น้ำมันตับปลา (Cod liver oil) คือ น้ำมันที่ได้จากการรับประทานตับปลาคอด หรือจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งมีประโยชน์มากมายในการรักษาโรคหลายอย่าง
สารบัญ
ประโยชน์ของน้ำมันตับปลา
น้ำมันตับปลาประกอบด้วยกรดไขมันที่ป้องกันการเกิดลิ่มเลือด ช่วยลดอาการเจ็บปวด และอาการบวมได้อีกด้วย ช่วยบรรเทาและป้องกันอาการได้หลายโรค เช่น
- ภาวะไขมันในเลือดสูง
- ภาวะแทรกซ้อนทางไตในผู้ป่วยเบาหวาน
- ความดันโลหิตสูง
- โรคหัวใจ
- ข้อเสื่อม
- โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง หรือ โรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE)
- ภาวะติดเชื้อภายในหูชั้นกลาง
นอกจากนี้ยังพบว่ามีวิตามินเอ (Vitamin A) และวิตามินดี (Vitamin D) สูง
ภาวะที่น้ำมันตับปลามักจะมีประสิทธิภาพ
- ลดระดับไขมันในเลือดที่เรียกว่า “ไตรกลีเซอไรด์” การรับประทานน้ำมันตับปลาอาจช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ 20-50 % ในกลุ่มผู้ที่มีระดับไตรกลีเซอไรด์สูง
ภาวะที่อาจใช้น้ำมันตับปลาได้
- ความดันโลหิตสูง น้ำมันตับปลาอาจมีผลช่วยต่อความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัว และความดันโลหิตขณะหัวใจคลายตัวได้เล็กน้อย
- โรคไตในผู้เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 การรับประทานน้ำมันตับปลาอาจช่วยลดภาวะโปรตีนรั่วทางปัสสาวะของผู้ที่มีภาวะแทรกซ้อนของโรคไตจากโรคเบาหวาน
ผลข้างเคียงของน้ำมันตับปลา
- สำหรับผู้ใหญ่ และเด็กส่วนมากจะสามารถรับประทานได้ค่อนข้างปลอดภัย โดยอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงบ้าง เช่น ท้องอืด มีกลิ่นปาก แสบร้อนกลางอก ถ่ายเหลว และคลื่นไส้ โดยการรับประทานพร้อมอาหารมักจะช่วยลดผลข้างเคียงข้างต้นได้
- การรับประทานน้ำมันตับปลาในปริมาณมากอาจเกิดอันตราย เพราะทำให้เลือดไม่แข็งตัว ซึ่งเพิ่มโอกาสการเกิดภาวะเลือดออกในอวัยวะต่างๆ ได้มากขึ้น หรือมีอาการเลือดหยุดยากหากเกิดบาดแผล
- อีกทั้งการรับประทานที่มากเกินไปอาจทำให้ระดับวิตามินเอ และวิตามินดีในร่างกายมากเกินไปเช่นกัน
คำเตือนและข้อควรระวังเป็นพิเศษ
- สตรีมีครรภ์ และแม่ที่ต้องให้นมบุตร คนกลุ่มนี้สามารถรับประทานน้ำมันตับปลาได้ หากรับประทานในปริมาณที่ไม่เกินกว่าคำแนะนำ และได้รับวิตามินเอ และวิตามินดีที่เพียงพอในแต่ละวัน
น้ำมันตับปลาอาจจะไม่ปลอดภัยหากรับประทานเข้าไปในปริมาณมาก ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ หรือต้องให้นมบุตรไม่ควรรับประทานน้ำมันตับปลาที่มีวิตามินเอมากกว่า 3,000 ไมโครกรัม และวิตามินดีมากกว่า 100 ไมโครกรัม - ผู้ป่วยโรคเบาหวาน น้ำมันตับปลาอาจเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานได้ แต่ยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติม
- ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง น้ำมันตับปลาสามารถลดระดับความดันเลือดได้ และอาจทำให้ความดันตกลงมากเกิน หากรับประทานร่วมกับยาควบคุมความดันโลหิตสูง ดังนั้นหากคุณต้องใช้ยาควบคุมความดันโลหิตสูง ควรรับประทานน้ำมันตับปลาด้วยความระมัดระวัง
การใช้น้ำมันตับปลาร่วมกับยาชนิดอื่น
ควรใช้น้ำมันตับปลาร่วมกับยาเหล่านี้ด้วยความระมัดระวัง
- ยาสำหรับความดันโลหิตสูง น้ำมันตับปลาสามารถลดระดับความดันเลือดได้และอาจทำให้ตกลงมากเกินหากทานร่วมกับยาความดัน
- ยายับยั้งการแข็งตัวของเลือด น้ำมันตับปลาสามารถชะลอการเกิดลิ่มเลือดได้ ดังนั้นการรับประทานน้ำมันตับปลาร่วมกับยาชะลอการเกิดลิ่มเลือดจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดรอยฟกช้ำหรือเลือดออกได้
ปริมาณการใช้น้ำมันตับปลา
การรับประทานน้ำมันตับปลาช่วงเช้าหลังมื้ออาหารจะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างแหล่งพลังงานที่ดีต่อสุขภาพ
- สำหรับลดระดับไตรกลีเซอไรด์ น้ำมันตับปลา 20 มิลลิลิตรต่อวัน
- สำหรับระดับความดันโลหิต น้ำมันตับปลา 20 มิลลิลิตรต่อวัน
ความแตกต่างของ น้ำมันปลา และ น้ำมันตับปลา
- น้ำมันปลา (Fish Oil): เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรับกรดไขมันโอเมก้า-3 เพื่อเสริมสร้างสุขภาพหัวใจ สมอง และระบบภูมิคุ้มกัน แต่ไม่มีวิตามินเอและดีในปริมาณสูง
- น้ำมันตับปลา (Cod Liver Oil): เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมวิตามินเอและดี นอกจากการได้รับกรดไขมันโอเมก้า-3 แต่ควรระวังการบริโภคในปริมาณมากเนื่องจากอาจเสี่ยงต่อการได้รับวิตามินเกิน
คุณสมบัติ | น้ำมันปลา (Fish Oil) |
น้ำมันตับปลา (Cod Liver Oil)
|
แหล่งที่มา | ปลาทะเลน้ำลึก เช่น แซลมอน แมคเคอเรล ซาร์ดีน | ตับของปลาคอด |
กรดไขมันโอเมก้า-3 | มี DHA และ EPA สูง |
มี DHA และ EPA แต่ต่ำกว่าน้ำมันปลา
|
วิตามินเอ | ปริมาณน้อย | ปริมาณสูง |
วิตามินดี | ปริมาณน้อย | ปริมาณสูง |
ประโยชน์ต่อหัวใจ | ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด |
ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด แต่เน้นไปที่ประโยชน์จากวิตามิน
|
ประโยชน์ต่อสมอง | ส่งเสริมสุขภาพสมองและระบบประสาท |
ส่งเสริมสุขภาพสมองและระบบประสาท
|
ประโยชน์ต่อกระดูก | มีบางส่วนจากโอเมก้า-3 |
วิตามินดีช่วยเสริมกระดูก
|
ประโยชน์ต่อระบบภูมิคุ้มกัน | ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน |
ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันจากวิตามินเอและดี
|
ความเสี่ยงจากการบริโภคเกิน | ค่อนข้างต่ำ |
เสี่ยงต่อการได้รับวิตามินเอเกิน ซึ่งอาจเป็นพิษต่อร่างกาย
|