อาการระคายเคือง เจ็บแสบตา หรือน้ำตาไหล เป็นอีกอาการแสดงของหลายๆ โรคที่เกิดขึ้นได้บ่อย ซึ่งสร้างความรำคาญ รวมถึงส่งผลกระทบต่อการมองเห็นของใครหลายคน
อาการที่เกิดขึ้นนี้ยังมีหลายคนอาจยังไม่ทราบแน่ชัดว่า หากตนเองมีอาการเจ็บแสบ ระคายเคืองตา มีอาการน้ำตาไหลผิดปกตินั้นมีสาเหตุมาจากอะไร แล้วมีปัจจัยอะไรที่ทำให้เกิดอาการเหล่านี้บ้าง
สารบัญ
อาการเจ็บแสบตา (Eye Pain)
อาการเจ็บแสบตาไม่ใช่อาการร้ายแรงที่จะต้องไปพบแพทย์ทันที ยกเว้นแต่จะรู้สึกเจ็บจนทนไม่ไหว ส่วนประกอบของดวงตาที่ทำให้เกิดอาการเจ็บแสบตาได้ ได้แก่ กระจกตา ตาขาว เยื่อบุตา ม่านตา พื้นที่รอบลูกตา กล้ามเนื้อลูกตา ระบบประสาทตา ผิวเปลือกตา
อาการเจ็บแสบตาจะแบ่งออกได้ 2 บริเวณ ได้แก่
- อาการเจ็บแสบบริเวณผิวเปลือกตา มักจะเป็นอาการคัน แสบผิว รู้สึกเหมือนผิวไหม้ ซึ่งอาจมาจากการติดเชื้อ หรืออาจเป็นแผลจากอุบัติเหตุ การรักษาค่อนข้างง่าย อาจเป็นการใช้ยาหยอดตา พักสายตา หรือใช้ยาแต้มแผลจากที่แพทย์แนะนำ
- อาการเจ็บแสบข้างในดวงตา มักเป็นอาการเจ็บระบมร้าว เหมือนถูกของแหลมแทงเข้าไปในลูกตา เป็นอาการที่มักเกิดจากลูกตา หรือระบบการมองเห็นผิดปกติอย่างรุนแรง และควรไปพบแพทย์โดยด่วน
สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเจ็บแสบตา
- เศษสิ่งแปลกปลอม อาจเป็นเศษขี้ผง เศษสิ่งสกปรก ขี้ตา หรือเครื่องสำอางที่บังเอิญปลิวเข้าไปในดวงตาจนทำให้เกิดอาการเจ็บแสบ
- การใส่คอนแทคเลนส์สกปรก หรือใส่ข้ามคืน โดยไม่ถอดออกอาจทำให้เกิดอาการระคายเคือง จนเกิดการติดเชื้อ และทำให้เจ็บตาได้
- โรคต้อหิน (Glaucoma) โรคต้อหินเป็นโรคที่เกิดจากความดันในลูกตาเพิ่มขึ้นสูงจนผิดปกติ ทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน การมองเห็นแย่ลง เจ็บแสบตา และหากไม่รีบรักษา ก็เสี่ยงตาบอดได้
- ภาวะม่านตาอักเสบ (Uveitis) เป็นภาวะอักเสบของเนื้อเยื่อในลูกตารวมถึงม่านตาจนทำให้เกิดอาการตาแดง เจ็บแสบตา และการมองเห็นแย่ลง
- อาการโพรงจมูกอักเสบ (Sinusitis) เป็นหนึ่งในอาการของภาวะไซนัสอักเสบ ซึ่งทำให้เกิดความดันด้านหลังลูกตามากขึ้นจนทำให้เกิดอาการเจ็บลูกตาด้านใดด้านหนึ่ง หรือทั้งสองด้าน
- โรคตากุ้งยิง (Hordeolum) อาการสำคัญของโรคนี้จะมีตุ่มแดงนูนขึ้นบริเวณเปลือกตา ซึ่งตุ่มแดงนี้เองที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการเจ็บที่เปลือกตา ไวต่อการสัมผัสมากขึ้น แม้จะแค่แตะนิ้วเบาๆ ก็รู้สึกได้แล้ว
- กระจกตาถลอก (Corneal abrasion) กระจกตาจะอยู่ด้านหน้าสุดของเปลือกตา หากมีอาการกระจกตาถลอก จะรู้สึกเหมือนมีบางอย่างอยู่ในลูกตารู้สึกเจ็บ และไม่สบายลูกตา
อาการกระจกตาถลอกต้องรักษาโดยจักษุแพทย์เท่านั้น การถอดคอนแทคแลนส์ออก หรือล้างตาด้วยน้ำสะอาดไม่สามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บได้
วิธีรักษาอาการเจ็บแสบตา
อาการเจ็บแสบตามักรักษาไปตามสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ เช่น การพักสายตา การใส่แว่นตากันแดดชั่วคราว การใช้ยาหยอดตาสำหรับฆ่าเชื้อ การล้างตาด้วยน้ำสะอาด การประคบร้อน การรับประทานยา เช่น ยาแก้แพ้ การผ่าตัด
สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการระคายเคืองตา (Itchy eyes)
อาการระคายเคืองคันตามักมาพร้อมกับอาการตาแดง รวมถึงน้ำตาไหลด้วย โดยมักมีสาเหตุต่อไปนี้
- โรคภูมิแพ้ สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการนี้อาจมาจากอากาศเปลี่ยนแปลง การสัมผัสเกสรดอกไม้ ขนสัตว์ หรือฝุ่นละออง การใช้สบู่ล้างหน้า เครื่องสำอางที่ทำให้เกิดอาการแพ้
นอกจากการระคายเคืองภายในตา อาการผื่นขึ้นจากภูมิแพ้ยังทำให้เกิดอาการระคายเคืองบริเวณผิวรอบดวงตา และเปลือกตาได้ไม่ต่างจากผิวหนังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย - ภาวะตาแห้ง เมื่อดวงตาขาดน้ำตามาหล่อเลี้ยง ก็จะเกิดอาการระคายเคืองได้ อาการมักเกิดในผู้สูงอายุ ผู้ที่อยู่ในพื้นที่อากาศหนาวจัด ผู้ใช้ยาแก้แพ้ ยาคุมกำเนิด ผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือโรคแพ้ภูมิตนเอง
นอกจากอาการตาแห้งจะสร้างความระคายเคืองแล้ว ยังสามารถทำให้ดวงตาไวต่อแสงผิดปกติ เกิดอาการตาแดง และตาอักเสบได้อีกด้วย - ต่อมไขมันเปลือกตาทำงานผิดปกติ (Meibomian Gland Dysfunction: MGD) ภาวะนี้จะส่งผลทำให้ความสมดุลของระดับน้ำตา และสารไขมันที่เคลือบผิวนอกกระจกตาทำงานผิดปกติ ทำให้น้ำตาระเหยง่าย ไขมันเคลือบผิวกระจกตาเกิดความข้นจนเป็นคราบเกาะเปลือกตา ส่งผลทำให้เกิดอาการระคายเคือง
- กล้ามเนื้อตาล้า (Eyestrain) ผู้ที่จ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรืออ่านหนังสือเป็นเวลานาน ในช่วงกลางคืน ช่วงกลางวันที่แดดออกจัดโดยไม่ได้พักสายตา สามารถส่งผลให้กล้ามเนื้อตาล้า และระคายเคืองได้
- การใช้คอนแทคเลนส์ ผู้ที่ไม่ยอมเปลี่ยนคอนแทคเลนส์ในเวลาที่กำหนดสามารถทำให้ตาอักเสบ เกิดความระคายเคืองจนติดเชื้อ และเป็นตาแดงได้
- การติดเชื้อ โดยเฉพาะการติดเชื้อแบคทีเรียหลายชนิดซึ่งนำไปสู่อาการระเคืองตาในภายหลัง เช่น เชื้อไนซ์ซีเรีย โกโนร์เรีย (Neisseria Gonorrheae) เชื้อสเตรปโตคอคคัส นิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) เชื้อแฮโมฟิลุส อินฟลูเอนเซ (Haemophilus influenzae)
การรักษาอาการระคายเคืองตา
สามารถบรรเทาอาการระคายเคืองตาได้ โดยปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้
- หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้สารก่อภูมิแพ้ทุกชนิด เพื่อไม่ให้เกิดอาการระคายเคืองตาจากโรคภูมิแพ้
- ประคบร้อน หากกล้ามเนื้อตาล้า
- อยู่ในที่อุณหภูมิอบอุ่น และอากาศถ่ายเท
- ใช้น้ำตาเทียมระหว่างวัน โดยให้ปรึกษาเภสัชกรก่อนเลือกซื้อ
- รับประทานยาต้านเชื้อแบคทีเรีย หรือยาเพิ่มปริมาณน้ำตาที่สั่งจ่ายจากแพทย์เท่านั้น
- สวมแว่นตาแทนการใส่คอนแทคเลนส์ เพราะการใส่คอนแทคเลนส์มีโอกาสทำให้ตาแห้งได้มากกว่า
- ถอดตัวกรองฝุ่นละอองในเครื่องปรับอากาศออกมาล้าง เพื่อให้อากาศรอบตัวสะอาดขึ้น ลดสิ่งสกปรกที่สามารถสร้างความระคายเคืองตาได้
สาเหตุที่ทำให้น้ำตาไหล
นอกจากภาวะอารมณ์ที่ทำให้น้ำตาไหลได้ ไม่ว่าจะเป็นการหัวเราะ ร้องไห้ หรือหาว ก็มีปัจจัยเกี่ยวกับสุขภาพอื่นๆ ที่สามารถทำให้น้ำตาไหลได้
- ภาวะตาแห้ง เป็นสาเหตุที่มักทำให้น้ำตาไหลได้มากที่สุด เนื่องจากก่อนหน้านั้น ดวงตาไม่ได้รับน้ำหล่อเลี้ยงมากพอ จึงทำให้ร่างกายผลิตน้ำตาออกมาในปริมาณมากกว่าปกติ
- ภาวะเปลือกตาบนม้วนออก (Ectropion) และภาวะเปลือกตาม้วนเข้า (Entropion) เป็นภาวะที่แผ่นเปลือกตาแบะเปิดออก หรือม้วนเข้าด้านใน ส่งให้เยื่อบุตาแห้ง หนา ระคายเคือง และส่งผลให้น้ำตาไหลออกมามาก
- ขนตาคุด (Trichiasis) เป็นภาวะที่ขนตาคุดเข้าไปด้านในจนทิ่มกระจกตา และเยื่อบุตา ทำให้เกิดความระคายเคืองจนน้ำตาไหล
- อาการอักเสบ หรือหรือการติดเชื้อเกี่ยวกับดวงตา เช่น เปลือกตาอักเสบ (Blepharitis) โรคตาแดง (Conjunctivitis) ภาวะกระจกตาอักเสบ (Keratitis) โรคตากุ้งยิง (Hordeolum)
- โรคภูมิแพ้ นอกจากอาการเจ็บแสบตา และระคายเคืองตาแล้ว ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้หลายรายจะมีอาการน้ำตาไหลขณะสัมผัสสารก่อภูมิแพ้
- อากาศเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอากาศแห้ง หนาว ร้อน หรือมีแดดจัด
- ดวงตาเกิดบาดแผล หรือมีเศษฝุ่น ของแข็งปลิวเข้าดวงตาทำให้กระจกตา หรือเปลือกตาได้รับบาดเจ็บ
- การรักษาโรคมะเร็ง เช่น การทำเคมีบำบัด การใช้รังสีรักษา
- สารเคมี หรือฝุ่นควัน เช่น ควันรถ แสงแดดจ้า นอกจากนี้การหั่นผักบางชนิด เช่น หัวหอมซึ่งมีกลิ่นฉุน ก็สามารถทำให้น้ำตาไหลได้
การรักษาอาการน้ำตาไหล
หลายสาเหตุของอาการน้ำตาไหลไม่จำเป็นต้องรักษาเป็นพิเศษ แค่ซับน้ำตาออกก็พอ แต่หากสาเหตุของการเกิดน้ำตาไหลมาจากภาวะ หรือความผิดปกติของสุขภาพ ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง
วิธีรักษาอาการน้ำตาไหลส่วนมาก มีดังต่อไปนี้
- พักสายตา งดการเพ่งหน้าจอ งดการอ่านหนังสือชั่วคราว เพื่อให้สายตาได้พัก
- ประคบร้อน หรือใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นเพื่อซับ หรือประคบดวงตา เพื่อทำความสะอาดรอบดวงตาให้สะอาด และลดการอุดตันของต่อมไขมันภายในดวงตา
- ใช้ยาหยอดยา
- อยู่ให้ห่างสารก่อภูมิแพ้ที่ทำให้เกิดอาการแพ้จนน้ำตาไหล
- หากดวงตามีภาวะติดเชื้อ รับประทานยาฆ่าเชื้อตามแพทย์สั่ง
- การผ่าตัด ในกรณีที่มีภาวะผิดปกติเกี่ยวกับเปลือกตา หรือท่อน้ำตาอุดตัน
หากมีอาการผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นกับดวงตา แล้วลองปฐมพยาบาลด้วยตนเอง หรือทำความสะอาดดวงตาแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย เพราะอาการดังกล่าวอาจเป็นสัญญาณของภาวะ หรือโรคเกี่ยวกับตาที่อาจรุนแรงซึ่งคุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน
ตรวจสอบความถูกต้องโดย นพ. วรพันธ์ พุทธศักดา