ยาแก้ปวดประจำเดือน มีอะไรบ้าง ข้อควรระวัง

ยาบรรเทาอาการปวดประจำเดือน ปวดท้องเมนส์ หลายท่านอาจคุ้นเคยกับ ขอซื้อยาแก้ปวดประจำเดือนเม็ดรีๆ สีเหลือง ซึ่งมียาอื่นที่สามารถทานทดแทนได้ตามคำแนะนำของเภสัชกรในร้านขายยา

ยาแก้ปวดท้องเมนส์ มีอะไรบ้าง

ยาแก้ปวดลดการอักเสบ เป็นยากลุ่ม NSAIDs (เอ็นเสด) กลุ่มยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ โดยยาออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างโพรสตาแกลนดิน จึงมีผลลดอาการปวดประจำเดือนได้ การเลือกยาจะขึ้นกับหลายปัจจัย โดยไม่มียาตัวไหนดีสุด ควรให้เภสัขกรเป็นผู้พิจารณาจากประวัติของคนทานยา และไม่ควรใช้ยาร่วมกับผู้อื่น เพราะบางคนอาจแพ้ยาบางตัว

ชื่อยากลุ่ม NSAIDs (ไม่ใช่ชื่อทางการค้า) ที่นิยมใช้ดังนี้

  • Ibuprofen
  • Mefenamic acid
  • Naproxen sodium
  • Celecoxib

ยาแก้ปวดประจำเดือนที่นิยมใช้ มี ibuprofen หรือ ยาแก้ปวดประจำเดือนเม็ดรีๆ สีเหลือง (ยากลุ่ม Mefenamic acid) สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดที่มดลูกได้ ควรรับประทานยาทันทีที่เริ่มมีอาการปวด โดยปกตินิยมทาน 1-2 วันก่อนมีประจำเดือน

หากหลังทานยาไปหลายวันยังคงมีอาการปวด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีอื่นในการรักษา

วิธีลดปวดประจำเดือนโดยไม่ใช้ยา

  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • ใช้กระเป๋าน้ำร้อนวางที่หน้าท้อง หรือเอวด้านหลัง บรรเทาอาการปวด
  • รับประทานน้ำขิง
  • เลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน, งดดื่มแอลกอฮอล์ และหยุดสูบบุหรี่

 

คำถามเกี่ยวกับ ยาแก้ปวดท้องเมนส์

หลังกินยาแก้ปวดท้องประจำเดือน ใจสั่นแน่นหน้าอก

เมื่อวานได้ทานยาแก้ปวดท้องประจําเดือนเมนนอกซ์ ประมาณ 4 ทุ่ม มีอาการใจสั่นแน่นหน้าอกค่ะ จนตอนนี้ใจยังสั่นเป็นบางเวลา อยากถามว่า เป็นอันตรายอะไรไหมคะถ้าเป็นแนะนำควรเป็นตัวคุณหมอด้านไหนค่ะ

โดยปกติแล้วการรับประทานยาแก้ปวดประจำเดือนจะไม่ทำให้เกิดอาการใจสั่นแน่นหน้าอกครับ

การมีอาการใจสั่นแน่นหน้าอกนั้นอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคหอบหืด ไทรอยด์เป็นพิษ น้ำตาลในเลือดต่ำ มีภาวะโลหิตจางจากการขาดประจำเดือน การนอนหลับพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ และความเครียด

ในกรณีที่มีอาการใจสั่นมากหมอก็แนะนำว่าควรไปพบแพทย์อายุรกรรมเพื่อตรวจประเมินอาการเพิ่มเติมให้ทราบสาเหตุที่แน่ชัดก่อนเพื่อที่จะได้ให้การรักษาได้อย่างเหมาะสมครับ

ตอบโดย นพ. กันตณัฏฐ์ อยู่ตรีรักษ์

กินยาแก้ปวดท้องประจำเดือน หลายชนิดก็ไม่หายปวด

คุณหมอคะ ดิฉันปวดประจำเดือนทุกๆ เดือน กินยาไม่หาย (ทั้งพอนสแตน ยาแก้ปวดเม็ดสีชมพู ยาแก้ปวดเม็ดสีฟ้าใสๆก็ไม่หาย) พอจะมียาอื่นแนะนำมั้ยคะที่หาซื้อตามร้านขายยาได้ แล้วถ้าไปหาหมอจำเป็นต้องตรวจภายในด้วยมั้ยคะ

อาการปวดประจำเดือนมักเกิดจากเลือดประจำเดือนไหลออกมาไม่ทัน หรือออกมาไม่สะดวกจึงทำให้เกิดเลือดคั่งในโพรงมดลูก
กล้ามเนื้อมดลูกจึงพยายามบีบรัดตัวเพื่อเป็นการขับเลือดออกมา ทำให้เกิดอาการเจ็บปวด วิธีการรักษาเบื้องต้นคือ นอนพัก รับประทานยาเเก้ปวด วางกระเป๋าน้ำร้อนที่หน้าท้องช่วยคลายกล้ามเนื้อมดลูก หรือออกไปเดินเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด จะพอช่วยได้ครับ

แต่หากอาการปวดเป็นมากจนทำงานไม่ไหว ร่วมกับมีอาการอื่น เช่น ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ อาจคิดถึงภาวะปวดประจำเดือนที่มีสาเหตุจำเพาะ (Secondary dysmenorrhea) เช่น เนื้องอกมดลูก เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ เป็นต้นครับ ซึ่งควรไปพบสูตินรีเเพทย์ เพื่อตรวจภายใน หรือ อัลตร้าซาวด์ เพิ่มเติมครับ

การตรวจภายในไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดครับ คุณหมอจะเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมกับผู้ป่วยเเต่ละคน เเละตรวจตามความจำเป็นครับ

ตอบโดย นพ. วชิรวิทย์ สุทธิศักดิ์

แพ้ยาแก้ปวดท้องเมนส์ กินยาอื่นจะอันตรายไหม

แพ้ยาแก้ปวดท้องปจด.แต่ว่าปวดท้องมากๆ เลยไปร้านขายยาแจ้งอาการและยาที่แพ้เเล้ว หมอเลยให้ยาตัวนี้มาทาน (คาพีร็อกซ์-10) ทานไปแล้วจะมีผลข้างเคียงที่อันตรายมั้ยคะ กินไปประมาณ 3 ครั้งเเล้วเพราะอ่านรายละเอียดเลยเริ่มไม่แน่ใจ เคยแพ้ยาเม็ดรีๆ สีเหลืองกับไอบูโพรเฟนค่ะ

ยาคาพีร็อกซ์มีส่วนประกอบสำคัญเป็นตัวยา Piroxicam ยานี้เป็นยาในกลุ่มยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ หรือ NSAIDs ซึ่งเป็นยาในกลุ่มเดียวกับยาแก้ปวดประจำเดือนเม็ดรีๆ สีเหลือง ผลข้างเคียงของยา 2 ชนิดนี้จึงมีความใกล้เคียงกัน เช่น ยาอาจกัดกระเพาะทำให้มีแผลในกระเพาะอาหารได้โดยเฉพาะถ้ารับประทานในช่วงท้องว่าง ยาอาจมีผลทำให้เกิดอาการไตวายเฉียบพลันได้ถ้ารับประทานยาติดต่อกันเป็นเวลานานหลายวัน

ถ้าหากเคยแพ้ทั้งยา Ibuprofen และ ยาเม็ดรีๆ สีเหลืองในกลุ่ม Mefenamic acid มาก่อน ก็ต้องเฝ้าระวังการแพ้ยาคาพีรอกซ์อย่างใกล้ชิดครับ เพราะยานี้เป็นยาในกลุ่มเดียวกับยาทั้ง 2 ตัวข้างต้นจึงอาจแพ้ร่วมกันได้ และอาการแพ้ในลักษณะที่มีตาบวมหายใจไม่สะดวกก็อาจเป็นลักษณะของอาการแพ้แบบรุนแรงได้ทำให้ยิ่งต้องเฝ้าระวังอาการแพ้เป็นพิเศษครับ

อย่างไรก็ตามถ้าหากรับประทานยาไป 3 ครั้งแล้วยังไม่มีอาการแพ้เกิดขึ้นก็มีโอกาสที่จะรับประทานยาต่อได้โดยไม่แพ้ยาครับ แต่ในช่วง 7 วันหลังรับประทานยาครั้งแรกหมอก็แนะนำว่าควรเฝ้าระวังอาการแพ้อย่างใกล้ชิดก่อน ถ้าหากมีผื่นขึ้น ปากบวม ตาบวม หอบเหนื่อยก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินอาการในทันทีครับ

ตอบโดย นพ. กันตณัฏฐ์ อยู่ตรีรักษ์


บทความที่เกี่ยวข้อง

คำถามสุขภาพที่พบบ่อย

Scroll to Top