงความกว้างของฟันซึ่งหมอก็จะดูจากความสูงของฟันอีกที

ดังนั้นรอยยิ้มที่สวยและมีเสน่ห์มันมีองค์ประกอบที่เยอะมากครับ เพราะเหตุนี้เราจึงมีบริการ Smile Design ขึ้นมา เพื่อจะได้ออกแบบรอยยิ้มให้ทุกคนแบบละเอียดและตรงใจได้

การทำงานในช่องปากเล็กๆ หมอฟันต้องระวังอะไรเป็นพิเศษบ้าง?

ในการทำงานกับพื้นที่เล็กๆ อย่างช่องปากของเรา หมอจะให้ความสำคัญอยู่ 2 ส่วนหลักๆ นะครับ อย่างแรกคือ ความสะอาด อุปกรณ์ทุกอย่างที่ใส่เข้าไปต้องเป็นเครื่องมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อมาแล้วทั้งหมดจึงจะนำมาใช้ได้

อย่างที่สองคือ ความละเอียดในการทำฟัน ถ้าหมอฟันมือหนักก็อาจทำให้สูญเสียเนื้อฟันได้เยอะ ดังนั้นหมอจึงต้องทำงานอย่างละเอียด เบามือ และไม่เร่งรีบด้วยครับ โดยเฉพาะการทำวีเนียร์ซึ่งเป็นการทำทันตกรรมที่ใช้เวลานานและต้องใจเย็นมากๆ

เทคนิคการทำงานภายใต้ความกดดันในพื้นที่ช่องปากเล็กๆ

ในมุมของหมอ หมอจะมีการใช้ลูปหรือแว่นขยายเข้ามาช่วยครับ พอเราเห็นอะไรที่เล็กๆ ในขนาดที่ใหญ่ขึ้น เราก็สามารถทำงานได้ละเอียดและสบายใจขึ้น

ในทุกเคสของหมอไม่ว่าจะเป็นการทำฟันแบบไหน ในบางครั้งแค่อุดฟันหรือขูดหินปูนง่ายๆ หมอก็จะมีการใช้ลูปอยู่เสมอครับ เพราะจะได้เห็นภาพฟันได้ละเอียดและครบที่สุด

ส่วนเทคนิคที่สองก็คือการ Planning เตรียมตัวล่วงหน้าให้รู้ว่าวันนี้เรากำลังจะทำอะไร ซึ่งมันก็จะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายในระหว่างการทำงานได้เหมือนกัน

และอีกมุมหนึ่งที่หมอมองว่าสำคัญก็คือ มุมของคนไข้ครับ ถ้าเราทำให้คนไข้ผ่อนคลาย รีแลกซ์ งานเราก็จะราบรื่นได้ดีขึ้นด้วย

มันก็จะมีองค์ประกอบเล็กๆ ในการเตรียมตัวกับคนไข้ก่อนเริ่มทำฟัน เช่น การอธิบายกับคนไข้ก่อนว่าวันนี้เราจะทำอะไร ใช้เวลานานแค่ไหน บอกคนไข้ในทุกขั้นตอนที่จะเกิดขึ้นเลย วันนี้จะมีการวางยาชานะ มีเจ็บนิดหน่อยนะ มีทำตรงนี้นะ ถ้ามีอะไรก็ยกมือซ้ายบอกหมอได้เลยนะครับ

และอีกเทคนิคที่หมอชอบทำมาก็คือ หมอจะชอบถามคนไข้ว่าชอบฟังเพลงแนวไหน ให้คนไข้รีเควสได้เลย บางคนก็จะชอบแบบเคป๊อบ บางคนชอบแจ๊สก็มี บางชอบคนชอบแบบ Christmas Carol ก็มีนะครับ หมอก็จะเปิดให้คนไข้ฟังและทำให้เขารู้สึกสบายใจผ่อนคลายขึ้นไปด้วย

เวลาทำฟัน ถ้าไม่พูดคำว่า “อ้าปากกว้างๆ” จะมีคำไหนแทนกันได้บ้าง?

คือถ้าหมอไม่พูดคำนี้ หมอก็ใช้นิ้วขยายกดให้คนไข้อ้าปากกว้างขึ้นหน่อย แต่แน่นอนครับ เพื่อความสุภาพและทำให้คนไข้รู้สึกว่าเราไม่ได้ไปบังคับเขา หมอก็จะบอกว่า “รบกวนอ้าปากกว้างๆ นิดนึงนะครับ”​ หรือบางถ้าไม่ใช้คำว่าอ้าปาก ก็จะใช้แค่คำว่า “นิดนึงนะครับ” คนไข้ก็จะรู้สึกตัวว่าเขาอาจจะเผลอหลับไปหรือเผลอกัดฟันอยู่ จะได้ช่วยอ้าปากให้กว้างๆ ขึ้นครับ

5 ประโยคที่หมอฟันพูดบ่อยๆ

ถ้าประโยคแรกที่หมอพูดบ่อยๆ เป็นประจำเลยก็คือ “ขออนุญาตปรับเก้าอี้ลงนะครับ” อันนี้พูดประจำกับทุกเคส ทุกคนอาจจะเข้าใจว่ามันเป็นประโยคสั้นๆ แค่นี้ไม่ต้องพูดก็ได้ แต่หลักการทำฟันของหมอและของทางคลินิกคือเราต้องแจ้งคนไข้ในทุกขั้นตอนจริงๆ

บางครั้งถ้าคนไข้นอนอยู่แล้วเราปรับเก้าอี้โดยไม่บอก คนไข้ก็อาจจะตกใจได้ หรืองงว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นแม้แต่เรื่องเล็กน้อยอย่างการปรับเก้าอี้ หมอก็ต้องบอกให้ทุกคนทราบครับ

ส่วนประโยคที่สองก็คือ “อ้าปากนิดนึงนะครับ” อันนี้ก็ใช้กับทุกคนด้วยเหมือนกัน ส่วนประโยคที่สามคือ “ถ้ามีอะไรให้ยกมือซ้ายบอกได้เลย” อันนี้ใช้กับทุกคนเลย ให้ทุกคนสบายใจว่าถ้ามีอะไรก็บอกได้เลยนะ บางครั้งเรานอนทำฟันอยู่ พูดไม่ได้ แต่ถ้ารู้สึกไม่สบายใจ อึดอัด หรือต้องการพักเบรก ก็ให้ยกมือซ้ายบอกได้เลย

ซึ่งหมอมีเหตุผลนะครับว่าทำไมต้องมือซ้าย เพราะถ้าคนไข้ยกมือขวาก็จะไปชนกับมือหมอ และอาจจะเกิดอุบัติเหตุที่เราไม่คาดคิดและทำให้มีอาการบาดเจ็บตามมาได้

และประโยคที่สี่ก็คือ “บ้วนน้ำได้เลยครับ” อันนี้หมอก็พูดกับทุกคนเหมือนกัน ในเวลาเดียวกันก็จะมีการปรับเก้าอี้ขึ้นอัตโนมัติด้วย

และประโยคสุดท้ายก็คือ “ขออนุญาตถ่ายรูปนิดนึงนะครับ” เพราะหมอจะมีการถ่ายรูปฟัน ผลงานในการทำฟัน หรือภาพก่อนทำฟันกับหลังทำฟันเก็บไว้ทุกเคสเลย

ถ้าคนไข้อ้าปากเองไม่ไหว มีอุปกรณ์ช่วยมั้ย?

ในกรณีที่คนไข้อ้าปากกว้างไม่ได้ หรืออ้าไม่ได้นานๆ หรืออ้าอยู่แล้วมักจะรู้สึกเมื่อย คลินิกเรามีเครื่องมือช่วยชื่อว่า “Mouth Prop” จะเป็นก้อนยางสี่เหลี่ยมชิ้นหนึ่งที่หมอจะใส่ให้คนไข้กัดไว้ ซึ่งก็จะทำให้อ้าปากค้างไว้ได้ระหว่างที่กัดยางชิ้นนี้ ช่วยให้คนไข้ไม่เมื่อย และหมอก็จะทำงานได้สะดวกขึ้น

Mouth Prop อุปกรณ์ช่วยอ้าปาก

ผู้ช่วยทันตแพทย์มีหน้าที่อะไร?

หมอจะให้ความสำคัญกับผู้ช่วยหมอฟันมากครับ จริงๆ ผู้ช่วยหมอฟันจัดเป็นคนสำคัญที่ทำให้ประสบการณ์ของคนไข้ระหว่างอยู่ในห้องทำฟันผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเลย

หลักๆ หน้าที่ของผู้ช่วยหมอฟันก็คือ จัดเตรียมห้องให้เรียบร้อย ทุกคนจะมีการศึกษาตารางงานวันนี้ก่อนว่ามีคนไข้กี่คน แต่ละคนมารักษาอะไร แล้วก็จะเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม มีการทำความสะอาดเตียง ทำความสะอาดอุปกรณ์ต่างๆ ก่อนคนไข้เข้ามา

หน้าที่ของผู้ช่วยทันตแพทย์

ซึ่งพอคนไข้เข้ามาแล้ว ผู้ช่วยก็จะยืนอยู่ข้างเตียงข้างๆ คอยดูดน้ำลาย คอยเตรียมอุปกรณ์​ ผสมวัสดุต่างๆ ยื่นเครื่องมือให้คุณหมอใช้ พอดูแลคนไข้เสร็จก็เก็บเครื่องมือทั้งหมด เอาเครื่องมือไปส่งที่ห้องฆ่าเชื้อ แล้วก่อนคนไข้คนถัดมาจะมาถึง ผู้ช่วยก็จะมีการเตรียมตัวแบบเดียวกันอีกครั้ง เพื่อเตรียมต้อนรับคนไข้ที่กำลังจะเข้ามา

การดูดน้ำลายหรือ Suction สำคัญยังไงในการทำฟัน?

ปกติเวลาคนเราทำฟัน ช่องปากก็จะมีการหลั่งน้ำลายออกมาตลอด บางคนหลั่งเยอะ บางคนหลั่งน้อย การ Suction จะช่วยดูดน้ำลายที่คนไข้หลั่งออกมา เพื่อป้องกันไม่ให้คนไข้หายใจไม่ออก

และประเด็นที่สอง ก็เพื่อดูดน้ำที่พ่นออกมาจากเครื่องมือบางอย่าง เช่น เครื่องกรอฟันเวลาขูดหินปูนหรืออุดฟัน หลายคนจะสังเกตว่าเครื่องนี้มันมีหัวกรอที่มีเสียงดังและจะพ่นน้ำออกมา

ซึ่งสาเหตุที่เครื่องนี้มันพ่นน้ำออกมา ก็เพื่อไม่ให้เครื่องกรอมันร้อนจนฮีทเกินไปครับ และการ Suction ก็จะช่วยดูดน้ำในส่วนนี้ออกไปจนหมดเพื่อให้คนไข้ยังหายใจได้ด้วย

คุณหมอมีวิธีอธิบายคนยังไงไม่ให้กลัวหมอฟัน?

การจะเปลี่ยนทัศนคติให้จากที่ไม่ชอบหมอฟันหรือมีประสบการณ์ไม่ดีเกี่ยวกับการทำฟันมาก่อน หมอว่ามันเป็นเรื่องของรายละเอียดเล็กๆ ที่จะค่อยๆ ประกอบกันกลายเป็นจิ๊กซอว์ทำให้เขาไม่กลัวหมอฟันได้

เริ่มตั้งแต่คนไข้ได้รับข้อมูลก่อนการรักษาเลย ว่าคนที่คุยกับคนไข้คุยด้วยดีมั้ย ใช้ภาษาดีมั้ย ให้ข้อมูลครบถ้วนหรือเปล่า

เรื่องที่สองคือ เมื่อมาถึงคลินิกแล้ว คลินิกสะอาดมั้ย สิ่งแวดล้อมดูดีมั้ย รองรับคนไข้ได้มากน้อยแค่ไหน เจ้าหน้าที่มีการให้ข้อมูลเป็นยังไง แม้กระทั่งการเซ็นเอกสารยินยอมก่อนการรักษาก็สำคัญ ทุกอย่างมันมีผลต่อประสบการณ์ของคนไข้ทั้งหมด

แต่สมมติว่าคนไข้เข้ามาแล้วยังรู้สึกกลัว ส่วนตัวหมอก็จะมีเทคนิคที่ทำกับคนไข้ทุกคนเหมือนกัน สิ่งแรกคือ เมื่อคนไข้เข้ามาในห้องทำฟัน หมอจะยังไม่ได้ให้นั่งเก้าอี้ตรวจฟันแล้วเอนนอนเลย แต่หมอจะถามก่อนว่าคนไข้มีความกังวลอะไร

สมมติว่าเขาอยากมาจัดฟัน หมอก็จะถามว่าทำไมถึงอยากจัดฟัน เคยจัดมาก่อนมั้ย แล้วจัดครั้งนี้คาดหวังอะไรจากการจัดฟันบ้าง อยากให้ฟันเรียงตรงแบบไหน เพื่อให้คนไข้รู้สึกสบายใจก่อน

และพอมีการบ้วนน้ำขึ้นไปนอนบนเตียงพร้อมตรวจฟันแล้ว หมอก็จะมีการทำสมอลทอล์คกับคนไข้ต่อ ว่าเอ๊ะทำงานที่ไหน ทำงานอะไรอยู่ ทำเกี่ยวกับอะไรบ้าง ให้หมอกับคนไข้รีเลทกันอยู่เสมอ มีการสร้างรีเลชั่นชิปที่ทำให้คนไข้สบายใจขึ้นครับ

อุปกรณ์ที่หมอวิกขาดไม่ได้เลย

สำหรับอุปกรณ์ชิ้นแรกที่หมอขาดไม่ได้เลยก็คือ ลูป เป็นแว่นขยายที่หมอก็มีหลายอันเหมือนกัน อย่างอันนี้จะขยายได้ 2.5 X แต่อีกตัวขยายได้ 4 X แล้วแต่เนื้องานที่ทำ จัดเป็นของที่ขาดไม่ได้เลย เพราะมันทำให้หมอมองฟันได้ละเอียดมากขึ้น

ลูป แว่นขยายสำหรับหมอฟัน

และอีกชิ้นหนึ่งก็คือ กล้อง หมอจะใช้กล้องทำงานด้วยอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นงานจัดฟันหรืองานทำวีเนียร์ คนไข้ทุกคนที่เข้ามาหาหมอจะรู้เลยครับว่าต้องมีการถ่ายรูปด้วยทุกครั้ง

ถ่ายรูปประเมินก่อนทำวีเนียร์ ที่ SmileBox Dental Clinic

หมออยากจะมอบประสบการณ์ที่ดีในการทำฟันให้กับทุกคนเลยนะครับ ตาม Concept ของทาง SmileBox Dental Clinic เลยคืออยากให้ทุกคนหันมารักการดูแลสุขภาพช่องปากของคุณ และทำให้คุณกลัวหมอฟันน้อยลง ผมหมอวิกยินดีที่จะดูแลทุกคน

ใครที่มีปัญหาเกี่ยวกับช่องปาก อยากทำวีเนียร์ อยากจัดฟัน สามารถทักเข้ามาผ่านทางไลน์ @HDcare ได้เลย เค้าจะทําหน้าที่เป็นเหมือนผู้ช่วยส่วนตัวในการให้คําปรึกษาปัญหาตั้งแต่ต้นจนจบ

@‌hdcoth line chat