5 วิธีแก้ปัญหาสายตาสั้น ยาว เอียง อยากเห็นภาพคมชัด

5 วิธีแก้ปัญหาสายตาสั้น ยาว เอียง อยากเห็นภาพคมชัด ควรเลือกวิธีไหนดี?

วิธีแก้ปัญหาด้านสายตานั้นมีอยู่หลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีจุดเด่นหรือข้อจำกัดที่แตกต่างกัน รวมถึงมีกลุ่มผู้ที่เหมาะต่อการแก้ปัญหาด้านสายตาแต่ละแบบแตกต่างกันด้วย ลองมาเปรียบเทียบพร้อมกันว่า วิธีปรับค่าสายตาแบบไหนตอบโจทย์คุณมากที่สุด 

สารบัญ

1. การปรับค่าสายตา ด้วยการใส่แว่นสายตา

การใส่แว่นสายตาคือ การปรับการมองเห็น โดยใช้เลนส์ช่วยเสริมการมองเห็น ให้คมชัดยิ่งขึ้น ซึ่งชนิดของเลนส์ก็มีหลายรูปแบบ เพื่อช่วยแก้ปัญหาที่แตกต่างกันไป เช่น

  • เลนส์ชั้นเดียว (Single Vision) เป็นเลนส์แว่นตาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุด สามารถปรับการมองเห็นได้ 1 ระยะ เช่น ระยะใกล้ในผู้ที่สายตายาว หรือระยะไกลในผู้ที่สายตาสั้น 
  • เลนส์ 2 ชั้น (Bifocals) เป็นเลนส์แว่นตาที่จะแบ่งโครงสร้างเลนส์ออกเป็น 2 ส่วน จึงสามารถปรับการมองเห็นได้ 2 ระยะ โดยโครงสร้างเลนส์ส่วนบนจะช่วยปรับการมองเห็นระยะไกล และโครงสร้างเลนส์ส่วนล่างจะช่วยปรับการมองเห็นระยะใกล้ เลนส์ชนิดนี้จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสายตาทั้งสั้นและยาวร่วมกัน
  • เลนส์โปรเกรสซีฟ (Progressive Lens) เป็นเลนส์แว่นตาที่ช่วยให้มองเห็นทั้งระยะใกล้ กลาง และไกลได้อย่างไร้รอยต่อ จัดเป็นเลนส์แว่นสมัยใหม่ที่ช่วยแก้ปัญหาการมองเห็นได้ในทุกระยะ แต่อาจต้องใช้เวลาในการปรับสายตาให้ชิน ระหว่างการใส่แว่นช่วงแรกๆ

ข้อดีของการใส่แว่นสายตา

  • ค่าใช้จ่ายค่อนข้างถูก และมีตัวเลือกหลายราคา 
  • ระยะเวลาการใช้งานนาน ไม่ต้องเปลี่ยนบ่อย
  • ดูแลรักษาง่าย เพียงใช้ผ้าสะอาดเช็ด หรือใช้น้ำสะอาดล้างก็เพียงพอ
  • ช่วยป้องกันสิ่งสกปรกหรือฝุ่นละอองที่อาจปลิวเข้าดวงตาได้ในเบื้องต้น

ข้อจำกัดของการใส่แว่นสายตา

  • ต้องพกแว่นตาติดตัวตลอด 
  • ไม่คล่องตัวในบางกิจกรรม เช่น การเล่นกีฬา ดำน้ำ ว่ายน้ำ หรือกิจกรรมกลางแจ้ง
  • อาจแตกหักได้ง่าย ต้องคอยเก็บรักษา
  • หากอยู่ในที่ที่มีไอน้ำ เช่น บริเวณที่อากาศหนาวและชื้น ขณะปรุงอาหาร หรือรับประทานอาหาร จะทำให้มีฝ้าเกาะแว่นได้ ทำให้ไม่สะดวกในการมองเห็นชั่วคราว
  • ต้องเลือกเลนส์ที่เหมาะกับค่าสายตา หากเลือกเลนส์ไม่ตรงกับค่าสายตาอาจทำให้กล้ามเนื้อตาทำงานหนัก จนมีอาการปวดศีรษะ หรือปวดกระบอกตาได้

การใส่แว่นสายตาเหมาะกับใคร

  • ผู้ที่มีปัญหาด้านสายตาทุกรูปแบบ
  • ผู้ที่ไม่ได้ต้องการแก้ปัญหาด้านสายตาอย่างถาวร แต่ต้องการอุปกรณ์ช่วยเสริมการมองเห็น
  • ผู้ที่เคยทำเลสิกสำหรับแก้ปัญหาสายตาสั้น แต่มีปัญหาสายตายาวตามมาภายหลัง สามารถใช้แว่นตาช่วยเสริมการมองเห็นระยะใกล้ได้

ค่าใช้จ่ายในการใส่แว่นสายตา

แว่นสายตามีหลากหลายช่วงราคา ตั้งแต่ราคาหลักร้อยไปจนถึงหลักหมื่น ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ รวมถึงรูปแบบเลนส์ที่ผู้ใช้เลือกซื้อ

ไม่อยากใส่แว่นแล้วทำยังไงดี? อยากแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ให้ตรงจุด เลสิกคือทางออก ทักหาทีม HDcare วันนี้ พร้อมนัดคิวคุณหมอเฉพาะทาง ให้คุณปรึกษาได้อย่างละเอียด สบายใจ ไม่ต้องรอคิวนาน แถมราคาดี๊ดี มีส่วนลด คลิกเลย

2. การปรับค่าสายตา ด้วยการใส่คอนแทคเลนส์

การใส่คอนแทคเลนส์เพื่อปรับค่าสายตา คือ การใส่แผ่นพลาสติกใสบางๆ มีรูปร่างเป็นวงกลมคล้ายถ้วยขนาดเล็กลงไปที่กระจกตาเพื่อเสริมการมองเห็นให้ชัดเจน เป็นอีกตัวเลือกการปรับค่าสายตาโดยไม่ใช้วิธีผ่าตัด และยังสามารถแก้ปัญหาได้ทั้งสายตาสั้น สายตายาว และสายตาเอียง

คอนแทคเลนส์แบ่งชนิดได้ 2 แบบหลักๆ  ได้แก่ 

  • คอนแทคเลนส์แบบกึ่งแข็ง (Rigid Gas Permeable Lens: RGP) เป็นคอนแทคเลนส์เลนส์ที่มีเนื้อแข็ง แต่มีจุดเด่นด้านการใช้วัสดุพิเศษ ที่ออกซิเจนสามารถซึมผ่านเลนส์เข้าสู่กระจกตาได้ค่อนข้างดี ช่วยลดปัญหาตาแห้งระหว่างใส่คอนแทคเลนส์ได้
  • คอนแทคเลนส์แบบกึ่งนิ่ม (Soft Lens) เป็นคอนแทคเลนส์ที่มีเนื้อนิ่ม ยืดหยุ่น และอุ้มน้ำได้ดี หาซื้อได้ง่าย โดยแบ่งชนิดย่อยๆ ตามความสะดวกในการใช้งานได้อีก เช่น 
    • คอนแทคเลนส์รายวัน เป็นคอนแทคเลนส์ที่ต้องถอดและเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ทุกวัน 
    • คอนแทคเลนส์รายสัปดาห์ เป็นคอนแทคเลนส์ที่ใช้งานคู่เดิมได้เป็นระยะเวลา 1-2 สัปดาห์
    • คอนแทคเลนส์รายเดือน มีรูปแบบการใช้งานไม่ต่างกับคอนแทคเลนส์รายสัปดาห์ เพียงแต่จะต้องเปลี่ยนคอนแทคเลนส์คู่ใหม่ทุกๆ 1 เดือน

ข้อดีของการใส่คอนแทคเลนส์

  • สวมใส่ได้สะดวก สบาย มีขนาดเล็ก และใส่อยู่ด้านในดวงตา จึงไม่เกะกะใบหน้า
  • หาซื้อได้ง่าย ตามร้านแว่นทั่วไป
  • ช่วยเสริมความมั่นใจ สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการใส่แว่น 
  • ปัจจุบันมีคอนแทคเลนส์แบบสี หรือมีลวดลาย ช่วยตกแต่งสีตาได้ตามต้องการ แต่ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน เพื่อความปลอดภัย

ข้อจำกัดในการใส่คอนแทคเลนส์

  • หากทำความสะอาดได้ไม่ดีพอ หรือใส่ผิดวิธี เช่น ใส่คอนแทคเลนส์แล้วนอนหลับ อาจเสี่ยงติดเชื้อที่ดวงตา กระจกตา เยื่อตา ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นทำให้ตาบอดได้
  • สำหรับผู้ที่เริ่มใส่คอนแทคเลนส์ ต้องเรียนรู้วิธีใส่ และต้องใช้เวลาให้ตาคุ้นชินกับคอนแทคเลนส์สักระยะ
  • มีค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายอย่างสม่ำเสมอ เพราะต้องเปลี่ยนคู่ใหม่อย่างน้อยทุก 1 เดือน และยังมีอุปกรณ์เสริมอื่นๆ เช่น น้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ น้ำตาเทียม กล่องเก็บคอนแทคเลนส์ ฯลฯ
  • ไม่ควรใส่คอนแทคเลนส์นานเกิน 8 ชั่วโมง เพราะกระจกตาจะขาดออกซิเจน ส่งผลให้ตาแดง ระคายเคืองตา เพิ่มโอกาสติดเชื้อได้
  • ต้องคอยหยอดน้ำตาเทียมเสมอๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ดวงตาแห้ง
  • การใส่คอนแทคเลนส์เป็นสาเหตุที่ทำให้คุณภาพของน้ำตาเปลี่ยนแปลงไป ทำให้การไหลเวียนของน้ำตาที่กระจกตาลดลง

การใส่คอนแทคเลนส์เหมาะกับใคร

  • ผู้ที่มีค่าสายตาสั้น ยาว เอียง แต่ไม่ต้องการใส่แว่นตา
  • ผู้ที่ต้องการเสริมความมั่นใจ และความสวยงามให้กับดวงตา
  • ผู้ที่ประกอบอาชีพบางประเภท ที่ไม่สามารถใส่แว่นตาได้ หรือไม่สะดวกในการใส่แว่นตา เช่น นักกีฬา พนักงานต้อนรับสายการบิน พนักงานขายเครื่องสำอาง นักแสดง เป็นต้น

ค่าใช้จ่ายในการใส่คอนแทคเลนส์

ค่าใช้จ่ายในการเลือกซื้อคอนแทคเลนส์มักอยู่ที่ราคา 100 บาทขึ้นไปต่อคู่ ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรูปแบบคอนแทคเลนซ์ที่ผู้ใช้เลือกซื้อ และยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น น้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ ตลับใส่ น้ำตาเทียม ฯลฯ

ตื่นมาปุ๊บโลกชัดแจ๋ว ไม่ต้องใส่ๆ ถอดๆ คอนแทคเลนส์อีกต่อไป ทำเลสิก ครั้งเดียวจบ! จะสายตาสั้น ยาว เอียง ก็แก้ได้ทุกปัญหา ทักมาหาทีม HDcare เลย พร้อมให้คำแนะนำอย่างละเอียด พร้อมนัดคิวกับคุณหมอเลสิก ได้ทันที สะดวก รวดเร็ว ราคาดี คลิกเลย!

  1. วิธีการปรับค่าสายตาด้วยการทำเลสิก

การทำเลสิก (Laser In-Situ Keratomileusis: Lasik) คือ การผ่าตัดแก้ไขภาวะสายตาผิดปกติ โดยใช้เครื่องมือพิเศษผ่าตัดเปิดกระจกตาและปรับความโค้งของกระจกตาให้เหมาะสม ทำให้สายตากลับมาคมชัดอีกครั้ง สามารถแบ่งออกได้หลายเทคนิค เช่น

  • การทำเลสิกแบบ Trans PRK (Transepithelial Photorefractive Keratectomy) เป็นการทำเลสิกที่ไม่มีการใช้เครื่องมือสัมผัสโดนดวงตาแต่อย่างใด เนื่องจากแพทย์จะใช้พลังงานเลเซอร์ชื่อว่า Excimer Laser ในการผ่าตัดตั้งแต่ลอกผิวกระจกตาไปจนถึงการเจียความโค้งของผิวกระจกตาใหม่ทั้งหมด
  • การทำเลสิกแบบ SBK (Sub Bowman Keratomileusis) เป็นการทำเลสิกที่ใช้ใบมีดพิเศษในการลอกผิวกระจกตา ทำให้สามารถเก็บความหนาของผิวกระจกตาไว้ได้มากกว่าเทคนิคการทำเลสิกแบบเก่าๆ ช่วยให้สามารถปรับแก้ค่าสายตาได้ตามเป้าหมายมากขึ้น และยังช่วยลดอาการตาแห้งหลังผ่าตัดได้ดีอีกด้วย
  • การทำเลสิกแบบ Femto หรือเรียกได้อีกชื่อว่า “ทำเลสิกไร้ใบมีด” เป็นการผ่าตัดโดยใช้พลังงานเฟมโตเซคอนด์เลเซอร์ (Femtosecond Laser) ในการผ่าตัดทุกขั้นตอน ซึ่งมีจุดเด่นด้านความแม่นยำในการผ่าตัดที่เหนือระดับขึ้น และยังทำให้แผลผ่าตัดที่กระจกตาซึ่งเรียบและฟื้นตัวได้เร็วขึ้นด้วย

ข้อดีของการทำเลสิก

  • เป็นการแก้ไขปัญหาสายตาแบบถาวร หลังจากทำเลสิกแล้วก็ไม่จำเป็นต้องใส่แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์อีก นอกจากเสียจากจะมีปัญหาด้านค่าสายตาแบบอื่นตามมาในภายหลัง
  • แก้ไขปัญหาสายตาได้อย่างครอบคลุม ทั้งสายตาสั้น สายตายาว และสายตาเอียง
  • ใช้ระยะเวลาผ่าตัดไม่นาน ส่วนมากจะอยู่ที่ประมาณ 15-20 นาทีต่อดวงตา 1 ข้าง
  • เวลาพักฟื้นสั้น บางเทคนิคหลังผ่าตัดเพียง 1-2 วัน ก็สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ทันที

ข้อจำกัดของการทำเลสิก

กลุ่มผู้ที่มีข้อจำกัดในการทำเลสิก หรือจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจผ่าตัด ได้แก่

  • หญิงตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร
  • ผู้ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เนื่องจากเป็นช่วงอายุที่ค่าสายตายังไม่นิ่ง
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวที่ส่งผลต่อการหายของแผลที่กระจกตา เช่น โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคเบาหวาน โรคสะเก็ดเงิน สำหรับผู้ที่มีประวัติแผลเป็นคีลอยด์ สามารถทำเลสิกได้ แต่ต้องปรึกษาแพทย์ก่อน 
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับดวงตา เช่น โรคต้อกระจก โรคต้อหิน โรคต้อเนื้อ ภาวะจอประสาทตาเสื่อม
  • ผู้ที่มีภาวะตาแห้ง
  • ผู้ที่กระจกตาบางเกินไป กระจกตาแบน กระจกตาผิดรูป หรือมีแผลที่กระจกตา 
  • ผู้ที่มีดวงตาขนาดเล็ก อาจไม่สามารถทำเลสิกด้วยเทคนิค SBK ได้ เนื่องจากแพทย์จะไม่สามารถวางเครื่องมือแยกชั้นกระจกตาลงไปที่ดวงตาได้สนิท
  • หากมีปัญหาด้านสายตาอื่นๆ เกิดขึ้นหลังการผ่าตัด อาจยังต้องกลับมาใส่แว่นอีกครั้ง เช่น ผู้ที่ทำเลสิกรักษาสายตาสั้น แต่เมื่ออายุมากขึ้นก็มีอาการสายตายาวเข้ามาเพิ่มด้วย

ผลข้างเคียงของการทำเลสิก

อาการตาแห้ง เป็นอาการทั่วไปที่พบได้หลังการทำเลสิก โดยแก้ไขได้ด้วยการหมั่นหยอดน้ำตาเทียม นอกจากนี้หลังผ่าตัดในช่วงแรก อาจรู้สึกมองเห็นภาพไม่ชัดอยู่บ้าง หรือมองเห็นแสงไฟกระจายในเวลากลางคืน แต่หลังผ่าตัดประมาณ 1-3 เดือน อาการก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเอง

การทำเลสิกเหมาะกับใคร

  • ผู้ที่ไม่ต้องการปรับค่าสายตาด้วยการใส่แว่นหรือใส่คอนแทคเลนส์
  • ผู้ที่ต้องการรักษาค่าสายตาแบบถาวร ให้ผลลัพธ์ในการมองเห็นที่คมชัดเป็นหลักสิบปีขึ้นไป 
  • ผู้ที่ต้องการผ่าตัดเพื่อรักษาค่าสายตาที่มีอยู่หลายด้านในครั้งเดียว เช่น สายตาสั้นกับสายตายาว สายตาสั้นกับสายตาเอียง หรือทั้งสายตาสั้น สายตายาว และสายตาเอียงร่วมกัน
  • ผู้ที่มีงบประมาณในการรักษาค่าสายตา เนื่องจากการทำเลสิกเป็นการผ่าตัดที่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงกว่าทางเลือกอื่นๆ
  • ผู้ที่ต้องการประกอบอาชีพ ที่ต้องใช้สายตาและความคล่องตัว เช่น นักกีฬา เป็นต้น

ค่าใช้จ่ายในการทำเลสิก

ค่าใช้จ่ายในการทำผ่าตัดทำเลสิกจะอยู่ที่ประมาณ 30,000 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับค่าบริการของสถานพยาบาลแต่ละแห่ง รวมถึงเทคนิคการทำเลสิกที่ผู้เข้ารับบริการเลือกใช้

อยากทำเลสิก แต่ยังไม่รู้จะเริ่มต้นที่ไหน อยากปรึกษาเทคนิคทำเลสิกที่ตอบโจทย์กับตัวเอง หรือปรึกษาคุณหมอเฉพาะทาง ทักไลน์หา HDcare ที่นี่เลย

4. วิธีการปรับค่าสายตาด้วยการทำ ReLEx SMILE

การทำ ReLEx SMILE เป็นการผ่าตัดแก้ไขสายตาที่พัฒนามาจากการทำเลสิกแบบไร้ใบมีด แต่แผลจะมีขนาดเล็กกว่า ไม่มีฝาที่กระจกตา และยังช่วยคงความแข็งแรงของกระจกตาไว้ได้ 

แพทย์จะใช้พลังงานเฟมโตเซคอนด์เลเซอร์ (Femtosecond Laser) ยิงเพื่อปรับความโค้งของกระจกตา โดยจะยิงทะลุผ่านชั้นกระจกตาเข้าไป โดยไม่ต้องกรีดเปิดฝากระจกตาออก

เมื่อเลเซอร์ผ่านเข้าไปแล้ว จะแยกชั้นกระจกตาเป็นแผ่นบางๆ ซึ่งความหนาของชั้นกระจกตา จะขึ้นอยู่กับปริมาณค่าสายตาที่ต้องการแก้ไข 

หลังนั้นจะใช้เลเซอร์กรีดเปิดกระจกตาเป็นแผลเล็กๆ ขนาด 2-4 มิลลิเมตร แล้วใช้เครื่องมือพิเศษ ดึงชั้นกระจกตา ผ่านแผลออกมา กระจกตาจะถูกเปลี่ยนรูปความโค้งตามต้องการ ทำให้มองเห็นได้ชัดเจนขึ้น

ข้อดีของการทำ ReLEx SMILE

  • แผลบริเวณกระจกตามีขนาดเล็กมาก ทำให้ระยะเวลาฟื้นตัวรวดเร็วขึ้น และยังช่วยลดอาการตาแห้ง หรืออาการระคายเคืองตาหลังผ่าตัด
  • มีความแม่นยำสูงมาก 
  • ไม่มีปัญหากระจกตาเคลื่อนหลังผ่าตัด เพราะไม่มีการเปิดฝากระจกตาเหมือนเทคนิคอื่นๆ
  • สามารถแก้ไขค่าสายตาที่สั้นได้มากถึง 1,000 ไดออปเตอร์ และค่าสายตาเอียงได้ถึง 500 ไดออปเตอร์
  • ระยะพักฟื้นสั้น สามารถกลับมาใช้สายตาได้เร็ว
  • ไม่รู้สึกเจ็บ หรือเจ็บน้อยมาก ในขณะผ่าตัด

ข้อจำกัดของการทำ ReLEx SMILE

กลุ่มผู้ที่มีข้อจำกัดในการทำ ReLEx SMILE หรือจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจผ่าตัด ได้แก่

  • หญิงตั้งครรภ์และหญิงที่กำลังให้นมบุตร
  • ผู้ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เนื่องจากเป็นช่วงอายุที่ค่าสายตายังไม่นิ่ง
  • ผู้ที่มีภาวะสายตายาว ทั้งชนิดแต่กำเนิดและตามอายุ 
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวซึ่งอาจส่งผลต่อการหายดีของแผลที่กระจกตา เช่น โรคเบาหวาน โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคสะเก็ดเงิน 
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับดวงตา เช่น โรคต้อกระจก โรคต้อเนื้อ โรคต้อหิน ภาวะจอประสาทตาเสื่อม 
  • ผู้ที่มีกระจกตาบางอาจมีโอกาสผ่าตัดได้ แต่ต้องขึ้นอยู่กับการประเมินจากแพทย์อีกครั้ง
  • ผู้ที่กระจกตาแบน กระจกตาผิดรูป หรือมีแผลที่กระจกตา 

การทำ ReLEx SMILE เหมาะกับใคร

  • ผู้ที่มีปัญหาสายตาสั้นหรือเอียง หรือทั้งสั้นและเอียง
  • ผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาสายตาด้วยการผ่าตัด แต่ยังต้องการรักษาความหนาและความแข็งแรงของกระจกตาเอาไว้ให้มากที่สุด

ผลข้างเคียงจากการทำ ReLEx SMILE

หลังจากผ่าตัดในช่วงแรกๆ ผู้เข้ารับบริการอาจยังรู้สึกระคายเคืองหรือแสบตาได้บ้าง แต่อาการจะไม่รุนแรงและเป็นอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น 

ค่าใช้จ่ายในการทำ ReLEx SMILE

การทำ ReLEx SMILE จะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 90,000 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการให้บริการของแต่ละสถานพยาบาล

เหนื่อยไหม? ตื่นแต่เช้ามาใส่คอนแทคเลนส์ทุกวัน ตาแห้ง ขยี้ตาก็ไม่ได้ ใส่แว่นก็ไม่มั่นใจ มาจบทุกปัญหาด้วย การทำเลสิก ปรึกษาทีม HDcare เลือกวิธีทำเลสิกที่เหมาะกับคุณที่สุดได้เลย! คลิก

  1. วิธีการปรับค่าสายตาด้วยการทำ ICL

การทำ ICL (Implantable Collamer Lens) เป็นการผ่าตัดเพื่อใส่เลนส์แก้วตาเทียม ซึ่งเป็นวัสดุชิ้นเล็กที่รูปร่างคล้ายกับเลนส์แก้วตาลงไปด้านหน้าเลนส์แก้วตาธรรมชาติ 

เลนส์แก้วตาเทียมมีคุณสมบัติช่วยเสริมการมองเห็นในระยะที่มีปัญหาให้กลับมาคมชัดได้อีกครั้ง และยังสามารถแก้ไขได้หลายระยะ จึงแก้ภาวะสายตาผิดปกติได้อย่างครอบคลุม ทั้งสายตาสั้น สายตายาว และสายตาเอียง

นอกจากนี้เลนส์แก้วตาเทียมยังสามารถถอดออกได้ โดยไม่กระทบต่อโครงสร้างเดิมของเนื้อกระจกตาด้วย

ข้อดีของการทำ ICL

  • สามารถแก้ไขค่าสายตาได้ทั้งสายตาสั้น สายตายาว และสายตาเอียง
  • วัสดุเลนส์แก้วตาเทียมเป็นวัสดุทางการแพทย์ที่ปลอดภัย สามารถใช้ร่วมกับดวงตาของมนุษย์ได้โดยไม่เกิดปฏิกิริยาต่อต้าน
  • ไม่ได้ทำให้ผิวกระจกตาบางลง จึงเสริมทางเลือกในการผ่าตัดให้กับผู้ที่มีกระจกตาบางหรือมีภาวะตาแห้งจนไม่สามารถผ่าตัดทำเลสิกได้
  • ไม่ทำให้เกิดภาพแสงกระจายในตอนกลางคืนหลังผ่าตัด
  • สามารถถอดเอาเลนส์แก้วตาเทียมออกได้ในภายหลัง
  • หลังผ่าตัด สามารถกลับบ้านได้เลย ไม่ต้องนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาล 

ข้อจำกัดในการทำ ICL

กลุ่มผู้ที่มีข้อจำกัดในการทำ ICL หรือจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจผ่าตัด ได้แก่

  • หญิงตั้งครรภ์และหญิงที่กำลังให้นมบุตร
  • ผู้ที่อายุต่ำกว่า 18 ปีหรือค่าสายตายังไม่คงที่
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับดวงตา เช่น โรคต้อกระจก โรคต้อเนื้อ โรคต้อหิน ภาวะจอประสาทตาเสื่อม 
  • ผู้ที่เคยมีประวัติผ่าตัดที่ดวงตา ต้องแจ้งประวัติสุขภาพและประวัติการผ่าตัดให้แพทย์ทราบอย่างละเอียดเสียก่อน

ผลข้างเคียงการทำ ICL

หลังทำ ICL อาจรู้สึกระคายเคืองหรือแสบตาได้บ้าง หรืออาจมีอาการน้ำตาไหล มีอาการตาแดง ตาสู้แสงไม่ได้ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ส่วนอาการติดเชื้อนั้นมีโอกาสพบได้ค่อนข้างต่ำมาก ประมาณ 1 ใน 10,000 ราย

การทำ ICL เหมาะกับใคร

  • ผู้ที่มีกระจกตาบางหรือตาแห้งจนไม่สามารถทำเลสิกได้
  • ผู้ที่ต้องการผ่าตัดเพื่อปรับแก้สายตา แต่ไม่ต้องการสร้างแผลที่กระจกตา
  • ผู้ที่สามารถรอการผ่าตัดได้ เนื่องจากหลังตัดสินใจผ่าตัดแล้ว จะต้องรอการผลิตเลนส์แก้วตาเทียมซึ่งจะมีการสั่งตัดเลนส์พิเศษให้เป็นรายบุคคล ระยะเวลารอการผลิตอาจอยู่ที่ประมาณ 1-2 เดือนขึ้นไป

ค่าใช้จ่ายในการทำ ICL 

ค่าใช้จ่ายในการทำ ICL จะอยู่ที่ประมาณ 65,000 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับรูปแบบเลนส์แก้วตาเทียมที่เลือกใช้ ร่วมกับเงื่อนไขการให้บริการของแต่ละสถานพยาบาล

ปัญหาด้านค่าสายตานั้นสามารถแก้ไขได้หลายวิธี ทั้งแบบผ่าตัดและไม่ผ่าตัด แต่สิ่งสำคัญคือ ควรเลือกวิธีที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุด 

หากเลือกที่จะผ่าตัด ก็ควรเลือกสถานพยาบาลที่ปลอดภัย น่าเชื่อถือ ได้มาตรฐานรองรับ และผ่าตัดกับคุณหมอเฉพาะทาง ที่มีประสบการณ์ยาวนาน เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย รวมถึงมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงในภายหลังได้ต่ำที่สุดด้วย

มีปัญหาด้านสายตา อยากปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง อยากตรวจสุขภาพตา หรือเช็กราคาผ่าตัดทำเลสิก ปรึกษาทีม HDcare ได้เลย ทางแอดมินยินดีช่วยหาแพ็กเกจบริการเพื่อสุขภาพตาที่ใช่ให้กับคุณ ทั้งแพ็กเกจตรวจตา แพ็กเกจทำเลสิก หรืออยากทำนัดปรึกษาด้านสายตากับคุณหมอก่อนก็ได้เช่นกัน คลินิกที่นี่เพื่อคุยกับเรา

Scroll to Top