ถุงใต้ตา สาเหตุ และการรักษา scaled

ถุงใต้ตา สาเหตุ และการรักษา

สาเหตุของการเกิดถุงใต้ตา

ปัญหาถุงใต้ตามักพบใน 2 ลักษณะคือ ถุงใต้ตาเทียม และถุงใต้ตาแท้

1. ถุงใต้ตาเทียม

ลักษณะเป็นเนื้อเยื่อใต้ตาบวมขึ้นมาเหมือนถุง สาเหตุเกิดจากพฤติกรรมต่างๆ เช่น พักผ่อนน้อย มีความเครียดสูง ใช้สายตามาก ร้องไห้ คันตาจนต้องขยี้ตาแรงบ่อยๆ เช็ดทำความสะอาดเครื่องสำอางรอบตาแรงเกินไป รวมถึงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ และสูบบุหรี่จัด

ถุงใต้ตาเทียมสามารถยุบหายได้หากดูแลรักษาสุขภาพร่างกาย พักผ่อนให้เพียงพอ และด้วยวิธีดังต่อไปนี้

  • ใช้ความเย็นประคบ
  • ลดการดื่มน้ำปริมาณมากเกินไปก่อนเข้านอน ลดการกินเค็ม ลดเกลือ โดยเฉพาะผงชูรส เพราะจะทำให้ร่างกายเก็บกักน้ำไว้มาก
  • งดสูบบุหรี่ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • พยายามนอนให้หัวสูงกว่าปกติเล็กน้อย
  • รักษาอาการภูมิแพ้ขึ้นตาอย่างต่อเนื่อ

2. ถุงใต้ตาแท้

ในเบ้าตาของเรามีไขมันมาตั้งแต่เกิด เมื่อเราอายุมากขึ้นไขมันก็จะใหญ่ขึ้น แต่เอ็นยึดใต้เปลือกตาล่างกลับอ่อนแอลง ทำให้ไขมันที่อยู่ในบริเวณเปลือกตายื่นนูนออกมา เกิดเป็นถุง บางรายมีร่องโค้งใต้ตาเห็นได้ชัดเมื่อมีไขมันหย่อนนูนออกมา

การรักษาด้วยการดูแลตนเองด้วยวิธีต่างๆ ที่บ้าน มักไม่สามารถช่วยให้อาการลดลงได้ การรักษาที่พอช่วยได้ในรายที่ถุงใต้ตายังเป็นไม่มาก ได้แก่

  • การทำทรีตเมนต์ผิวหนังใต้ตา โดยใช้ laser Erbium:YAG resurfacing ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวหนังกระชับแน่นและเรียบขึ้น
  • Chemical peels ช่วยลดริ้วรอย
  • การฉีด fillers ช่วยเติมเต็มร่องใต้ตา

การรักษาเหล่านี้สามารถช่วยลดการบวมห้อยของถุงใต้ตาได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น การรักษาถุงใต้ตาแท้ส่วนใหญ่ต้องผ่าตัดเพื่อนำไขมันและผิวหนังส่วนเกินออกจึงจะเห็นผลชัดเจน

วิธีการผ่าตัดตกแต่งหนังตา

การผ่าตัดตกแต่งหนังตา หรือที่เรียกว่า Blepharoplasty เป็นทางเลือกสำหรับผู้มีปัญหาเปลือกตาบนหรือล่าง หรือทั้งสองอย่าง

ปัญหาเปลือกตาบนอาจเกิดจากมีหนังตาชั้นเดียว หรือชั้นตาไม่เท่ากัน หรือหนังตาบนหย่อนคล้อยลงมา ซึ่งเป็นปัญหาเรื่องความสวยงาม หากหนังตาหย่อนลงมามากจนบังการมองเห็นจึงถือเป็นข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ที่ต้องทำการรักษา

ปัญหาเปลือกตาล่าง ได้แก่ การมีหนังตาหย่อนมาก หรือมีถุงใต้ตา ส่วนใหญ่ปัญหาถุงใต้ตาเป็นปัญหาเรื่องความสวยงามเท่านั้น นอกจากในผู้สูงอายุบางรายที่ถุงใต้ตาขนาดใหญ่มากจริงๆ อาจจะมีปัญหากับการสวมแว่นสายตาเพราะขอบเลนส์ด้านล่างไปกดบริเวณนั้นพอดี

การปรึกษาแพทย์ก่อนทำผ่าตัด

การผ่าตัดหนังตา โดยเฉพาะการผ่าตัดถุงใต้ตาหรือเปลือกตาล่าง เป็นการผ่าตัดที่มีความซับซ้อน และเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนบ่อยกว่าการทำเปลือกตาบน

ควรปรึกษาจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้านศัลยกรรมจักษุตกแต่งเสริมสร้าง หรือศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้านศัลยกรรมตกแต่งบริเวณดวงตา เพราะการประเมินคนไข้ว่าจะทำผ่าตัดด้วยวิธีใด ต้องอาศัยการฝึกฝนและประสบการณ์

ในระหว่างการปรึกษาต้องแจ้งให้แพทย์ทราบว่า มีโรคทางตาหรือปัญหาทางตาด้วยหรือไม่ เช่น ตาแห้ง ผิวกระจกตาถลอกง่าย ต้อหิน หรือเพิ่งผ่าตัดตา เช่น เลเซอร์รักษาสายตา ผ่าตัดต้อกระจก ผ่าตัดต้อหินมา

มีโรคทางกายหรือใช้ยาอะไรเป็นประจำบ้าง เช่นยาแก้ปวดประเภท NSAID ยาแอสไพริน ยาละลายลิ่มเลือด มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด ยาสมุนไพรต่างๆ

การผ่าตัดเปลือกตาล่าง

การผ่าตัดเปลือกตาล่าง และการเข้าแผลผ่าตัดมี 2 วิธี ได้แก่

1. การผ่าตัดเข้าทางเยื่อบุตา ด้านในของเปลือกตา (Transconjunctival lower blepharoplasty) 

เรียกว่า การผ่าตัดแบบซ่อนแผลให้อยู่ด้านในเปลือกตา ไม่สามารถมองเห็นจากด้านนอก มักใช้ในรายที่มีปัญหาถุงไขมันยื่นโดยหนังตาไม่หย่อนมาก

ทำโดยการย้ายไขมันในส่วนตาออกมารองร่องลึกรูปโค้งใต้ตา โดยตัดพังผืดระหว่างผิวหนังและกระบอกตาออก เพื่อป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นรอยลึกใหม่

ผู้สูงอายุที่มีหนังตาหย่อนมาก อาจต้องตัดเนื้อส่วนเกินบ้างบางส่วน โดยรอยแผลจะอยู่บริเวณหางตา ยาว 5-6 มิลลิเมตร

การผ่าตัดด้วยวิธีนี้ ช่วยลดการเกิดปัญหาแผลเป็นดึงรั้งจนเห็นตาขาวและลดผลข้างเคียงจากการตัดผิวหนังมากเกินไป

2. การผ่าตัดผ่านผิวหนัง (Subcutaneous blepharoplasty)

วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้มีถุงไขมันใต้ตาและมีผิวใต้ตาหย่อนคล้อยมาก การตัดถุงใต้ตาและหนังส่วนเกินใต้ตาให้เต่งตึงสามารถแก้ไขปัญหาผู้ที่มีถุงใต้ตาและผิวหนังส่วนเกินได้ดี

รอยแผลจากการผ่าตัดผ่านผิวหนังจะซ่อนบริเวณแนวขนตา แพทย์อาจใช้ใบมีดหรือเลเซอร์ในการตัดเลาะผิวหนังส่วนเกินชั้นนอก รวมทั้งไขมันออกไปในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้ใต้ตาเรียบเป็นธรรมชาติ การผ่าตัดถุงใต้ตาและหนังส่วนเกินให้ตึง อาจทำได้พร้อมกับการผ่าตัดตกแต่งหนังตาส่วนเกินด้านบนด้วย

ในคนไข้รายที่อยู่ในวัยที่เริ่มมีหนังตาตกแล้ว ก่อนการผ่าตัดถุงใต้ตา แพทย์จะประเมินความแข็งแรงของเอ็นที่ยึดเปลือกตาด้านล่างก่อน หากเอ็นยึดใต้เปลือกตาล่างไม่แข็งแรง แพทย์จะแนะนำให้ทำผ่าตัดเย็บเอ็นตาล่างให้แข็งแรงขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้เปลือกตาล่างปลิ้นหรือแบะออก

การดูแลหลังการผ่าตัด

แผลผ่าตัดในช่วงเดือนแรกจะเห็นได้ชัด หลังจากนั้นประมาณ 2-3 เดือน จะค่อยๆ จางลงจนไม่เห็น ซึ่งก็จะเป็นช่วงเวลาที่จะเห็นผลการผ่าตัดตามที่คาดหวัง อย่างไรก็ตาม การดูแลแผลผ่าตัดในช่วงแรกมีวิธีการดังนี้

  • ห้ามแผลโดนน้ำ แนะนำให้ใช้น้ำเกลือสะอาดเช็ดแผล ทำความสะอาดเปลือกตาอย่างเบามือ จนกว่าจะตัดไหม
  • แพทย์มักแนะนำให้ประคบน้ำแข็งหรือเจลเย็นจัดในช่วง 48-72 ชั่วโมงแรกหลังผ่าตัด เพื่อลดปวดและช่วยให้ยุบบวม ช่วยให้อาการอาการเขียวช้ำหายได้เร็วขึ้น เมื่อเกิน 72 ชั่วโมงค่อยเปลี่ยนเป็นประคบอุ่น เพื่อช่วยลดบวมต่อไป รอยเขียวช้ำมักจะหายไปได้ใน 10 ถึง 14 วัน
  • หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด ควรใส่แว่นกันแดดกัน UV
  • งดการออกกำลังหนัก หรือการออกกำลังที่มีเหงื่อ เป็นเวลา 1 สัปดาห์
  • ไม่ควรขยี้ตาและงดการสูบบุหรี่
  • งดใส่คอนแทคเลนส์เป็นเวลาอย่างน้อยสองสัปดาห์
  • นอนหัวสูงกว่าระดับหน้าอก 2-3 วัน
  • พบแพทย์เพื่อดูแผลและตัดไหมตามนัด

อาการชั่วคราวหลังผ่าตัด

การผ่าตัดถุงใต้ตา ใช้เพียงการฉีดยาชาเฉพาะที่ อาจรู้สึกเจ็บตอนฉีดยาชาบ้าง แต่ในระหว่างทำจะไม่รู้สึกเจ็บ ใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 45-60 นาทีแล้วแต่ความยากง่าย หลังผ่าตัดสามารถกลับบ้านได้ และกลับมาตัดไหมประมาณ 7 วันหลังผ่าตัด แต่หลังผ่าตัดอาจมีอาการชั่วคราวดังนี้

  • ตามัวมองไม่ชัด เป็นผลจากกระจกตาบวมเล็กน้อยหลังผ่าตัด และอาจมัวจากการใช้ยาปฏิชีวนะหรือน้ำตาเทียมในรูปแบบขี้ผึ้งป้ายตา
  • ระคายเคืองตา น้ำตาไหลมาก
  • แสบตา ลืมตาไม่ขึ้น มีอาการแพ้แสง
  • เห็นภาพซ้อน
  • เปลือกตาชาไม่ค่อยมีความรู้สึก
  • หนังตาเขียวช้ำ และบวม
  • เจ็บระบมที่แผล

ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดถุงใต้ตา

ผลข้างเคียงที่พบบ่อยจากการผ่าตัดเปลือกตาล่างในรายที่มีร่องใต้ตาลึก แพทย์มักใช้วิธีการย้ายไขมันไปรองไว้ที่ร่องใต้ตา เพื่อเติมเต็มให้ร่องนี้ตื้นดูสวยงามขึ้นและมีผลดีคือช่วยยืดอายุผลการรักษาให้อยู่นานขึ้นประมาณ 5-10 ปี

คนไข้บางรายมีร่องแก้ม ซึ่งอยู่ใต้ลงไปจากร่องใต้ตา เกิดจากใบหน้าหย่อนคล้อย การผ่าตัดถุงใต้ตาจะไม่ช่วยให้ร่องแก้มนี้หายไป ถ้าต้องการรักษาจะต้องใช้การผ่าตัดดึงหน้า (Midface lift) หรือ ฉีดไขมัน (Fat Grafting)

ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดถุงใต้ตา มีดังนี้

  • แผลติดเชื้อ
  • มีเลือดออกมากจากการฉีดยาชา
  • ตาแห้ง มีอาการระคายเคืองตา บางรายที่ผิวกระจกตาบอบบางหรือแห้งมากอยู่แล้ว อาจมีผิวกระจกตาถลอก ทำให้เกิดอาการแสบตาเคืองตา ลืมตาไม่ขึ้น
  • เปลือกตาล่างเปิดมากเกินไป ปิดตาไม่สนิท หลังตัดไหมใหม่ๆแผลอาจจะยังตึง แพทย์อาจจะต้องให้นวดเปลือกตาให้นิ่มและยืด
  • เปลือกตาอักเสบเรื้อรัง
  • เห็นแผลเป็นชัดเจนใต้ตาดูไม่สวยงาม
  • สีเปลือกตาผิดปกติ
  • มีความผิดปกติจากการฉีดยาชาบริเวณตาอาจเกิดอันตรายต่อลูกตาเป็นการถาวร (เกิดน้อยมาก)
  • ความเสี่ยงจากการได้รับยาชาหรือยาสลบ
  • หากหลังผ่าตัดผลไม่เป็นไปตามความคาดหมายหลังพ้น 3 เดือนไปแล้ว อาจต้องมีการผ่าตัดซ้ำเพื่อแก้ไข

การผ่าตัดถุงใต้ตา ส่วนใหญ่ผลออกมาดีเป็นที่น่าพอใจ แต่ถือเป็นการผ่าตัดเพื่อความสวยงาม เพื่อให้ดูเยาว์วัย แพทย์มีหน้าที่ให้คำปรึกษาเรื่องโอกาสสำเร็จและความเสี่ยงตามความเป็นจริง เพื่อให้คนไข้ตั้งความคาดหวังได้อย่างถูกต้อง

อย่าลืมว่าแม้หลังผ่าตัดจะดูเด็กลงตามต้องการ แต่วันเวลาก็ไม่หยุดเดิน หลายปีต่อมา อาจจะต้องมีการผ่าตัดซ้ำอีกก็ได้


เขียนบทความโดย พญ. ศศิวิมล จันทรศรี


ที่มาของข้อมูล

  • Massry G., Murphy M., Azizzadeh B., Master Techniques in Blepharoplasty and Periorbital Rejuvenation, 2011.
  • Hartstein M, Holds J, Massry G.Pearls and Pitfalls in Cosmetic Oculoplastic Surgery, 2008.
  • Jill Annette Foster, 2018-2019 Basic and Clinical Science Course, Section 07: Orbit, Eyelids, and Lacrimal System eBook.
Scroll to Top