รู้จักไวรัสตับอักเสบชนิดต่างๆ ทั้ง เอ บี ซี ดี และอี


รู้จักไวรัสตับอักเสบชนิดต่างๆ ทั้ง เอ บี ซี ดี และอี

ไวรัสตับอักเสบเป็นโรคที่พบได้บ่อยในประเทศไทย โดยไวรัสทั้งหมดมีลักษณะการติดต่อที่แตกต่างกันไปตามชนิดของไวรัส ซึ่งแบ่งเป็นประเภทที่พบได้ดังนี้

  1. ไวรัสตับอักเสบเอ [พบได้บ่อย]
  2. ไวรัสตับอักเสบบี [พบได้บ่อย]
  3. ไวรัสตับอักเสบซี
  4. ไวรัสตับอักเสบดี
  5. ไวรัสตับอักเสบอี

ชนิดของโรคไวรัสตับอักเสบ

โรคไวรัสตับอักเสบสามารถแบ่งอาการออกเป็น 2 ชนิดด้วยกันได้แก่ ตับอักเสบเฉียบพลัน และ ไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง

1. โรคตับอักเสบเฉียบพลัน

เป็นโรคตับอักเสบที่เป็นไม่นานก็สามารถหายเองได้ โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักมีอาการเพียง 2 - 3 สัปดาห์และไม่เกิน 2 เดือน ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักหายขาดแต่ก็มีบางส่วนที่เป็นตับอักเสบเรื้อรัง และบางรายก็รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต

โดยผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อต่างๆ ปวดข้อ มีอาการเวียนหัวเคลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร ในบางรายอาจจะพบผื่นขึ้นตามตัว มีอาการท้องเสีย มีปัสสาวะสีเข้ม ตัวเหลือ ตาเหลือง ในบางรายอาการตัวเหลืองนี้จะหายไปในระยะเวลา 1 - 2 สัปดาห์ แต่บางรายก็อาจจะนาน 2 - 3 เดือน แต่ส่วนใหญ่มักจะหายเป็นปรกติ

ผู้ที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี มีเพียงร้อยละ 5 - 10 ที่มีโอกาสเป็นตับอักเสบเรื้อรัง ส่วนผู้ที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบซี มีโอกาสเป็นตับอักเสบเรื้อรัง ถึงร้อยละ 85

2. โรคไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง

ไวรัสตับอักเสบเรื้อรังเป็นโรคตับอักเสบที่มีอาการ นานเกินกว่า 6 เดือน โดยแบ่งได้อีกเป็น 2 ชนิดได้แก่

  • Chronic Persistent : เป็นอาการอักเสบแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่รุนแรงแต่อาจจะเกิดอาการอักเสบมากขึ้นมาได้
  • Chronic Active Hepatitis : เป็นอาการอักเสบที่เกิดจากตับถูกทำลายไปมาก และเกิดอาการตับแข็ง

ในผู้ที่เป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง ผู้ป่วยมักไม่มีอาการเกิดขึ้น แต่เชื้อไวรัสก็จะทำลายตับไปเรื่อยๆ จนเกิดอาการตับแข็ง และท้ายสุดก็จะกลายเป็นมะเร็งตับ

สาเหตุของการเกิดโรคตับอักเสบ

  • เกิดการการรับเชื้อไวรัสตับอักเสบ ที่มีหลายชนิดได้แก่ ชนิดเอ, บี, ซี, ดี, อี 
  • ดื่มเครื่องดื่มภาชนะร่วมกันกับผู้ป่วย/ผู้ที่เป็นพาหะ
  • ยาบางชนิดก็ก่อให้เกิดโรคตับได้ เช่น ยารักษาวัณโรค halothane, isoniazid, methyldopa, phenytoin, valproic acid, sulfonamide drugs. หากผู้ป่วยได้ acetaminophen หรือพาราเซ็ตตามอลในปริมาณสูงมากเกินก็สามารถทำให้ตับถูกทำลายได้
  • เกิดจากเชื้อโรคในบางชนิด เช่น ไทฟอยด์,มาลาเรีย 

จะทราบได้อย่างไรว่ากำลังเป็นโรคตับอักเสบ

  • ตรวจการทำงานของตับโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้วยการหาระดับของ SGOT[AST],SGPT [ALT] โดยค่าปกติจะน้อยกว่า 40 IU/L ถ้าหากมีค่ามากกว่า 1.5-2 เท่าให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่าตับอักเสบ และหากพบว่าผิดปกติแพทย์จะขอตรวจเดือนละครั้งติดต่อกันอย่างน้อย 3 เดือนเพื่อยืนยันการเป็นโรค 
  • ตรวจหาเชื้อด้วยวิธีการต่างๆ 
  • ตรวจดูโครงสร้างของตับ 
  • ตรวจชิ้นเนื้อของตับ โดยแพทย์จะนำชิ้นเนื้อตับไปตรวจเพื่อวินิจฉัยความรุนแรงของโรค

แพ็กเกจฉีดวัคซันไวรัสตับอักเสบ


ที่มาของข้อมูล

ขยาย

ปิด

@‌hdcoth line chat