warfarin

Warfarin (วาร์ฟาริน)

ยา วาร์ฟาริน (warfarin) ใช้สำหรับรักษาภาวะลิ่มเลือดอุดตัน ต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น ลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำลึก หรือ ลิ่มเลือดอุดตันที่ปอด และ/หรือ ใช้เพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือดใหม่ในร่างกาย การป้องกันการเกิดลิ่มเลือดที่เป็นอันตรายต่อร่างกายจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง และกล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือด โดยสภาวะที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดในร่างกาย เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะชนิด atrial fibrillation, การเปลี่ยนลิ้นหัวใจ (heart valve replacement) และการผ่าตัดบางชนิด เช่น การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า/ข้อสะโพกเทียม

สรรพคุณของยา Warfarin

Warfarin เป็นยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยาจะช่วยให้การไหลเวียนเลือดในร่างกายดีขึ้น โดยยาจะไปลดปริมาณสารบางชนิดเลือด ลดปัญหาลิ่มเลือดอุดตัน

  • ป้องกันและรักษาโรคหลอดเลือดดำอุดตัน: ใช้ป้องกันการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำส่วนลึก (Deep Vein Thrombosis – DVT) และการเกิดลิ่มเลือดในปอด (Pulmonary Embolism – PE)
  • ป้องกันการเกิดลิ่มเลือดในโรคหัวใจ: ใช้ป้องกันการเกิดลิ่มเลือดในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะประเภท Atrial Fibrillation (AF) และป้องกันการเกิดลิ่มเลือดในผู้ป่วยที่มีลิ้นหัวใจเทียมหรือผู้ที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ
  • ป้องกันการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดสมอง: ใช้ป้องกันการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยที่มีภาวะ Atrial Fibrillation หรือภาวะเสี่ยงอื่น ๆ

กลไกการทำงานของ Warfarin

Warfarin ยับยั้งการทำงานของวิตามินเคในร่างกาย ซึ่งวิตามินเคมีบทบาทสำคัญในการสังเคราะห์โปรตีนที่จำเป็นต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น โปรตีนโครวมมิน (Prothrombin) และปัจจัยการแข็งตัวของเลือดอื่น ๆ (Factors II, VII, IX, X) การยับยั้งการทำงานของวิตามินเคทำให้การสร้างโปรตีนเหล่านี้ลดลง ส่งผลให้การแข็งตัวของเลือดลดลง

วิธีใช้ยา warfarin

  • อ่านคำแนะนำในการใช้ยาที่ได้รับจากเภสัชกรก่อนใช้ยานี้ และในทุกครั้งที่มารับยาซ้ำ หากมีคำถามใดๆ ให้สอบถามจากแพทย์หรือเภสัชกร
  • รับประทานยานี้ตามแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์สั่ง โดยสามารถรับประทานก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ โดยทั่วไปจะรับประทานวันละ 1 ครั้ง สิ่งที่สำคัญมากคือต้องรับประทานยานี้ตามสั่งอย่างเคร่งครัด ห้ามเพิ่มขนาดยา ห้ามรับประทานยามากกว่าที่สั่ง หรือหยุดยาเองโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์
  • ขนาดยาที่คุณได้รับจะขึ้นกับสภาวะโรค, ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ (เช่น ค่า INR) และการตอบสนองต่อการรักษาของคุณ โดยแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์จะติดตามคุณอย่างใกล้ชิดระหว่างใช้ยานี้เพื่อกำหนดขนาดยาที่เหมาะสมสำหรับคุณ
  • รับประทานยานี้เป็นประจำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ประโยชน์จากยามากที่สุด เพื่อไม่ให้ลืมรับประทานยา แนะนำให้รับประทานในเวลาเดียวกันของทุกวัน
  • สิ่งสำคัญในการรับประทานอาหารคือ ให้รับประทานอาหารที่สมดุล และมีปริมาณเท่าๆ เดิมระหว่างใช้ยา warfarin เพราะอาหารบางชนิดอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา warfarin และอาจส่งผลต่อการรักษาและขนาดยาที่ได้รับ โดยให้หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีวิตามินเคสูงในปริมาณมากอย่างทันทีทันใดหรือลดปริมาณการรับประทานลงอย่างทันทีทันใด เช่น บรอกโคลี, ดอกกะหล่ำ, กะหล่ำปลี, ผักขม, ผักคะน้า และผักใบเขียวอื่นๆ, ตับ, ชาเขียว, ผลิตภัณฑ์วิตามินเสริมบางชนิด หากคุณกำลังลดน้ำหนัก ขอให้ปรึกษาแพทย์ก่อนการปรับปริมาณอาหารที่รับประทาน
  • เนื่องจากยา warfarin สามารถดูดซึมผ่านผิวหนังและปอดได้ และอาจทำให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ ดังนั้นหญิงตั้งครรภ์หรืออาจตั้งครรภ์ไม่ควรหยิบจับยานี้หรือหายใจเอาฝุ่นผงของเม็ดยาเข้าไป

ผลข้างเคียงของยา warfarin

  • อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยา warfarin เช่น คลื่นไส้, เบื่ออาหาร หรือปวดท้อง ถ้าอาการเหล่านี้ไม่ดีขึ้นหรือมีอาการแย่ลง ให้แจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทันที
  • โปรดจำไว้ว่า การที่แพทย์สั่งยานี้ให้กับคุณ เพราะว่าแพทย์ได้ประเมินแล้วว่าคุณจะได้รับประโยชน์จากยานี้มากกว่าความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียง ผู้ป่วยหลายรายที่ใช้ยานี้ไม่เกิดอาการข้างเคียงร้ายแรงจากยา
  • ยา warfarin อาจเป็นสาเหตุของการเกิดเลือดออกอย่างรุนแรงได้ ถ้ายาส่งผลต่อ blood clotting proteins ที่มากเกินไป (ตรวจพบค่า INR สูงผิดปกติ) และแม้ว่าแพทย์จะให้คุณหยุดยาแล้ว ความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกจะยังมีต่อไปอีกนานเป็นสัปดาห์ โดยให้แจ้งแพทย์ทันทีถ้ามีอาการของภาวะเลือดออกอย่างร้ายแรง ได้แก่ ปวด บวม ไม่สบายตัวอย่างผิดปกติ, ฟกช้ำได้ง่าย ฟกช้ำผิดปกติ, มีเลือดออกหยุดยาก เช่นเลือดออกที่แผลหรือที่เหงือก, เลือดกำเดาไหลบ่อยครั้ง หรือไหลนาน, ประจำเดือนมามากผิดปกติ, ปัสสาวะมีสีชมพูหรือมีสีเข้ม, ไอเป็นเลือด, อาเจียนเป็นเลือดหรือเหมือนกากกาแฟ, ปวดศีรษะรุนแรง, เวียนศีรษะ หน้ามืด, อ่อนเพลีย อ่อนเพลียผิดปกติ, อุจจาระมีสีดำ, อุจจาระมีเลือด, เจ็บหน้าอก, หายใจถี่, กลืนลำบาก
  • แจ้งแพทย์ทันทีหากคุณมีอาการข้างเคียงที่พบได้น้อยแต่ร้ายแรง ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียนแล้วไม่ดีขึ้น, ปวดท้องอย่างรุนแรง, ตัวเหลือง ตาเหลือง
  • ผลข้างเคียงที่พบได้น้อยแต่ร้ายแรงมาก (อาจถึงแก่ชีวิต) คือ ยาทำให้เกิดลิ่มเลือดขนาดเล็กๆ (มักเป็นในช่วงแรกของการใช้ยา) ทำให้ผิวหนัง/เนื้อเยื่อได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ซึ่งอาจจำเป็นต้องผ่าตัดหรือตัดแขนขาหากปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้รับการรักษา ผู้ป่วยโรคเลือดที่ขาดโปรตีน C หรือโปรตีน S (protein C or S deficiency) อาจมีความเสี่ยงสูงกว่าปกติ ดังนั้นต้องรีบไปพบแพทย์ทันทีถ้ามีอาการข้างเคียงที่พบได้น้อยแต่ร้ายแรงดังต่อไปนี้เกิดขึ้น: พบปื้นสีแดง/ม่วง/มีอาการปวด ที่บริเวณผิวหนัง เช่น ที่นิ้วเท้า, เต้านม, หน้าท้อง, มีสัญญาณของการเกิดปัญหาที่ไต เช่น ปริมาณปัสสาวะเปลี่ยนแปลงไป, การมองเห็นเปลี่ยนแปลงไป, สับสน, พูดไม่ชัด, อ่อนแรงข้างใดข้างหนึ่งของร่างกาย
  • ปฏิกิริยาการแพ้ยานี้ เป็นเรื่องที่พบได้น้อย อย่างไรก็ตามถ้าเกิดอาการใดๆ ของการแพ้ยาให้รีบไปพบแพทย์ทันที ได้แก่ ผื่น, คัน บวม (โดยเฉพาะที่หน้า ลิ้น คอ), เวียนศีรษะรุนแรง, หายใจลำบาก
  • อาการข้างเคียงที่กล่าวไว้ข้างต้นไม่ใช่อาการข้างเคียงทั้งหมดที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้นถ้าคุณมีอาการผิดปกติใดๆ ที่ไม่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ให้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร

ข้อควรระวังในการใช้ยา warfarin

  • ถ้าคุณแพ้ยา warfarin หรือแพ้สิ่งอื่นๆ ให้แจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทราบก่อนได้รับยานี้ ผลิตภัณฑ์ยานี้อาจประกอบด้วยสารไม่ออกฤทธิ์อื่นซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการแพ้หรือปัญหาอื่นได้ ให้ปรึกษาเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
  • สิ่งสำคัญ คือ คุณต้องแจ้งแพทย์และทันตแพทย์เสมอว่าคุณกำลังใช้ยา warfarin อยู่ ดังนั้นก่อนเข้ารับการผ่าตัด ทำฟัน หรือการรักษาทางการแพทย์ใดๆ ให้แจ้งแพทย์หรือทันตแพทย์ทราบว่าคุณกำลังใช้ยา warfarin อยู่ รวมถึงแจ้งรายการยา อาหารเสริม และสมุนไพรอื่นที่กำลังใช้อยู่ด้วย
  • ให้หลีกเลี่ยงการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อระหว่างใช้ยา warfarin แต่ถ้าจำเป็นต้องฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ เช่น ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ควรฉีดที่บริเวณแขน เพราะง่ายต่อการสังเกตภาวะเลือดออก และ/หรือ สามารถใช้ผ้าพันเพื่อห้ามเลือดได้
  • ยา warfarin อาจทำให้เกิดเลือดออกในกระเพาะอาหารได้ การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกในกระเพาะอาหารและอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยาได้ จึงต้องจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ โปรดสอบถามจากแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับปริมาณแอลกอฮอล์ที่คุณอาจดื่มได้อย่างปลอดภัย
  • ถ้าคุณไม่ได้รับประทานอาหารที่ดี, กำลังเจ็บป่วยหรือมีการติดเชื้อที่ทำให้มีไข้, อาเจียน หรือท้องเสีย นานมากกว่า 2 วัน หรือกำลังเริ่มใช้ยาปฏิชีวนะ (ยาฆ่าเชื้อ) โปรดแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทันที เพราะสภาวะดังกล่าวจะส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา warfarin ได้
  • ยา warfarin เป็นสาเหตุของการเกิดเลือดออกอย่างมากได้ เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดบาดแผล ฟกช้ำ หรือการบาดเจ็บ ต้องระมัดระวังการใช้สิ่งของมีคมต่างๆ เช่น มีดโกน กรรไกรตัดเล็บ แนะนำให้ใช้เครื่องโกนหนวดไฟฟ้าขณะโกนหนวด และใช้แปรงสีฟันขนนุ่มขณะแปรงฟัน หลีกเลี่ยงการเล่นกีฬาที่มีการกระทบกระทั่ง หากคุณหกล้มหรือได้รับบาดเจ็บ โดยเฉพาะที่ศีรษะ ให้รีบไปพบแพทย์ ซึ่งแพทย์อาจจำเป็นต้องตรวจเช็คอาการให้กับคุณ
  • โดยปกติแล้วยา warfarin ที่ผลิตในประเทศสามารถเปลี่ยนยี่ห้อในการใช้ได้ อย่างไรก็ตามต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการเปลี่ยนยี่ห้อยา warfarin และอย่าใช้ยาผลิตภัณฑ์ยาที่มีส่วนประกอบของยา warfarin มากกว่า 1 ผลิตภัณฑ์ ยกเว้นได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งสามารถติดตามการรักษาด้วยยา warfarin ให้กับคุณได้
  • ผู้สูงอายุอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกขณะใช้ยานี้มากขึ้น
  • ไม่แนะนำให้ใช้ยา warfarin ขณะกำลังตั้งครรภ์ เพราะจะทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อทารกในครรภ์ได้ (อาจทำให้ทารกเสียชีวิต) ดังนั้นให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์คุมกำเนิดระหว่างใช้ยา warfarin จนกระทั่งหยุดใช้ยา warfarin ไปแล้ว 1 เดือน ถ้ามีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น หรือคิดว่าอาจจะตั้งครรภ์ ให้รีบแจ้งแพทย์ทันที หากคุณกำลังวางแผนตั้งครรภ์ โปรดปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับแผนในการจัดการกับโรคที่เป็นก่อนการตั้งครรภ์ เนื่องจากแพทย์อาจต้องเปลี่ยนยาให้คุณใช้ระหว่างตั้งครรภ์
  • เนื่องจากยา warfarin สามารถดูดซึมผ่านผิวหนังและปอดได้ และอาจทำให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ ดังนั้นหญิงตั้งครรภ์หรืออาจตั้งครรภ์ไม่ควรหยิบจับยานี้หรือหายใจเอาฝุ่นผงของเม็ดยาเข้าไป
  • ยา warfarin อาจผ่านไปยังน้ำนมแม่ในปริมาณน้อยมาก ซึ่งไม่น่าจะเป็นอันตรายต่อทารกที่ดูดนมแม่ แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการให้นมบุตร

ก่อนการใช้ยา warfarin ให้แจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทราบเกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์ของคุณ โดยเฉพาะถ้าคุณเป็น

  • โรคเลือด เช่น โลหิตจาง, โรคเลือดออกง่ายฮีโมฟีเลีย (hemophilia)
  • มีเลือดออกในร่างกาย เช่น เลือดออกที่กระเพาะอาหาร ลำไส้, เลือดออกที่สมอง
  • โรคเกี่ยวกับหลอดเลือด เช่น เส้นเลือดแดงโป่งพอง (aneurysms)
  • เพิ่งได้รับการผ่าตัดใหญ่ หรือเกิดอุบัติเหตุใหญ่
  • เป็นโรคไต
  • เป็นโรคตับ
  • ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • เป็นโรคที่มีความผิดปกติทางอารมณ์ สภาพจิตใจ รวมถึงปัญหาด้านความจำ
  • หกล้มบ่อย ได้รับบาดเจ็บบ่อย

คำเตือนในการใช้ยา warfarin

ยา warfarin เป็นสาเหตุของการเกิดเลือดออกอย่างรุนแรงได้ (อาจทำให้เสียชีวิต) ซึ่งมีโอกาสพบได้บ่อยขณะเริ่มใช้ยา warfarin หรือเมื่อคุณรับประทานยา warfarin มากเกินไป

เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออก แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์จะติดตามอาการของคุณอย่างใกล้ชิดและให้คุณเจาะเลือดตรวจค่า INR เพื่อให้แน่ใจว่าคุณไม่ได้รับยา warfarin มากเกินไป ดังนั้นคุณต้องไปโรงพยาบาลและเจาะเลือดตามนัดหมาย แจ้งแพทย์ทันทีถ้ามีอาการของการเกิดเลือดออกที่ร้ายแรง (อ่านเพิ่มเติมได้ในหัวข้อผลข้างเคียงของยา)

ใครบ้างที่ไม่ควรใช้ยา warfarin

ผู้ป่วยที่มีสภาวะดังต่อไปนี้ ถือเป็นข้อห้ามในการใช้ยา warfarin หากคุณมีสภาวะดังรายละเอียดด้านล่าง ให้แจ้งแพทย์ทราบก่อนได้รับยา

  • ได้รับการเจาะน้ำไขสันหลัง/การเจาะหลัง (spinal tap)
  • ได้รับการผ่าตัดที่ระบบประสาท
  • เป็นโรคมะเร็งหรือเนื้องอกชนิดร้าย
  • ภาวะเม็ดเลือดแดงข้น (polycythemia vera)
  • ได้รับการผ่าตัดที่ตา
  • ขาดสารอาหาร
  • ได้รับปริมาณวิตามินเค ไม่เพียงพอ
  • เป็นโลหิตจาง
  • มีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกมากขึ้น เช่น เกิดจากโรคที่มีปัญหาในการแข็งตัวของเลือด หรือสาเหตุอื่นๆ
  • ปริมาณเกล็ดเลือดลดลงจากการใช้ยา heparin
  • ผู้ป่วยที่ใส่สายสวน (catheter) ในหลอดเลือด
  • ความดันโลหิตสูงอย่างรุนแรงที่ไม่สามารถควบคุมได้
  • มีการติดเชื้อแบคทีเรียที่ลิ้นหัวใจ
  • มีการอักเสบของเยื่อหุ้มหัวใจ (Pericardium)
  • มีของเหลวคั่งในเยื่อหุ้มหัวใจ
  • มีเลือดออกในสมอง
  • เส้นเลือดแดงในสมองบวมคล้ายบอลลูน
  • เส้นเลือดแดงใหญ่ที่หัวใจ  (aorta) โป่งนูน หรือฉีกขาด
  • มีการอุดตันของหลอดเลือดที่เกิดจากก้อนเลือด
  • มีภาวะเลือดออก
  • มีแผลที่กระเพาะอาหารหรือลำไส้
  • เป็นโรคตับรุนแรง
  • มีการอุดตันของท่อน้ำดี
  • มีเลือดออกที่กระเพาะอาหารหรือลำไส้
  • เป็นโรคไตที่มีการทำงานของไตลดลง
  • มีเลือดออกในระบบสืบพันธุ์
  • เพิ่งได้รับการผ่าตัด
  • มีไข้
  • มีเลือดออกในทางเดินหายใจ
  • ท้องเสียอย่างรุนแรง
  • ผลตรวจการทำงานของตับผิดปกติ
  • ได้รับอุบัติเหตุใหญ่
  • กำลังตั้งครรภ์
  • ได้รับการฉีดยาชาเฉพาะที่เข้าทางไขสันหลัง
  • มีแผลเน่าเรื้อรัง (gangrene)
  • เป็นโรคขาดโปรตีน C (Protein C Deficiency Disease)
  • มีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกที่สัมพันธ์กับยีน vitamin K epoxide reductase (warfarin-sensitive) gene
  • เป็นผู้ที่มีการทำงานของเอนไซม์ CYP2C9 ต่ำกว่าปกติ
  • ภาวะที่มีแคลเซียมเกาะหลอดเลือดจนเกิดอุดตันส่งผลให้มีการตายของเนื้อเยื่อและผิวหนังบริเวณนั้น (calciphylaxis)
  • แพ้ยา warfarin

การใช้ยา warfarin ร่วมกับยาอื่น

การเกิดปฏิกิริยาระหว่างยา (drug interactions) อาจเปลี่ยนแปลงการออกฤทธิ์ของยาหรือเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงร้ายแรง ข้อมูลที่ระบุนี้ไม่ได้ครอบคลุมการเกิดปฏิกิริยาระหว่างยาที่อาจเกิดขึ้นได้ทั้งหมด ดังนั้นคุณต้องแจ้งแพทย์และเภสัชกรทราบทุกครั้งว่าคุณกำลังรับประทานยา อาหารเสริม สมุนไพร ใดอยู่ในขณะนี้ อย่าเริ่มยา หยุดยา หรือเปลี่ยนแปลงขนาดยาต่างๆ เอง โดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์

ยา warfarin เป็นยาที่เกิดปฏิกิริยากับยา, วิตามิน และสมุนไพร หลายชนิด รวมถึงยาที่ใช้ทาที่ผิวหนัง หรือสอดเข้าทางช่องคลอดหรือทวารหนักด้วย  ปฏิกิริยาระหว่างยา warfarin ที่เกิดขึ้นมักส่งผลเพิ่มฤทธิ์หรือลดฤทธิ์การต้านการแข็งตัวของเลือด ซึ่งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ควรติดตามอาการของคุณอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันภาวะเลือดออกอย่างรุนแรงหรือปัญหาในการแข็งตัวของเลือด ระหว่างใช้ยา warfarin สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรเสมอ เมื่อมีการเปลี่ยนยา เปลี่ยนวิตามิน หรือเปลี่ยนผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรที่ใช้อยู่

ผลิตภัณฑ์ยาบางชนิดที่อาจเกิดปฏิกิริยากับยา warfarin

  • Capecitabine
  • Imatinib
  • Mifepristone

ยา aspirin หรือยาที่คล้ายกับยา aspirin (salicylates) และยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ibuprofen, naproxen, celecoxib อาจมีผลต่อร่างกายคล้ายกับยา warfarin ซึ่งยาเหล่านี้อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกถ้าใช้ร่วมกับยา warfarin ดังนั้นต้องอ่านฉลากยาทุกชนิดอย่างละเอียด เนื่องจากผลิตภัณฑ์ยาบางชนิดอาจประกอบด้วยยาในกลุ่มต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) หรือ salicylates โดยให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการใช้ยาอื่นเพื่อรักษาอาการปวดและอาการไข้ เช่น ยา paracetamol

ในกรณีที่ได้รับยา aspirin ขนาดต่ำ (low-dose aspirin) และยาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น clopidogrel, ticlopidine คุณยังควรใช้ยานี้ต่อถ้าแพทย์เป็นผู้สั่งให้ใช้สำหรับป้องกันโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือด (heart attack prevention) หรือเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง (stroke prevention) โดยให้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

สมุนไพรหลายชนิดเกิดปฏิกิริยากับยา warfarin ได้ จึงต้องแจ้งแพทย์ก่อนการรับประทานผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร โดยเฉพาะ บรอเมเลน (bromelains), โคเอนไซม์คิวเท็น (coenzyme Q10), ตังกุย (dong quai), ลูกซัด (fenugreek), กระเทียม, แปะก๊วย (ginkgo biloba), โสม และ St. John’s wort

ยา warfarin อาจรบกวนผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ใช้วัดระดับ theophylline ทำให้ผลออกมาไม่ถูกต้อง จึงต้องแจ้งแพทย์และเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการทราบว่าคุณกำลังใช้ยา warfarin อยู่

ระหว่างใช้ยา warfarin ต้องรักษาระดับของการรับประทานอาหารที่มีวิตามินเคสูงในปริมาณเท่าๆ เดิม ไม่รับประทานมากกว่าปกติหรือน้อยกว่าปกติจากที่เคยทำ

การได้รับยา warfarin เกินขนาด

  • หากมีใครก็ตามที่ได้รับยา warfarin เกินขนาด จนทำให้เกิดอาการที่ร้ายแรง เช่น หมดสติ หรือหายใจลำบาก ให้รีบเรียกรถพยาบาลทันที โทร 1669
  • อาการของการได้รับยาเกินขนาดอาจได้แก่ อุจจาระมีเลือด อุจจาระดำ ปัสสาวะมีสีชมพู ปัสสาวะมีสีเข้ม เลือดออกผิดปกติ หรือเลือดออกหยุดยาก

หากลืมรับประทานยา warfarin

เพื่อให้ได้ผลจากการรักษาเต็มที่ อย่าลืมรับประทานยา แต่ถ้าคุณลืมรับประทานยานี้และนึกได้ในวันเดียวกัน ให้รับประทานทันทีที่นึกได้ แต่ถ้าลืมแล้วนึกได้ในวันถัดไป ให้ข้ามมื้อที่ลืมไป และรับประทานมื้อถัดไปตามปกติ อย่าเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่า เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกได้ และให้จดรายละเอียดของมื้อที่ลืมรับประทานยาและนำไปให้แพทย์หรือเภสัชกรดูด้วย ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรถ้าคุณลืมรับประทานยาตั้งแต่ 2 ครั้งติดต่อกันขึ้นไป

การเก็บรักษายา warfarin

  • เก็บรักษายาที่อุณหภูมิห้อง ห่างจากแสงแดดและความชื้น ไม่เก็บยาในห้องอาบน้ำ เก็บยาทุกชนิดให้ห่างจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
  • ไม่เทยานี้ทิ้งในห้องน้ำหรือในท่อระบายน้ำ ให้ทิ้งผลิตภัณฑ์ยานี้อย่างเหมาะสมเมื่อยาหมดอายุหรือเมื่อไม่จำเป็นต้องใช้ยานี้อีก

หมายเหตุ

  • ห้ามแบ่งยานี้ให้ผู้อื่นใช้
  • ต้องมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการ และ/หรือ การตรวจทางการแพทย์ เช่น ตรวจค่า INR, ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด เป็นระยะ เพื่อติดตามอาการหรือผลข้างเคียง ปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
Scroll to Top