เมื่อพูดคำว่าน้ำมัน ใครหลาย ๆ คนก็คงอยากเลี่ยง เพราะนึกถึงแต่ไขมันในน้ำมัน ที่เป็นตัวการของโรคร้ายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคอ้วน โรคหัวใจและหลอดเลือด หรือแม้แต่โรคมะเร็ง
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไขมันนั้นมีทั้งชนิดที่ดีและไม่ดี ซึ่งการกินไขมันดีอย่าง “น้ำมันปลา (Fish oil)” ในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยกำจัดไขมันไม่ดีในร่างกาย และยังเป็นประโยชน์ต่อระบบอวัยวะต่าง ๆ ด้วย
บทความนี้จะพาทุกคนไปรู้จักกับน้ำมันปลา ว่าคืออะไร มีสรรพคุณอย่างไร กินแบบไหนให้ได้ผลดี ข้อควรระวัง รวมถึงคำถามที่พบบ่อย
สารบัญ
น้ำมันปลาคืออะไร
น้ำมันปลา คือน้ำมันที่สกัดมาจากส่วนประกอบของปลา ไม่ว่าจะเป็นเนื้อปลา หัวปลา หนังปลา และหางปลา
ปลาที่จะนำมาสกัดเป็นน้ำมันได้นั้นต้องเป็นปลาทะเลน้ำลึก น้ำเย็น และตัวปลามีไขมันสูง เช่น ปลาค็อด ปลาแซลมอน ปลาแอนโชวี ปลาเฮร์ริง ปลาแมคเคอเรล ปลาทูน่า หรือปลาซาร์ดีน
ปัจจุบัน คนหันมากินน้ำมันปลากันมากขึ้น เนื่องจากน้ำมันปลาอุดมไปด้วยกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น โอเมกา-3 (Omega-3) และโอเมกา-6 (Omega-6)
ทั้งสองอย่างมีทั้งกรดไขมันอีพีเอ (Eicosapentaenoic acid: EPA) และกรดไขมันดีเอชเอ (Docosahexaenoic acid: DHA) มีประโยชน์มากมายต่อร่างกาย เช่น ช่วยบำรุงระบบประสาท หรือรักษาสิว
น้ำมันปลาที่มีคุณภาพ ควรมีสัดส่วนของปริมาณกรดไขมันดีเอชเอต่อกรดไขมันอีพีเออยู่ที่ 1:2 หรือ 2:3
น้ำมันปลาทำงานอย่างไร
ประโยชน์มากมายของน้ำมันปลามาจากกรดไขมันโอเมก้า-3 เป็นที่น่าสนใจว่าร่างกายมนุษย์ไม่สามารถผลิตไขมันประเภทนี้เองได้ และไม่สามารถกลั่นกรดโอเมกา 3 จากกรดไขมันโอเมกา 6 ได้ งานวิจัยมากมายได้ศึกษาเรื่องกรดไขมันอีพีเอและดีเอชเอ ซึ่งเป็นกรดโอเมก้า-3 ซึ่งทั้งสองชนิดมักรวมอยู่ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากน้ำมันปลา
กรดไขมันโอเมกา 3 ช่วยลดความเจ็บปวดและอาการบวม น้ำมันปลาจึงใช้รักษาโรคสะเก็ดเงินหรือตาแห้งได้ โดยกรดไขมันเหล่านี้ยังป้องกันการเกิดลิ่มเลือด ซึ่งจะมีประโยชน์อย่างมากกับภาวะหัวใจบางประเภท
ประโยชน์ของน้ำมันปลา
1. รักษาภาวะไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง (Hypertriglyceridemia)
น้ำมันปลาอุดมไปด้วยกรดไขมันอิสระจำพวกดีเอชเอและอีพีเอ เป็นไขมันดี ช่วยลดการสะสมของไขมันที่ไม่ดีในเลือด
ทางการแพทย์ได้นำน้ำมันปลามาทำเป็นยาควบคุมระดับไขมันในเลือด โดยใช้รักษาผู้ที่มีภาวะไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง
ไตรกลีเซอไรด์คือไขมันชนิดหนึ่งที่ร่างกายสังเคราะห์ขึ้นเอง และได้จากการกินอาหารจำพวกเนย น้ำมัน หรือไขมันต่าง ๆ
ถ้าร่างกายสะสมไตรกลีเซอไรด์มากเกินไป จะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันได้
2. ช่วยให้สุขภาพกระดูกดีขึ้น
น้ำมันปลาไม่ได้มีแค่แคลเซียม วิตามินดี และแมกนีเซียม สารอาหารสำคัญที่ช่วยรักษาความหนาแน่นของกระดูก แต่ยังมีกรดไขมันโอเมกา-3 ชนิดดีเอชเอ ซึ่งจำเป็นต่อการเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงด้วยเหมือนกัน
ถ้ากินน้ำปลาในปริมาณที่เหมาะสม ก็จะช่วยให้กระดูกแข็งแรงขึ้นได้
3. ช่วยบรรเทาอาการของโรคข้อกระดูกอักเสบ
งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่า กรดไขมันโอเมกา-3 ในน้ำมันปลา ช่วยบรรเทาอาการของโรคข้อกระดูกอักเสบได้อย่างมีนัยสำคัญ
โดยทดลองให้อาหารที่มีโอเมกา-3 สูงกับหนูตะเภาที่เป็นโรคข้อกระดูกอักเสบ พบว่าช่วยรักษาโรคได้ถึง 50% เมื่อเทียบกับหนูที่กินอาหารแบบปกติ
4. ช่วยเสริมความจำและเพิ่มพลังให้สมอง
กรดไขมันดีเอชเอในน้ำมันปลาถือเป็นสารอาหารบำรุงสมองชั้นดี ช่วยให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านความจำ ด้านการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท (Motor skill) รวมถึงระบบการมองเห็นของจอประสาทตา (Retina)
5. ช่วยรักษาสิว
กรดไขมันอีพีเอและกรดไขมันดีเอชเอที่พบในน้ำมันปลา มีส่วนช่วยในการผลิตสารพรอสตาแกลดิน (Prostaglandins) มีหน้าที่หลักในการรักษาฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen) ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
เพราะเมื่อมีการผลิตฮอร์โมนแอนโดรเจนมากเกินไป จะทำให้ไขมันบนผิวสูงขึ้น ยิ่งทำให้เป็นสิวอุดตันได้ง่าย การกินน้ำมันปลาเข้าไปปรับระดับฮอร์โมนแอนโดรเจนก็จะช่วยลดสิวลงได้นั่นเอง
6. ช่วยลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด
น้ำมันปลาอุดมไปด้วยกรดไขมันดี ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้ อีกทั้งยังต้านการเกาะตัวกันของเกล็ดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ทางการแพทย์จึงแนะนำให้ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดกินน้ำมันปลาเป็นประจำ
7. ช่วยชะลอวัย
กรดไขมันโอเมกา 3 ในน้ำมันปลา ไม่ว่าจะเป็นกรดไขมันอีพีเอหรือกรดไขมันดีเอชเอ ล้วนมีส่วนช่วยในการต้านการอักเสบภายในร่างกาย ซึ่งการอักเสบในร่างกายนั้นเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ร่างกายเสื่อมถอย น้ำมันปลาจึงมีสรรรพคุณในการช่วยชะลอวัยนั่นเอง
น้ำมันปลา กินอย่างไรให้ปลอดภัย
- คนทั่วไป ควรกินปลาทะเลหรือน้ำมันปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง
- ผู้ป่วยโรคหัวใจ ควรกินน้ำมันปลา 1,000 มิลลิกรัม/วัน
- ผู้ป่วยที่ต้องการลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ควรกินน้ำมันปลาวันละ 2,000–4,000 มิลลิกรัม
- ผู้ป่วยโรคไตไม่ควรกินน้ำมันปลาโดยไม่ปรึกษาหมอ
- น้ำมันปลาอาจทำให้ความดันโลหิตต่ำได้ ผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำ หรือกินยาลดความดัน ควรปรึกษาหมอหรือเภสัชกรก่อนใช้ยา
น้ำมันปลา กินเยอะเกินไป มีผลข้างเคียงหรือไม่
น้ำมันปลา กินได้ แต่ถ้ากินเยอะไป อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น
- คลื่นไส้ ปวดท้อง ท้องเสีย แก้ได้โดยการกินน้ำมันปลาหลังมื้ออาหาร และลองเริ่มกินแค่น้อย ๆ ก่อน
- เรอเป็นกลิ่นคาวปลา
- มีรสฝาดในปาก
- คนที่แพ้น้ำมันปลา อาจเกิดผื่นคัน อาหารไม่ย่อย
- ถ้ากินติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ อาจทำให้มีกลิ่นคาวออกมาจากผิวหนัง
- ถ้ากินน้ำมันปลามากเกินไป จะยิ่งทำให้ระดับวิตามินอีในร่างกายลดลง
การกินอาหารเสริม ไม่ว่าจะเป็นวิตามินหรือสมุนไพร ควรปรึกษาหมอหรือเภสัชกรก่อนทุกครั้ง เพื่อหาปริมาณที่เหมาะสมในการกิน หรือดูว่าจำเป็นต้องกินจริง ๆ หรือเปล่า เพราะการกินอาหารเสริมเยอะเกินไปอาจส่งผลเสียมากกว่าผลดีได้
น้ำมันปลา และ น้ำมันตับปลา ต่างกันอย่างไร
หลาย ๆ คนมักเข้าใจผิดว่า น้ำมันปลาเหมือนกับน้ำมันตับปลา และมีประโยชน์คล้าย ๆ กัน ซึ่งจริง ๆ แล้วทั้งสองสิ่งนี้มีสรรพคุณที่แตกต่างกัน
- น้ำมันปลา (Fish Oil) จะอุดมไปด้วยกรดไขมันดีเอชเอและกรดไขมันอีพีเอ
- น้ำมันตับปลา (Cod Liver Oil) จะมีแต่วิตามินเอและวิตามินดี กรดไขมันน้อยกว่า
คุณสมบัติ | น้ำมันปลา (Fish Oil) |
น้ำมันตับปลา (Cod Liver Oil)
|
แหล่งที่มา | ปลาทะเลน้ำลึก เช่น แซลมอน แมคเคอเรล ซาร์ดีน | ตับของปลาคอด |
กรดไขมันโอเมก้า-3 | มี DHA และ EPA สูง |
มี DHA และ EPA แต่ต่ำกว่าน้ำมันปลา
|
วิตามินเอ | ปริมาณน้อย | ปริมาณสูง |
วิตามินดี | ปริมาณน้อย | ปริมาณสูง |
ประโยชน์ต่อหัวใจ | ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด |
ผลจากวิตามินช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
|
ประโยชน์ต่อสมอง | ส่งเสริมสุขภาพสมองและระบบประสาท |
ส่งเสริมสุขภาพสมองและระบบประสาท
|
ประโยชน์ต่อกระดูก | มีบางส่วนจากโอเมก้า-3 |
วิตามินดีช่วยเสริมกระดูก
|
ประโยชน์ต่อระบบภูมิคุ้มกัน | ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน |
ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันจากวิตามินเอและดี
|
ความเสี่ยงจากการบริโภคเกิน | ค่อนข้างต่ำ |
เสี่ยงต่อการได้รับวิตามินเอเกิน ซึ่งอาจเป็นพิษต่อร่างกาย
|
ภาวะที่น้ำมันปลาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ไตรกลีเซอร์ไรด์สูง งานวิจัยส่วนมากพบว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและอาหารที่อุดมด้วยน้ำมันปลาสามารถลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ได้จริง ซึ่งในผู้ที่มีระดับไตรกลีเซอร์ไรด์สูง การกิน Fish oil ยิ่งได้ผล อีกทั้งปริมาณน้ำมันปลาที่บริโภคเข้าไปก็ส่งผลต่อการลดลงของไตรกลีเซอร์ไรด์เช่นกัน
ภาวะที่น้ำมันปลาอาจใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ป้องกันการอุดตันซ้ำหลังการผ่าตัดขยายหลอดเลือด งานวิจัยกล่าวว่าน้ำมันปลาสามารถลดอัตราการอุดตันซ้ำของหลอดเลือดได้มากถึง 45 % เมื่อรับประทานก่อนเข้ารับการผ่าตัดขยายหลอดเลือดอย่างน้อย 3 สัปดาห์ และหลังจากผ่าตัด 1 เดือน แต่หากรับประทานก่อนผ่าตัด 2 เดือนจะได้ผลไม่ดีเท่าที่ควร
- แท้งบุตรในผู้หญิงที่มีภาวะภูมิคุ้มกันทำลายตนเองที่เรียกว่ากลุ่มอาการต้านฟอสโฟลิพิด (Antiphospholipid syndrome) การรับประทานน้ำมันปลาอาจจะสามารถป้องกันการแท้งบุตรและเพิ่มอัตราการตั้งท้องสำเร็จของผู้หญิงที่เป็นโรคต้านฟอสโฟลิพิดได้
- โรคสมาธิสั้นในเด็ก การรับประทานน้ำมันปลาจะเพิ่มสมาธิ การทำงานทางสมอง และพฤติกรรมของเด็กโรคสมาธิสั้นที่มีอายุ 8-13 ปีได้ การศึกษาวิจัยอื่นพบว่า การรับประทานน้ำมันปลาที่ประกอบด้วยน้ำมันปลา และน้ำมันอิฟนิ่งพริมโรส สามารถเพิ่มการทำงานทางสมอง และพฤติกรรมของเด็กอายุ 7-12 ปีที่เป็นโรคสมาธิสั้นได้จริง
- โรคอารมณ์สองขั้ว การรับประทานน้ำมันปลาร่วมกับการบำบัดรักษาโรคอารมณ์สองขั้วตามปกติสามารถบรรเทาอาการซึมเศร้า (Depression) แต่ไม่อาจบรรเทาอาการพลุ่งพล่าน (Mania) ในผู้ป่วยอารมณ์สองขั้วได้
- น้ำหนักลดในผู้ป่วยมะเร็ง การรับประทานน้ำมันปลาปริมาณสูงอาจช่วยชะลอน้ำหนักที่หายไปในผู้ป่วยโรคมะเร็งบางราย การใช้น้ำมันปลาในปริมาณที่น้อยเกินจะไม่ส่งผลเช่นนี้ นักวิจัยบางท่านเชื่อว่าการชะลอการสูญเสียน้ำหนักในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งได้นั้นเกิดจากฤทธิ์ที่ช่วยลดอาการจากภาวะซึมเศร้าและช่วยปรับอารมณ์ของบรรดาผู้ป่วยให้ดีขึ้นนั่นเอง
- โรคหัวใจ การรับประทานปลาจะช่วยให้หัวใจมีสุขภาพดี ปลอดจากโรคหัวใจ ผู้ที่เป็นโรคหัวใจเองก็สามารถลดความเสี่ยงต่างๆ จากโรคของตนได้ด้วยการรับประทานปลา แต่สำหรับการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันปลานั้นยังคงไม่ชัดเจน ผู้ที่รับประทานยาสำหรับโรคหัวใจอย่าง “สแตติน” และผู้ที่รับประทานปลาในปริมาณที่เพียงพออาจไม่ได้ผลจากการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันปลาก็เป็นได้
- การผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ (Coronary artery bypass surgery) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันปลาจะป้องกันไม่ให้ทางเบี่ยงหลอดเลือดตีบตันซ้ำ
- ความดันโลหิตสูงจากยาไซโคลสปอริน (Cyclosporine) ยาไซโคลสปอรินใช้สำหรับลดความเสี่ยงการปฏิเสธอวัยวะใหม่ที่ต้องใช้หลังการปลูกถ่ายอวัยวะ การรับประทานน้ำมันปลาจะช่วยป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงจากการใช้ยาตัวนี้
- ความเสียหายที่ไตจากการใช้ยาไซโคลสปอริน การรับประทานน้ำมันปลาจะช่วยป้องกันความเสียหายที่ไตจากการใช้ยาตัวนี้ น้ำมันปลายังช่วยเพิ่มกระบวนการทำงานของไตช่วงพักฟื้นของผู้ป่วยที่ร่างกายปฏิเสธอวัยวะปลูกถ่ายที่กำลังใช้ยาไซโคลสปอรินอีกด้วย
- โรคความผิดปกติด้านพัฒนาการประสานงานของอวัยวะ (Developmental coordination disorder (DCD)) การรับประทานน้ำมันปลา (80 %) กับน้ำมันอิฟนิ่งพริมโรส (20 %) อาจช่วยเพิ่มความสามารถในการอ่าน สะกดคำ และพฤติกรรมของเด็กที่มีปัญหาด้านพัฒนาการประสานงานของอวัยวะที่มีอายุ 5-12 ปีได้ อย่างไรก็ตาม น้ำมันปลาอาจไม่ช่วยในเรื่องทักษะการเคลื่อนไหว
- ปวดประจำเดือน (Dysmenorrhea) งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าน้ำมันปลาเพียงอย่างเดียวหรือร่วมกับวิตามินบี12 สามารถลดระยะเวลาเจ็บปวดและลดความจำเป็นในการใช้ยาแก้ปวดในช่วงปวดประจำเดือนของผู้หญิงได้
- ภาวะผิดปกติด้านการเคลื่อนไหวในเด็ก (Dyspraxia) การรับประทานน้ำมันปลาที่ประกอบด้วยน้ำมันอิฟนิ่งพริมโรส น้ำมันไทม์ และวิตามินอีก (Efalex, Efamol Ltd) อาจช่วยลดความผิดปกติด้านการเคลื่อนไหวในเด็กป่วย dyspraxia ได้
- มะเร็งเยื่อบุมดลูก (Endometrial cancer) มีหลักฐานบางชิ้นที่แสดงให้เห็นว่าผู้หญิงที่รับประทานไขมันปลาประมาณ 2 มื้อต่อสัปดาห์จะมีความเสี่ยงต่อมะเร็งเยื่อบุมดลูกน้อยลง
- หัวใจล้มเหลว งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการบริโภคน้ำมันปลาในปริมาณมากทั้งจากอาหารและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจล้มเหลว
- ปลูกถ่ายหัวใจ การรับประทานน้ำมันปลาจะช่วยสงวนการทำงานของไตและลดความดันโลหิตระยะยาวหลังการปลูกถ่ายหัวใจ
- คอเลสเตอรอลผิดปกติจากการรักษาผู้ติดเชื้อ HIV/AIDS มีบางงานวิจัยที่กล่าวว่าน้ำมันปลาสามารถลดไตรกลีเซอร์ไรด์ในผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลผิดปกติที่เกิดจากการรักษา HIV/AIDS ได้ อีกทั้งยังมีรายงานว่าการรับประทานน้ำมันปลาจะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในกลุ่มตัวอย่างนี้ได้ด้วย แม้ผลสรุปจะยังคงไม่สอดคล้องกันอยู่ก็ตาม
- ความดันโลหิตสูง น้ำมันปลาสามารถลดความดันโลหิตในผู้ป่วยที่มีปัญหาความดันเลือดสูงได้เล็กน้อย และอาจมีส่วนช่วยเพียงเล็กน้อยก็เป็นได้ เพราะในกลุ่มตัวอย่าง ผู้ป่วยที่มีปัญหาไม่สามารถควบคุมความดันได้ก็กำลังใช้ยาลดความดันโลหิตอยู่เช่นกัน
- โรคไตประเภทที่เรียกว่า IgA nephropathy งานวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าการใช้น้ำมันปลาในระยะยาวจะส่งผลดี โดยน้ำมันปลาสามารถชะลอการสูญเสียการทำงานของไตในคนไข้ที่มีความเสี่ยงสูงที่เป็น IgA nephropathy น้ำมันปลาอาจส่งผลอย่างมากเมื่อรับประทานในปริมาณมาก อีกทั้งจะมีประสิทธิภาพมากที่สุดในกลุ่มผู้ป่วย IgA nephropathy ที่มีระดับโปรตีนในเลือดสูง
- กระดูกพรุน (Osteoporosis) งานวิจัยกล่าวว่าการรับประทานน้ำมันปลาเพียงอย่างเดียว หรือรับประทานร่วมกับแคลเซียมและน้ำมันอิฟนิ่งพริมโรสสามารถชะลอการสูญเสียกระดูกและเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกต้นขา (Femur) และสันหลังของผู้สูงวัยที่ป่วยเป็นโรคกระดูกพรุนได้ แต่การรับประทานน้ำมันปลาไม่ได้ชะลอการสูญเสียกระดูกในผู้สูงอายุที่เป็นโรคข้อเสื่อมที่เข่า
- โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) มีหลักฐานที่กล่าวว่าการให้น้ำมันปลาทางหลอดเลือดดำสามารถลดความรุนแรงของโรคสะเก็ดเงินได้ อีกทั้งหากนำน้ำมันปลาไปทาบนผิวหนังก็จะช่วยให้อาการของโรคนี้ดีขึ้น แต่การรับประทานไม่ได้ส่งผลต่อโรคนี้แต่อย่างใด
- โรคจิต (Psychosis) งานวิจัยบางชิ้นพบว่าการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันปลาอาจช่วยป้องกันโรคจิตในวัยรุ่นและผู้ใหญ่อายุน้อยที่มีอาการไม่รุนแรงมากได้ โดยผลจากน้ำมันปลานี้ยังไม่ได้นำไปทดสอบกับผู้สูงอายุ
- โรคเรย์เนาด์ (Raynaud’s syndrome) มีหลักฐานบางชิ้นกล่าวว่าการรับประทานน้ำมันปลาจะช่วยให้ผู้ป่วยโรคเรย์เนาด์มีความทนทานต่อหวัดมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ป่วยโรคเรย์เนาด์ที่เกิดจากภาวะที่เรียกว่าโรคหนังแข็งแบบลุกลาม (Progressive systemic sclerosis) จะไม่ได้รับประโยชน์จากการรับประทานอาหารเสริมน้ำมันปลาเช่นนี้
- คอเลสเตอรอลผิดปกติหลังจากการปลูกถ่ายไต งานวิจัยกล่าวว่าการรับประทานน้ำมันปลาเพียงอย่างเดียวหรือร่วมกับยาลดระดับคอเลสเตอรอลสามารถช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลของผู้มีปัญหาคอเลสเตอรอลผิดปกติหลังการปลูกถ่ายไตได้
- โรคข้อต่ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis: RA) การรับประทานน้ำมันปลาเพียงอย่างเดียว หรือร่วมกับยานาพรอกเซน (Naproxen (Naprosyn)) สามารถช่วยให้อาการจากข้อต่ออักเสบรูมาตอยด์ดีขึ้นได้ ผู้ที่รับประทานน้ำมันปลาจะมีอาการเจ็บปวดลดลงจนมีการใช้ยาแก้ปวดน้อยลง อีกทั้งการให้น้ำมันปลาเข้าเส้นเลือดเองก็สามารถลดบวมและข้อแข็งในผู้ป่วยโรคนี้ได้อีกด้วย
- โรคหลอดเลือดสมอง การบริโภคปลาในปริมาณที่พอเหมาะ (1 หรือ 2 ครั้งต่อสัปดาห์) จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองลง 27 % แต่หากเป็นการบริโภคในปริมาณที่สูงมาก (รับประทานปลามากกว่า 46 กรัมต่อวัน) จะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคนี้อย่างมาก การรับประทานปลาไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองในผู้ที่ต้องใช้ยาแอสไพริน (Aspirin) เพื่อป้องกันโรคนี้อยู่แล้ว
ภาวะที่น้ำมันปลาอาจไม่สามารถรักษาได้
- เจ็บหน้าอก (Angina) งานวิจัยกล่าวว่าการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันปลาไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตหรือเพิ่มสุขภาพหัวใจของผู้ที่มีปัญหาเจ็บหน้าอก อีกทั้งยังมีหลักฐานบางชิ้นที่กล่าวว่าการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันปลาอาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงการเสียชีวิตในกลุ่มผู้ที่มีอาการเจ็บหน้าอกเกี่ยวกับโรคหัวใจ
- หลอดเลือดแดงแข็งตัว (Atherosclerosis) งานวิจัยบางชิ้นพบว่าการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันปลาอาจลดการลุกลามของ atherosclerosis ได้เล็กน้อย ส่วนงานวิจัยส่วนมากยังคงเชื่อว่าน้ำมันปลาไม่ได้ชะลอการลุกลามของโรคนี้หรือทำให้อาการดีขึ้นแต่อย่างใด
- ผิวหนังหลุดสะเก็ดและคัน (Eczema) งานวิจัยพบว่าน้ำมันปลาไม่ได้ช่วยให้อาการจากโรคผิวหนังดีขึ้น อีกทั้งงานวิจัยส่วนมากก็แสดงให้เห็นว่าการรับประทานน้ำมันปลาในช่วงตั้งครรภ์ไม่อาจป้องกันทารกจากโรคผิวหนังได้ แต่เด็กที่รับประทานปลาอย่างน้อย 1 ครั้งต่อสัปดาห์ จะมีความเสี่ยงนี้ลดลง (เด็กอายุ 1-2 ปี)
- หัวใจเต้นผิดปกติ (Atrial fibrillation) บางงานวิจัยกล่าวว่าผู้ที่รับประทานปลา 5 ครั้งขึ้นไปภายใน 1 สัปดาห์จะมีความเสี่ยงลดลงต่อภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ แต่งานวิจัยส่วนมากเชื่อว่าการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันปลาหรือไขมันปลาไม่ได้ลดความเสี่ยงนี้
- ภาวะสมองผิดปกติเนื่องจากปัญหาการสูบฉีดเลือด (โรคหลอดเลือดสมองขาดเลือด (Cerebrovascular disease)) งานวิจัยบางชิ้นกล่าวว่าการรับประทานปลาจะลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดได้ แต่งานวิจัยคุณภาพสูงกลับชี้แจงว่าน้ำมันปลาไม่ได้มีสรรพคุณเช่นนี้
- ตับแข็ง (Cirrhosis) การรับประทานน้ำมันปลาไม่ได้ช่วยให้ปัญหาตับดีขึ้น
- เจ็บขาจากปัญหาการไหลเวียนเลือด (Claudication) การรับประทานน้ำมันปลาไม่ได้ช่วยเพิ่มระยะทางการเดินของผู้ป่วยที่มีปัญหาเจ็บขาจากการไหลเวียนโลหิตไม่ดี
- การทำงานทางจิต งานวิจัยบางชิ้นกล่าวว่าการรับประทานหรือบริโภคปลาที่มีปริมาณไขมันมากจะเพิ่มการทำงานทางจิตและลดภาวะทางจิตตกของผู้สูงวัย แต่หลักฐานส่วนมากยังไม่มีข้อมูลเรื่องการทำงานทางจิตในผู้สูงวัยหรือในผู้ใหญ่อายุน้อยหรือเด็ก
- โรคเหงือก (Gingivitis) การรับประทานน้ำมันปลาไม่ได้ช่วยให้อาการของโรคเหงือกอักเสบดีขึ้น
- การติดเชื้อเอชโพโลไร (Helicobacter pylori (H.pylori)) การรับประทานน้ำมันปลาไม่ได้ช่วยให้ภาวะติดเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหารหรือเชื้อเอชโพโลไรดีขึ้นแต่อย่างใด เมื่อนำไปเทียบกับการใช้ยาตามปกติ
- ผู้ติดเชื้อ HIV/AIDS มีหลักฐานบางชิ้นที่พบว่าการรับประทานอาหารอัดแท่งที่ประกอบด้วยน้ำมันปลาไม่ได้เพิ่มจำนวนเซลล์ CD4 ในผู้ที่มีเชื้อเอชไอวี อีกทั้งการรับประทานน้ำมันปลาก็ไม่ได้ลดปริมาณเชื้อเอชไอวีในเลือดลงแต่อย่างใด
- เจ็บเต้านม (Mastalgia) การรับประทานน้ำมันปลาไม่ได้ลดอาการเจ็บเต้านมระยะยาวแต่อย่างใด
- ปวดศีรษะไมเกรน (Migraine headaches) การรับประทานน้ำมันปลาไม่ได้ช่วยลดความรุนแรงหรือความถี่ของอาการปวดไมเกรนลง
- ข้อเสื่อม (Osteoarthritis) การรับประทานน้ำมันปลาที่มีกลูโคซามีนซัลเฟต (Glucosamine sulfate) ไม่ได้ลดอาการจากโรคข้อเสื่อมเมื่อเทียบกับการใช้กลูโคซามีนซัลเฟตเพียงอย่างเดียว อีกทั้งการรับประทานน้ำมันปลาเองก็ไม่ได้เพิ่มความแข็งแรงของกระดูกในกลุ่มผู้ป่วยข้อเสื่อม
- ปอดบวม (Pneumonia) งานวิจัยประชากรพบว่าไม่มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคปลากับความเสี่ยงต่อการเกิดปอดบวม
- ปลูกถ่ายไต งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าน้ำมันปลาไม่ได้ช่วยให้ผู้ป่วยที่เข้ารับการปลูกถ่ายไตมีชีวิตยืนยาวขึ้น อีกทั้งยังไม่ได้ช่วยป้องกันการปฏิเสธอวัยวะด้วย
- ภาวะเลือดเป็นพิษ (Sepsis) งานวิจัยกล่าวว่าการฉีดน้ำมันปลาเข้าเส้นเลือดไม่ได้เพิ่มอัตราการรอดชีวิตหรือลดการบาดเจ็บที่สมองในผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดเป็นพิษแต่อย่างใด
- หัวใจเต้นจังหวะเร็วผิดปกติ (Ventricular arrhythmias) งานวิจัยประชากรพบว่าการรับประทานปลามากๆ ไม่มีผลต่อความเสี่ยงหัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะ แต่งานวิจัยทางการแพทย์กลับเห็นแย้ง บ้างกล่าวว่าการรับประทานน้ำมันปลาทุกวันไม่ได้ส่งผลต่อความเสี่ยงนี้ แต่บ้างก็พบว่าการรับประทานน้ำมันปลานาน 11 เดือนจะชะลอการเกิดภาวะนี้ขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม โดยสรุปแล้ว น้ำมันปลาไม่ได้ลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตของผู้ที่มีปัญหาหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
ภาวะที่น้ำมันปลาอาจจะไม่ได้ผล
- เบาหวาน (Diabetes) การรับประทานน้ำมันปลาไม่ได้ลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 แต่อย่างใด น้ำมันปลาก็ยังมีประโยชน์อื่นต่อผู้ป่วยเบาหวาน อย่างลดระดับไขมันในเลือดที่เรียกว่าไตรกลีเซอร์ไรด์
ภาวะที่ยังคงขาดหลักฐาน และยังไม่มีข้อสรุปว่าน้ำมันปลารักษาได้หรือไม่
- ปัญหาสายตาที่เกี่ยวข้องกับอายุ มีหลักฐานว่าผู้ที่มีอายุมากขึ้นที่มีปัญหาทางสายตา หากรับประทานปลามากกว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์จะมีความเสี่ยงน้อยลงต่อปัญหาสายตา แต่งานวิจัยอื่นกลับพบว่าการรับประทานน้ำมันปลานาน 5 ปีไม่ได้ป้องกันปัญหานี้
- ภูมิแพ้ตามฤดูกาล หรือไข้ละอองฟาง (Hay fever) งานวิจัยกล่าวว่าแม่ที่รับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันปลาระหว่างช่วงท้ายของการตั้งครรภ์อาจลดความเสี่ยงต่อการเกิดภูมิแพ้ในเด็กได้ แต่งานวิจัยอื่นแย้งว่าน้ำมันปลาไม่ได้ช่วยลดโอกาสเกิดภูมิแพ้ในเด็ก แม้มารดาจะรับประทานน้ำมันปลาระหว่างการตั้งครรภ์ก็ตาม
- โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) มีหลักฐานที่กล่าวว่าน้ำมันปลาสามารถป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้ อย่างไรก็ตาม ณ ตอนนี้สรุปได้ว่าน้ำมันปลาไม่อาจป้องกันการเสื่อมถอยของกระบวนการคิดของผู้ป่วยส่วนมากที่เคยถูกวินิจฉัยว่าเป็นอัลไซเมอร์
- หอบหืด (Asthma) งานวิจัยกล่าวว่าน้ำมันปลาอาจช่วยรักษาหอบหืดได้แค่บางอาการ คือ ช่วยให้หายใจดีขึ้นและลดการใช้ยาบางตัวลง งานวิจัยชิ้นอื่นแสดงให้เห็นว่าน้ำมันปลาไม่ได้ลดความรุนแรงของหอบหืดในเด็ก แต่อาจช่วยป้องกันหอบหืดในเด็กเล็กหากแม่รับประทานน้ำมันปลาขณะตั้งครรภ์ แต่หากเป็นการรับประทานน้ำมันปลาขณะที่ต้องให้นมจะไม่ส่งผลใดๆ
- ออทิสติก/ปัญญาอ่อน (Autism) การศึกษาขนาดเล็กชิ้นหนึ่งแสดงให้เห็นว่าการรับประทานน้ำมันปลาอาจช่วยลดความตื่นตัวของเด็กพิเศษได้ แต่การศึกษานี้ยังมีจุดด้อยอยู่มาก ในขณะที่งานวิจัยอื่นกลับแสดงให้เห็นว่าการรับประทานน้ำมันปลาไม่ได้ช่วยลดความตื่นตัวของพวกเขา
- มะเร็ง งานวิจัยในเรื่องผลกระทบของน้ำมันปลากับการป้องกันมะเร็งมีผลสรุปที่ขัดแย้งกัน บ้างก็กล่าวว่าการรับประทานปลาหรือการมีระดับโอเมก้า-3 ในเลือดที่สูงช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็ง ทั้งมะเร็งช่องปาก มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งทวารหนัก มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และมะเร็งต่อมลูกหมาก แต่งานวิจัยชิ้นอื่นกลับกล่าวว่าการรับประทานปลาไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็งแต่อย่างใด
- ต้อกระจก (Cataracts) มีหลักฐานที่กล่าวว่าการรับประทานปลา 3 ครั้งต่อสัปดาห์สามารถลดความเสี่ยงต่อต้อกระจกได้เล็กน้อย
- กลุ่มอาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง (Chronic fatigue syndrome: CFS) มีหลักฐานที่ขัดแย้งกันในเรื่องการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของน้ำมันปลากับน้ำมันอิฟนิ่งพริมโรส (Efamol Marine) ในการลดอาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง
- โรคไตเรื้อรัง มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าน้ำมันปลาอาจมีส่วนช่วยผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่เข้ารับการฟอกไต แต่ยังไม่ชัดเจนว่าน้ำมันปลาจะช่วยผู้ที่การทำงานของไตย่ำแย่ได้
- คอเลสเตอรอลผิดปกติจากการใช้ยาโคลซาปีน (Clozapine) โคลซาปีนเป็นยาที่ใช้รักษาจิตเภท (Schizophrenia) โดยมีหลักฐานที่กล่าวว่าการรับประทานน้ำมันปลาจะลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ แต่เพิ่มระดับคอเลสเตอรอลรวมและคอเลสเตอรอลลิโพโปรตีนความหนาแน่นต่ำ (Low-density lipoprotein (LDL) ในกลุ่มผู้ที่มีปัญหาระดับคอเลสเตอรอลผิดปกติจากการใช้ยาโคลซาปีน
- ภาวะสมองบกพร่อง (Cognitive impairment) งานวิจัยบางชิ้นกล่าวว่าการรับประทานน้ำมันปลาทุกวันนาน 12 เดือนอาจช่วยเพิ่มการทำงานในส่วนความจำของผู้ที่มีการทำงานของสมองน้อยผิดปกติได้
- มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก (Colorectal cancer) งานวิจัยกล่าวว่าการรับประทานน้ำมันปลาระหว่างการทำเคมีบำบัดอาจชะลอการลุกลามของเนื้อร้ายในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก
- โรคโครห์น (Crohn’s disease) งานวิจัยเรื่องผลกระทบของน้ำมันปลากับโรคโครห์นยังคงขัดแย้งกันเอง บ้างพบว่าการรับประทานผลิตภัณฑ์จากน้ำมันปลาบางชนิด (Purepa, Tillotts Pharma) สามารถลดการเกิดอาการของโรคโครห์นซ้ำได้ แต่งานวิจัยอื่นกลับไม่พบว่าน้ำมันปลามีประโยชน์เช่นนี้
- โรคซิสติกไฟโบรซิส (Cystic fibrosis) งานวิจัยกล่าวว่าการรับประทานน้ำมันปลาสามารถเพิ่มการทำงานของปอดของผู้ป่วยโรคซิสติกไฟโบรซิสได้ อย่างไรก็ตาม หากเป็นการให้น้ำมันปลาเข้าเส้นเลือดนั้นกลับพบว่าไม่ได้มีประโยชน์เช่นนี้
- สูญเสียความทรงจำ (Dementia) งานวิจัยกล่าวว่าการรับประทานปลาอย่างน้อย 1 ครั้งต่อสัปดาห์ สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อมได้ แต่งานวิจัยชิ้นอื่นกลับแย้งว่าไม่มีความเชื่อมโยงระหว่างการบริโภคปลากับความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมแต่อย่างใด
- ภาวะซึมเศร้า (Depression) ยังคงมีหลักฐานเรื่องผลกระทบของการรับประทานน้ำมันปลารักษาโรคซึมเศร้าที่ไม่สอดคล้องกันอยู่ บ้างพบว่าน้ำมันปลาร่วมกับยาต้านซึมเศร้าสามารถลดอาการของโรคได้ในบางคน แต่งานวิจัยชิ้นอื่นพบว่าน้ำมันปลาไม่ได้ช่วยให้อาการซึมเศร้าดีขึ้นแต่อย่างใด กระนั้นความขัดแย้งของการศึกษานี้อาจเป็นผลมาจากปริมาณ EPA และ DHA ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือจากความรุนแรงของภาวะซึมเศร้าของกลุ่มตัวอย่างก่อนเข้ารับการรักษาก็เป็นได้
- ความเสียหายที่ไตในผู้ป่วยเบาหวาน (Diabetic nephropathy) มีหลักฐานกล่าวว่าการรับประทานน้ำมันปลาไม่ได้ช่วยให้ไตของผู้ป่วยเบาหวานทำงานดีขึ้น
- ความเสียหายที่ตาของผู้ป่วยเบาหวาน (Diabetic retinopathy) การบริโภคน้ำมันปลาปริมาณสูงเชื่อมโยงกับความเสี่ยงต่อความเสียหายที่ดวงตาผู้ป่วยเบาหวานที่น้อยลง
- ตาแห้ง มีรายงานว่าผู้หญิงที่บริโภคน้ำมันปลาจากอาหารสูงเกี่ยวโยงกับความเสี่ยงต่อภาวะตาแห้งที่น้อยลง แต่ผลกระทบในเรื่องของการใช้น้ำมันปลากับตาแห้งยังคงนับว่าไม่สอดคล้องกันอยู่ บ้างพบว่าน้ำมันปลาสามารถลดอาการจากตาแห้งอย่างเจ็บตา การมองเห็นไม่ชัดเจน และตาอ่อนไหวมากขึ้นได้ แต่น้ำมันปลาก็ไม่ได้ช่วยให้สัญญาณหรืออาการอื่นๆ ดีขึ้น อย่างเช่นการผลิตน้ำตาและความเสียหายที่พื้นผิวของดวงตา การรับประทานน้ำมันปลายังไม่ได้ช่วยให้อาการตาแห้งดีขึ้นเมื่อกำลังใช้การรักษาตาแห้งวิธีอื่นอยู่
- ระดับคอเลสเตอรอลหรือไขมันในเลือดผิดปกติ (Dyslipidemia) หลักฐานเกี่ยวกับผลกระทบจากการใช้น้ำมันปลากับเรื่องระดับไขมันและคอเลสเตอรอลยังขัดแย้งกันเองอยู่ บางงานวิจัยบอกว่าการรับประทานน้ำมันปลาสามารถลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ ลดคอเลสเตอรอลไลโพโปรตีนความหนาแน่นต่ำ (LDL) และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลไลโพโปรตีนความหนาแน่นสูง (HDL) ในผู้ที่มีปัญหาระดับคอเลสเตอรอลผิดปกติได้ ในขณะที่งานวิจัยอื่นไม่พบว่าน้ำมันปลามีสรรพคุณดังกล่าว
- โรคไตชนิดลุกลาม (ไตวายระยะสุดท้าย) มีหลักฐานที่กล่าวว่าน้ำมันปลาสามารถลดการอักเสบในผู้ที่เป็นโรคไตชนิดลุกลามได้
- โรคลมชัก (Epilepsy) งานวิจัยกล่าวว่าการรับประทานกรดไขมันโอเมก้า-3 จากน้ำมันปลาทุกวันนาน 10 สัปดาห์จะลดอาการชักในผู้ที่มีปัญหาลมชักที่ดื้อยาได้
- ปวดกล้ามเนื้อเนื่องจากออกกำลังกาย งานวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าการรับประทานน้ำมันปลาทุกวันนาน 1-6 เดือนทั้งก่อนและระหว่างออกกำลังกายไม่อาจป้องกันอาการปวดกล้ามเนื้อที่ข้อศอกหรือเข่าได้ แต่งานวิจัยอื่นๆ กล่าวว่าการรับประทานน้ำมันปลาสามารถลดอาการปวดจากการออกกำลังกายได้
- ป้องกันการอุดตันของทางเบี่ยง (Grafts) ที่ใช้ในการฟอกไต การรับประทานน้ำมันปลาอาจช่วยป้องกันการเกิดลิ่มเลือดขึ้นในท่อไตเทียมหรือทางเบี่ยง อีกทั้งยังช่วยให้ใช้การได้นานขึ้น แต่จำเป็นต้องมีงานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับปริมาณของน้ำมันปลาที่เหมาะสมในการใช้ต่อไป
- ภาวะก่อนเป็นเบาหวาน (Prediabetes) งานวิจัยกล่าวว่าน้ำมันปลาสามารถป้องกันการพัฒนาจากภาวะก่อนโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้
- พัฒนาการของทารก มีหลักฐานที่กล่าวว่ามารดาที่รับประทานปลาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันปลาระหว่างตั้งครรภ์อาจส่งเสริมพัฒนาการด้านสมองของเด็กได้ แต่หากรับประทานขณะให้นมบุตรจะไม่ได้ผล อย่างไรก็ตาม การรับประทานน้ำมันปลาในระหว่างตั้งครรภ์และระหว่างให้นมบุตรอาจช่วยพัฒนาในการมองเห็นของเด็กและลดความเสี่ยงในการเกิดอาการแพ้ต่างๆ
- โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple sclerosis) การรับประทานผลิตภัณฑ์น้ำมันปลา (MaxEPA) ไม่ได้ลดระยะเวลา ความถี่ หรือความรุนแรงของการเกิดอาการจากโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง
- ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ งานวิจัยบางชิ้นกล่าวว่าการรับประทานน้ำมันปลาทุกวันนาน 90-150 วันร่วมกับออกกำลังกายแบบต้าน (Resistance strength training) 90 วันอาจเพิ่มการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อและความแข็งแรงให้กับผู้หญิงอายุมากที่มีสุขภาพดีได้
- ลดน้ำหนัก งานวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าการรับประทานปลาจะเพิ่มอัตราการลดน้ำหนักและลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ที่มีน้ำหนักร่างกายมากที่มีความดันโลหิตสูง อีกทั้งยังพบว่าการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันปลา (Hi-DHA, NuMega) จะลดไขมันร่างกายลงเมื่อรับประทานร่วมกับการออกกำลังกาย แต่หลักฐานอื่นๆ กล่าวว่าการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันปลาอีกชนิด (Lovaza) ไม่ได้ช่วยผู้ที่มีน้ำหนักมากในการลดน้ำหนักแต่อย่างใด
- ตับอ่อนอักเสบ (Pancreatitis) มีหลักฐานที่กล่าวว่าการให้สารอาหารอย่างน้ำมันปลาทางเส้นเลือด จะช่วยการบำบัดทดแทนไตของผู้ป่วยที่มีภาวะตับอ่อนอักเสบรุนแรงได้
- โรคฟีนิลคีโตนูเรีย (Phenylketonuria (PKU)) มีหลักฐานที่กล่าวว่าการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากน้ำมันปลาจะเพิ่มความสามารถในการเคลื่อนไหว การประสานงาน และการมองเห็นของเด็กที่ป่วยเป็นโรคทางพันธุกรรมหายากที่เรียกว่าฟีนิลคีโตนูเรียได้
- ภาวะทางจิตจากเหตุการณ์รุนแรง (Post-traumatic stress disorder (PTSD)) มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ประกอบด้วยโอเมก้า-3 จากน้ำมันปลากับเรื่องการให้สุขภาพจิตศึกษา (Psychoeducation) ไม่ได้ให้ประโยชน์ต่อผู้ประสบภาวะทางจิตจากเหตุการณ์รุนแรงได้แต่อย่างใด
- ภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ มีหลักฐานที่กล่าวว่าการรับประทานน้ำมันปลาหรือรับประทานอาหารทะเลระหว่างตั้งครรภ์สามารถป้องกันการคลอดก่อนกำหนดได้ อย่างไรก็ตาม น้ำมันปลาไม่อาจช่วยป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงระหว่างมีครรภ์ได้
- เด็กที่คลอดก่อนกำหนด (Prematurity) นมเด็กที่ผสมกับกรดไขมันจากน้ำมันปลาและน้ำมันโบราจ (Borage oil) อาจช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตและพัฒนาการด้านระบบประสาทของทารกที่คลอดก่อนกำหนดได้ โดยเฉพาะกับทารกเพศชาย
- แผลกดทับ (Pressure ulcers) งานวิจัยกล่าวว่าการเสริมอาหารผู้ป่วยติดเตียงด้วยน้ำมันปลาแบบป้อนทางสายอาหารเป็นเวลา 28 วันอาจชะลอการเกิดแผลกดทับได้
- ภาวะแพ้ซาลิไซเลต (Salicylate intolerance) งานวิจัยบางชิ้นกล่าวว่าการรับประทานน้ำมันปลาอาจทำให้อาการจากภาวะแพ้ซาลิไซเลต อย่างเช่นหอบหืดและคันดีขึ้นได้
- จิตเภท (Schizophrenia) มีรายงานว่าน้ำมันปลาสามารถบรรเทาอาการของจิตเภทในหญิงตั้งครรภ์ได้ แต่งานวิจัยชิ้นอื่นๆ กลับกล่าวว่า น้ำมันปลาที่มีสารเคมีที่เรียกว่ากรดอัลฟาไลโปอิก (Alpha-lipoic) ไม่อาจลดอาการจิตเภทได้
- โรคเม็ดเลือดแดงรูปเคียว (Sickle cell disease) งานวิจัยกล่าวว่าการรับประทานน้ำมันปลาสามารถลดความเจ็บปวดที่เกิดกับผู้ป่วยโรคเม็ดเลือดแดงรูปเคียวได้
- โรคแพ้ภูมิตัวเอง (Systemic lupus erythematosus (SLE)) การศึกษาหนึ่งพบว่าน้ำมันปลาสามารถช่วยให้อาการจากโรคแพ้ภูมิตัวเองดีขึ้น ในขณะที่การศึกษาอื่นยังไม่พบผลใดๆ จากการใช้น้ำมันปลากับโรคนี้
- โรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผล (Ulcerative colitis) งานวิจัยเรื่องผลกระทบของน้ำมันปลากับการรักษาโรคลำไส้ใหญ่ชนิดเป็นแผลยังคงมีผลการศึกษาที่ขัดแย้งกันอยู่
ข้อควรระวังในการกินน้ำมันปลาและน้ำมันตับปลา
น้ำมันปลามีสรรพคุณในการต้านการเกาะกลุ่มกันของเกล็ดเลือด และทำให้เลือดหยุดไหลช้า
กลุ่มคนต่อไปนี้ต้องระมัดระวังการกินน้ำมันปลาและน้ำมันตับปลามากเป็นพิเศษ
- ผู้ที่มีความเสี่ยงในการเกิดบาดแผล เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
- ผู้ที่มีแผลในกระเพาะอาหาร
- ผู้ที่กินยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน (Aspirin) หรือวอร์ฟาริน (Warfarin) ควรระมัดระวังในการกินยา
นอกจากนี้ คนที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด ควรหยุดกินน้ำมันปลาหรือน้ำมันตับปลาอย่างน้อย 14 วัน และต้องแจ้งหมอผู้ผ่าตัดด้วยว่ากำลังกินน้ำมันปลาหรือน้ำมันตับปลาอยู่
น้ำมันปลากับผู้หญิง
ผู้หญิงสามารถรับประทานน้ำมันปลาเพื่อป้องกันอาการปวดประจำเดือน ปวดเต้านม และภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ เช่น การแท้งบุตร (รวมไปถึงภาวะที่เรียกว่ากลุ่มอาการต้านฟอสโฟลิพิด (Antiphospholipid syndrome)) ความดันโลหิตสูงในช่วงอายุครรภ์มาก คลอดก่อนกำหนด ทารกเจริญเติบโตช้า และกระตุ้นการเจริญเติบโตของทารก
น้ำมันปลากับการลดน้ำหนัก และออกกำลังกาย
การรับประทานน้ำมันปลาสำหรับลดน้ำหนัก ออกกำลังกาย และเสริมความแข็งแรงกล้ามเนื้อก็สามารถทำได้ หรือแม้แต่ลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย มะเร็ง ปอดบวม (Pneumonia) โรคปอด ภูมิแพ้ตามฤดูกาลหรือไข้ละอองฟาง (Hay Fever) กลุ่มอาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง (Chronic fatigue syndrome) และเพื่อป้องกันหลอดเลือดกลับไปตีบแคบหลังการผ่าตัดขยายหลอดเลือดได้ด้วย
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับน้ำมันปลา
น้ำมันปลา ควรกินตอนไหน
ควรกินวันละ 1–2 ครั้ง พร้อมอาหารหรือหลังอาหาร เพื่อให้ร่างกายดูดซึมกรดไขมันโอเมกา 3 ได้ดียิ่งขึ้น โดยจะกินเวลาไหนก็ได้
ในหนึ่งวัน กินน้ำมันปลาเท่าไรดี
สำหรับผู้ใหญ่ ไม่ควรกินน้ำมันปลาเกินวันละ 3,000 มิลลิกรัม หรือ 3 กรัมต่อวัน ถ้ากินเป็นแบบเม็ดละ 1,000 มิลลิกรัม ก็กินได้วันละ 3 เม็ด
ถ้าจะกินเพื่อลดไตรกลีเซอร์ไรด์ ลดความดันโลหิต ลดการอักเสบ หรือลดสิว อาจกินวันละ 3,000–4,000 มิลลิกรัม แต่ไม่ควรเกิน 5,000 มิลลิกรัม ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพิ่มปริมาณ ซึ่งแพทย์อาจพิจารณาให้ทานยาชนิดอื่นที่ได้ผลดีกว่าแทน
สำหรับการกินเพื่อเสริมสุขภาพทั่ว ๆ ไป ควรกินแค่ 1,000–2,000 มิลลิกรัมก็พอ โดยขึ้นอยู่กับอายุ โรคประจำตัว รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ ด้วย
ถ้ามีข้อสงสัย ควรปรึกษาหมอประจำตัวหรือเภสัชกรที่ร้านขายยาใกล้บ้าน
น้ำมันปลา ไม่ควรกินกับอะไร
- ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
- ยาควบคุมความดันโลหิต
- ยาเสริมสมรรถภาพทางเพศ
- น้ำมันตับปลา
- พืชสมุนไพรบางชนิด เช่น กระเทียม โสม ขิง
ในกรณีของยาต้านการแข็งตัวของเลือดและยาควบคุมความดันโลหิต ถึงจะไม่เห็นผลเสียหรืออาการผิดปกติอย่างชัดเจน แต่การกินน้ำมันปลากับยาเหล่านี้ก็อาจทำให้ตัวยาทำงานได้ไม่เต็มที่
หากมีข้อสงสัย ควรปรึกษาเภสัชกร สอบถามถึงยาประจำตัวที่ใช้
น้ำมันปลา กินต่อเนื่องนาน ๆ ได้ไหม
โดยปกติแล้ว ถ้าไม่มีอาการแพ้ใด ๆ ก็กินต่อเนื่องได้ทุกวัน
ทั้งนี้ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานและมีแหล่งที่มาในการผลิตชัดเจน เพื่อเลี่ยงสารปนเปื้อนที่เกินระดับมาตรฐาน
การกินน้ำมันปลา ควรปรึกษาเภสัชกรใกล้บ้านหรือคุณหมอเสมอ เพื่อให้รู้ว่าจริง ๆ แล้วคุณจำเป็นต้องกินน้ำมันปลาจริง ๆ ไหม ถ้ากิน ควรกินเท่าไร
อย่าลืมศึกษาคุณประโยชน์ ข้อควรระวัง และผลข้างเคียงของยาให้ดี ๆ กันด้วยนะ
อ่านบทความความรู้สุขภาพแบบรอบด้านได้ที่ HDBlog
ตรวจสอบความถูกต้องโดย นพ. พิสุทธิ์ พงษ์ชัยกุล และ ทีมแพทย์ HD