bloating-treatment-causes

ท้องอืดกินอะไรหาย วิธีรักษาโรคท้องอืด

ท้องอืด หนึ่งในอาการยอดฮิตที่คนเป็นกันบ่อย ๆ แม้จะไม่ร้ายแรง แต่ก็สร้างความรำคาญได้ ท้องอืดมักมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม หรือเกิดจากการที่ระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มที่ บทความนี้จะพามารู้จักกับสาเหตุ วิธีบรรเทารักษา และการป้องกันท้องอืด เพื่อให้ทุก ๆ คนรับมือกับอาการนี้ได้อย่างเหมาะสม

ท้องอืด เป็นอย่างไร  

อาการท้องอืด (Bloated stomach) คือ ภาวะที่ระบบย่อยอาหารมีลมหรือแก๊สเยอะเกินไปจนทำให้รู้สึกแน่นท้อง โดยอาการจะแสดงออกบริเวณกลางท้องส่วนบน อยู่ระหว่างใต้ลิ้นปี่และเหนือสะดือ

อย่างไรก็ตาม ถ้ามีอาการท้องอืดต่อเนื่องนาน ๆ โดยไม่มีสาเหตุ ก็ควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยสาเหตุของอาการ 

ท้องอืด เกิดจากอะไร 

สาเหตุของโรคท้องอืดที่พบบ่อย มีดังนี้

  1. แก๊สและอากาศ

หลาย ๆ พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหาร ดื่มน้ำ สูบบุหรี่ หัวเราะ หรือพูดคุย ต่างก็มีการกลืนอากาศเข้าไปด้วย ซึ่งร่างกายจะขับออกด้วยการเรอ หรือการผายลม

แต่เมื่อไรที่กลืนอากาศเข้าไปมากกว่าปกติ ก็จะทำให้ลมเข้าท้องจำนวนมาก จนอาจก่อให้เกิดอาการท้องอืด อีกทั้งยังมีอาการสะอึกร่วมด้วย

  1. สาเหตุทางการแพทย์
  • โรคในระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ แผลในกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารอักเสบ มะเร็งกระเพาะอาหาร พยาธิในทางเดินอาหาร และลำไส้อุดตัน
  • ลำไส้เคลื่อนไหวน้อยกว่าปกติ ในผู้ป่วยบางโรค เช่น โรคเบาหวาน โรคไทรอยด์ โรคระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
  • ผู้ป่วยที่มีลำไส้ไวต่อการกระตุ้น แม้ว่าลมหรือแก๊สในลำไส้จะมีไม่มาก
  • ยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวดหรือลดอักเสบ ยานอนหลับ ยากล่อมประสาท ยาปฏิชีวนะบางอย่าง
  1. ปัจจัยอื่น ๆ
  • แบคทีเรียในกระเพาะอาหารเจริญเติบโตมากเกินไป
  • ความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในภาวะก่อนมีประจำเดือนของผู้หญิง
  • เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม เช่น เหล้า เบียร์
  • การสูบบุหรี่
  • การรับประทานอาหารที่ย่อยยาก มีเส้นใยมาก หรืออาหารที่มีส่วนประกอบของนม
  • การรับประทานอาหารรสจัด
  • ภูมิแพ้อาหาร

ท้องอืด อาการเป็นแบบไหน 

ท้องอืด จะทำให้รู้สึกแน่นท้อง จุกเสียด ตึงท้อง ถ้ามีลมหรือแก๊สในกระเพาะอาหาร เมื่อเรอออกมาก็จะส่งกลิ่นเหม็นเปรี้ยว บางช่วงจะมีอาการแสบร้อนบริเวณหน้าอกเหนือลิ้นปี่ บางคนอาจรู้สึกอิ่มเร็วกว่าปกติ และมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย

ท้องอืด รักษาได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง

  • เคลื่อนไหวร่างกายเมื่อมีอาการจุกเสียด เมื่อรู้สึกจุกเสียดในท้อง ให้ลองเคลื่อนไหวร่างกาย โดยอาจเลือกวิธีเดินช้า ๆ เพื่อกระตุ้นให้กระเพาะอาหารและลำไส้ทำงานจนขับลมออกมา
  • ดื่มน้ำอุ่น กรณีที่ท้องอืดเพราะมีกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไป การดื่มน้ำอุ่นจะช่วยเจือจางกรดและบรรเทาอาการท้องอืดได้ นอกจากนี้ น้ำอุ่นยังช่วยคลายอาการปวดเกร็งกล้ามเนื้อช่วงท้อง ทำให้รู้สึกสบายตัวขึ้นด้วย 
  • ดื่มน้ำสมุนไพร โดยน้ำสมุนไพรที่ช่วยบรรเทาอาการได้ ได้แก่ น้ำขิง เพราะขิงมีฤทธิ์ร้อน เมื่อดื่มแล้วจะช่วยขับลม และช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ทำให้อาการท้องอืดบรรเทาลงได้ นอกจากนี้อาจลองดื่มน้ำตะไคร้ ชาคาโมมายล์ (Chamomile tea) หรือชาเปปเปอร์มินต์ (Peppermint Tea) ก็ได้

10 วิธีรักษาอาการท้องอืด 

  1. เพิ่มอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง

รับประทานผักผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น กล้วย มะม่วง แคนตาลูป มะเขือเทศ และผักโขม เพราะโพสแทสเซียมนั้นมาพร้อมกับกรดอะมิโนที่ช่วยในการย่อยสลาย และยังใช้เป็นยาถ่ายได้ด้วย

  1. เพิ่มอาหารที่มีแคลเซียมและแมกนีเซียมสูง

สำหรับสาว ๆ ทุกช่วงวัย อาการท้องอืดก็อาจเกิดจากประจำเดือนได้ โดยงานวิจัยพบว่า สารอาหารกลุ่มแคลเซียมและแมกนีเซียมจะช่วยบรรเทาอาการท้องอืดจากรอบเดือนได้ ซึ่งพบได้มากในนมและไข่นั่นเอง

  1. เพิ่มอาหารที่มีโพรไบโอติก

โพรไบโอติก คือสารอาหารชนิดหนึ่งที่พบได้มากในโยเกิร์ต มีประโยชน์ในการไล่ลมและการขับถ่าย ถ้าอาการท้องอืดที่กำลังเป็นอยู่นั้นเกิดจากอาหารไม่ย่อย หรือการไม่ได้ขับถ่ายอย่างสม่ำเสมอ โยเกิร์ตสักถ้วยก็เป็นทางออกที่ดีนะ 

  1. ลองนวดเบา ๆ

นอกจากการรับประทานอาหารดี ๆ แล้ว การนวดไล่ลมยังช่วยบรรเทาอาการท้องอืดได้ 

เริ่มจากการกดนิ้วมือลงไปที่บริเวณเหนือสะโพกเล็กน้อย ค่อย ๆ ลูบขึ้นไปจนถึงซี่โครง จากนั้นลูบวนลงมาที่บริเวณท้องน้อย แล้วกลับไปเริ่มต้นที่จุดเดิมอีกรอบ ทำแบบนี้เป็นประจำ ก็จะพอช่วยรักษาอาการท้องอืดให้ทุเลาลงได้ 

  1. เคลื่อนไหวร่างกายบ่อย ๆ

การท้องอืดจากอาหารตกค้างภายในกระเพาะนั้นแก้ไขได้ด้วยการเคลื่อนไหวร่างกาย อาจจะออกไปเดินอย่างน้อย 15–20 นาที เพราะการนั่งติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ จะทำให้อาหารเดินทางผ่านลำไส้ได้ยาก ส่งผลให้เกิดอาการท้องอืดนั่นเอง

  1. ลดอาหารที่ก่อให้เกิดแก๊ส

อาการท้องอืดอาจเกิดจากการที่มีแก๊สในกระเพาะอาหารเป็นจำนวนมาก จึงควรหลีกเลี่ยงอาหารกลุ่มที่ก่อให้เกิดแก๊สเพิ่มมากขึ้นไปอีก ก็คือ เนื้อสัตว์กลุ่มเนื้อแดง (หมู เนื้อ และไก่) และผักบางชนิด เช่น ถั่ว หัวหอม บร็อคโคลี่ กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำปลี และถั่วงอก

  1. เลี่ยงเครื่องดื่มอัดลมและแอลกอฮอล์

นอกจากอาหารบางกลุ่มแล้ว เครื่องดื่มอัดลม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหลาย ก็จะก่อให้เกิดแก๊สส่วนเกินในกระเพาะอาหารและลำไส้ได้อีกเช่นกัน 

การดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้ในขณะที่ท้องอืดจะทำให้รู้สึกแน่นตึงในช่วงท้อง จนอาจรู้สึกได้ว่าท้องยื่นออกมาผิดปกติ จึงควรดื่มในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น 

  1. ลดอาหารจำพวกแป้งแปรรูป

อาหารจำพวกแป้งแปรรูป เช่น ขนมปัง เส้นพาสต้า และเส้นขนมจีน จะดูดซึมและกักตุนน้ำไว้ในตัวได้เป็นอย่างดี เกิดการขยายตัวในกระเพาะอาหาร เราก็เลยจะรู้สึกแน่นกว่าเดิม จึงควรลดการรับประทานลง 

  1. หลีกเลี่ยงสารเพิ่มความหวานสังเคราะห์

หลายคนมักประสบปัญหาในการย่อยสารเพิ่มความหวานสังเคราะห์หรือ “น้ำตาลเทียม” ทำให้รู้สึกเหมือนมีแก๊สในร่างกาย หรือเกิดอาการท้องเสีย

หากมีอาการเหล่านี้ ให้ลองเลี่ยงอาหารที่มีฉลากแปะไว้ว่า “ปราศจากน้ำตาล (Sugar free)” เช่น หมากฝรั่ง ลูกอมดับกลิ่นปาก หรือเครื่องดื่มต่าง ๆ ถ้าอยากอะไรหวาน ๆ ความหวานที่ได้จากธรรมชาติอย่างน้ำผึ้งหรือน้ำตาลนั้นเป็นมิตรต่อสุขภาพมากกว่าแน่นอน

  1. ลดการเคี้ยวหมากฝรั่ง

หมากฝรั่ง ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ก่อให้เกิดอาการท้องอืดได้ เพราะการเคี้ยวหมากฝรั่ง จะทำให้มีลมเข้าไปในท้องเป็นจำนวนมาก จึงควรลดการเคี้ยวลง 

12 วิธีป้องกันอาการท้องอืด

  1. หลีกเลี่ยงการนอนหลังรับประทานอาหาร

ถ้าไม่อยากแน่นท้อง ควรหลีกเหลี่ยงการนอนหลังรับประทานอาหารเสร็จทันที เพราะจะทำให้กรดไหลย้อนขึ้นได้ง่าย ส่งผลให้เกิดอาการจุกเสียด แน่นท้อง และท้องอืดได้

  1. รับประทานทานอาหารมื้อเย็นให้เร็วขึ้น

หลาย ๆ คนมักติดรับประทานอาหารเย็นตอนดึก ๆ แต่จริง ๆ แล้ว ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการรับประทานอาหารมื้อเย็น ควรอยู่ในช่วง 2–3 ชั่วโมงก่อนเข้านอน เพื่อลดการเกิดอาการกรดไหลย้อน 

แต่ถ้าขยับเวลาแล้วก็ยังท้องอืดอยู่ ลองขยับเวลาอาหารมื้อเย็นให้เร็วขึ้นอีกราว ๆ 1–2 ชั่วโมง

  1. หลีกเลี่ยงการเคี้ยวหมากฝรั่งในปริมาณมาก

หมากฝรั่งมักมีส่วนผสมของน้ำตาลเทียม เช่น ไซลิทอล (Xylitol) และซอร์บิทอล (Sorbitol) ซึ่งน้ำตาลชนิดนี้จะดึงน้ำเข้ามาในลำไส้ และทำให้เกิดแก๊ส จึงก่อให้เกิดอาการท้องอืดขึ้น

  1. หมั่นเดินเล่นหลังรับประทานอาหาร

การเดินเล่นประมาณ 5–10 นาทีหลังรับประทานอาหารแต่ละมื้อ จะช่วยป้องกันอาการท้องอืดได้ เพราะเป็นวิธีที่ช่วยกระตุ้นให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

  1. รักษามาตรฐานน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์

ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน หรือเป็นโรคอ้วน มักมีความดันในช่องท้องมากกว่าคนทั่วไป ซึ่งความดันในช่องท้องนี่เองที่จะก่อให้เกิดอาการกรดไหลย้อน แน่นท้อง จุกเสียดได้ จึงควรดูแลน้ำหนักให้พอเหมาะพอดีอยู่เสมอ 

  1. หลีกเลี่ยงเสื้อผ้าที่คับ

การสวมใส่เสื้อผ้าที่คับเกินไปจะส่งผลให้เกิดอาการท้องอืดได้ง่าย โดยเฉพาะการสวมใส่กางเกง หรือกระโปรงที่รัดเข็มขัดแน่นจนเกินไป จะเป็นการเพิ่มความดันภายในช่องท้อง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดกรดไหลย้อนนั่นเอง

  1. งดสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มบางชนิด

การสูบบุหรี่ รวมถึงการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน แอลกอฮอล์ โซดา หรือน้ำอัดลม จะก่อให้เกิดกรดในกระเพาะมากขึ้น จนทำให้รู้สึกระคายเคืองกระเพาะอาหารได้ อีกยังส่งผลให้แก๊สในทางเดินอาหารเพิ่มขึ้นด้วย

  1. ควบคุมปริมาณการรับประทานอาหารให้เหมาะสม

การรับประทานอาหารปริมาณมาก จะกระตุ้นให้เกิดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น ดังนั้น ควรควบคุมปริมาณการรับประทานให้เหมาะสม และเคี้ยวอาหารให้ละเอียดทุกครั้งเพื่อป้องกันอาการท้องอืด

  1. เลี่ยงการรับประทานผักดิบ

แม้ว่าพืชผักใบเขียวมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ผักบางชนิด โดยเฉพาะตระกูลกระหล่ำเช่น กะหล่ำปลี บรอกโคลี กะหล่ำดอก ก็อาจทำให้ท้องอืดได้เช่นกัน เพราะมี “สารแรฟฟิโนส (Raffinose)” ซึ่งเป็นสารน้ำตาลที่ระบบทางเดินอาหารของมนุษย์ไม่สามารถย่อยได้ จึงทำให้สารดังกล่าว

เมื่อถูกลำเลียงต่อไปยังลำไส้ใหญ่ และถูกย่อยโดยแบคทีเรียภายในลำไส้แล้ว ระหว่างนั้น กากอาหารจากผักตระกูลนี้ก็จะเกิดการหมักหมมเป็นแก๊ส และทำให้เกิดอาการท้องอืดตามมา

  1. ลดการดื่มนม

ปกติแล้ว ผู้คนจากแถบเอเชียมักจะไม่มีน้ำย่อยที่ใช้ย่อยนมได้ หรือถ้ามี ก็มีในปริมาณน้อย จึงทำให้ดื่มนมแล้วท้องเสียหรืออาหารไม่ย่อย 

หากมีอาการท้องอืดเป็นประจำหลังจากดื่มนม หรือรับประทานอาหารที่มีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับนม ให้ลองงด หรือบริโภคทีละน้อย ๆ แทน เพื่อให้ทางเดินอาหารค่อย ๆ ปรับตัว

  1. พยายามไม่เครียดจนเกินไป  

ความเครียดมักจะกระตุ้นให้กระเพาะอาหารเกิดการหลั่งกรดมากกว่าปกติ และทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ เช่น ดูดซึมอาหารได้น้อยลง จนปริมาณเลือดและออกซิเจนเข้าไปหล่อเลี้ยงกระเพาะต่ำลง จึงก่อให้เกิดอาการท้องอืด

  1. ระมัดระวังการเลือกซื้อยาแก้ท้องอืด

ยาแก้อาการท้องอืดนั้นหาซื้อได้ตามร้านขายยา หรือร้านสะดวกซื้อต่าง ๆ แต่ยาบางชนิดก็อาจส่งผลข้างเคียงได้ เช่น ทำให้คลื่นไส้ อาเจียน อิ่มเร็วกว่าปกติ หรือจุกเสียดบริเวณเหนือลิ้นปี่ หากเกิดผลข้างเคียงดังกล่าว ควรรีบพบแพทย์ให้เร็วที่สุด

ท้องอืด ใช้ยาอะไรดี 

ยาที่ใช้รักษาอาการท้องอืดมีหลายชนิด เช่น ยาธาตุน้ำแดง ยาธาตุน้ำขาว และยาลดกรดในกระเพาะ แต่ละตัวจะออกฤทธิ์แตกต่างกัน จึงควรเลือกให้เหมาะสมกับสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ ดังนี้

  • ยาขับลม ทำหน้าที่ขับลมในกระเพาะและลำไส้ ได้แก่ น้ำมันหอมระเหย (Peppermint oil)และ ไซเมทิโคน (Simethicone)
  • ยาช่วยย่อย เป็นยาที่มีส่วนประกอบของเอนไซม์ช่วยย่อย ได้แก่ อะไมเลส (Amylase)
  • ยาลดกรด เป็นยาที่ช่วยปรับสภาพความเป็นกรดภายในกระเพาะอาหาร ให้มีความเป็นกลางมากขึ้น ได้แก่ อะลูมิเนียมไฮดรอกไซด์ (Aluminum Hydroxide) โซเดียมไบคาร์บอเนต (Sodium Bicarbonate) และ แมกนีเซียม ไฮดอกไซต์ (Magnesium Hydroxide)
  • ยาลดอาการปวดเกร็งในท้อง ได้แก่ ไฮออสซีน บิวทิลโบรไมด์ (Hyoscine-N-Butylbromide)

ถ้ารับประทานยาที่ซื้อมาในเบื้องต้นแล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยที่ละเอียดกว่าแทน

อาการท้องอืด มักเกิดจากพฤติกรรมไม่เหมาะสมเป็นหลัก หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ก็จะช่วยให้อาการดีขึ้นได้ เช่น ควบคุมปริมาณอาหารในแต่ละมื้อ ไม่รับประทานอาหารรสจัด เคลื่อนไหวร่างกายบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงความเครียด และพักผ่อนเพียงพอ 

หากมีอาการท้องอืดเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง โดยอาจเกิดจากลำไส้ไวต่อสิ่งกระตุ้น หรือภูมิแพ้อาหารแฝงก็ได้ 


ท้องอืดเรื้อรัง แก้ทุกทางแล้วก็ไม่หาย ลองเข้ามาดูแพ็กเกจตรวจภูมิแพ้อาหารแฝง (Food Intolerance Test) ที่ HDmall.co.th รวบรวมไว้ได้ จองง่าย ได้คิวไว ใกล้บ้าน ครบจบที่นี่ที่เดียว!


ตรวจสอบความถูกต้องโดย ทีมแพทย์ HD

Scroll to Top