หลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhagic stroke) เป็นรูปแบบหนึ่งของโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ที่ต้องรีบพาผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันทีที่เกิดอาการอย่างฉับพลัน เนื่องจากมีโอกาสทำให้เสียชีวิตได้ นอกจากนี้ โรคหลอดเลือดสมองยังพบได้มากในประเทศไทย จนเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตในอันดับต้นๆ ของประเทศเลยทีเดียว
หลอดเลือดสมองแตกมักมีสาเหตุมาจากภาวะความดันโลหิตสูง ประกอบกับหลอดเลือดบริเวณนั้นเปราะบางหรือแข็งตัว จนแตกออก ทำให้เลือดออกในสมอง ส่งผลให้เนื้อเยื่อในสมองถูกทำลาย จนทำให้การทำงานของสมองหยุดชะงักลง
สารบัญ
อาการของภาวะหลอดเลือดสมองแตกเป็นอย่างไร
เมื่อผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเกิดภาวะหลอดเลือดสมองแตก ก็มักจะมีอาการดังต่อไปนี้ และอาการจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลันและรวดเร็วมาก
- ปวดศีรษะ
- คลื่นไส้อาเจียน
- หมดสติ
- ในผู้ป่วยบางรายอาจไม่มีอาการปวดใดๆ แต่จะมีระดับความรู้สึกตัวต่ำ แขนและขาอ่อนแรง พูดไม่ชัดหรืออาจจะถึงขั้นพูดไม่ได้เลย
สำหรับผู้ป่วยบางราย อาจมีประวัติศีรษะกระแทกก่อนจะมีอาการ จึงทำให้เข้าใจผิดว่ามีเลือดออกในสมองจากอุบัติเหตุ แต่ที่จริงแล้ว สาเหตุอาจเกิดจากหลอดเลือดสมองแตกทำให้เลือดออกในสมองจนทำให้เกิดอุบัติเหตุ และมีอาการทางสมองตามมาก็ได้
ส่วนในผู้ป่วยรายที่มีภาวะสมองขาดเลือดแบบชั่วคราว (Transient Ischemic Attack: TIA) ก็อาจมีอาการเตือนขึ้นมาชั่วคราว เช่น เวียนหัว มองเห็นภาพซ้อน มีปัญหาเรื่องความจำ กล้ามเนื้ออ่อนแรง แล้วอาการก็จะหายไปเอง ภายใน 1 วัน อาการเตือนก็สามารถเกิดขึ้นได้หลายครั้งด้วย ก่อนที่ร่างกายจะแสดงอาการสมองขาดเลือดแบบถาวรขึ้นมา
ดังนั้น เมื่อผู้ป่วยมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น ให้ผู้ดูแลรีบพาผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยด่วน เนื่องจากภาวะหลอดเลือดสมองแตกถือว่าเป็นอาการที่รุนแรงมาก และต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที มิเช่นนั้นอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ นอกจากนี้ หลอดเลือดสมองแตกยังเป็นสาเหตุของอาการอัมพฤกษ์และอัมพาตได้อีกด้วย ผู้ป่วยจึงต้องมีผู้ดูแลอย่างใกล้ชิดและคอยสังเกตอาการอยู่ตลอดเวลา
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยเส้นเลือดในสมองแตกมักมาจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวันบางอย่าง เช่น
- ไขมันในเลือดสูง
- โรคอ้วน
- ดื่มเหล้าและสูบบุหรี่จัดเป็นประจำ
- โรคความดันโลหิตสูง
- โรคเบาหวาน
- โรคหัวใจ
อย่างไรก็ตาม โรคประจำตัวที่กล่าวมาข้างต้นยังถือว่าเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ ถ้าได้รับการดูแลเอาใจใส่มากพอ แต่หากผู้ป่วยปล่อยปละละเลยไม่ทำการรักษาหรือควบคุมอาการให้ดี โรคดังกล่าวก็อาการที่รุนแรงขึ้นและลุกลามหนักกว่าเดิม ส่วนปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่ผู้ป่วยไม่สามารถหลีกเลี่ยงและควบคุมได้คือ อายุที่สูงวัยขึ้น พันธุกรรม เชื้อชาติ
วิธีทดสอบว่าตนเองมีอาการของโรคหลอดเลือดสมองหรือไม่
หากคุณพบว่าคนใกล้ชิดมีอาการอ่อนแรง หรืออัมพฤกษ์อัมพาต อาการชา พูดไม่ชัด ตาพร่ามัว เดินเซ หรือซึมหมดสติ ให้รีบพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็กอาการทันที เพราะผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองส่วนมากมักจะไม่ค่อยรู้ตัวว่าตนเองเป็นโรคนี้ และจะรู้อีกทีเมื่อเป็นโรคในระยะที่อันตรายต่อชีวิตไปแล้ว
นอกจากนี้ หากคุณพบว่าตนเองมีอาการที่น่าสงสัยของโรคหลอดเลือดสมอง ให้ลองทำ “การทดสอบเอสทีอาร์” (STR) ซึ่งเป็นการทดสอบที่ย่อมาจากการแสดงท่าทาง 3 ข้อคือ
- ให้ผู้ป่วยทดลองยิ้ม (Smile) : หากผู้ป่วยไม่มีอาการยิ้มแล้วปากเบี้ยวไปด้านใดด้านหนึ่ง หรือยิ้มได้ยาก ก็แสดงว่าปกติดี
- ให้ผู้ป่วยพูดประโยคให้สมบูรณ์ (Talk) : เช่น ให้ผู้ป่วยลองพูดว่า “วันนี้ทานข้าวแล้วหรือยัง” หากผู้ป่วยสามารถพูดได้ไม่มีผิดเพี้ยนไปจากปกติ ลิ้นไม่พันกัน แสดงว่าปกติดี
- ให้ยกแขนทั้ง 2 ข้างขึ้น (Raise) : หากผู้ป่วยยกได้ ไม่รู้สึกว่ายากหรือยกไม่ขึ้น ก็แสดงว่าปกติดี
และอีกอาการที่ผู้ดูแลต้องสังเกตและไม่ควรมองข้ามคือ ลองให้ผู้ป่วยแลบลิ้นออกมา ถ้าลิ้นม้วนหรือเบี้ยวไปข้างใดข้างหนึ่ง ก็แสดงว่าอาจมีอาการของโรคหลอดเลือดสมอง
การรักษา
การรักษาทางการแพทย์ จะแบ่งออกเป็น 3 วิธี
-
- การรักษาด้วยการผ่าตัด การรักษาด้วยการผ่าตัดนั้นทำในผู้ป่วยบางราย โดยการนำก้อนเลือดออกเพื่อลดความดันในกะโหลกศีรษะ ป้องกันไม่ให้มีการทำลายเนื้อเยื่อสมองไปมากกว่าเดิม
- การรักษาด้วยยา การรักษาด้วยยานั้นมีความจำเป็นเพื่อควบคุมระดับความดันโลหิต ระดับน้ำตาลในเลือด ลดความดันในกะโหลกศีรษะ และป้องกันอาการชัก
- การฟื้นฟูสมรรถภาพ ทำการรักษาในระยะยาว ด้วยการทำกายภาพบำบัดเพื่อให้ผู้ป่วยช่วยเหลือตัวเองได้ การให้ความรู้แก่ผู้ดูแล รวมถึงควบคุมปัจจัยเสี่ยงเพื่อไม่ให้เกิดหลอดเลือดสมองแตกซ้ำ
การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคหลอดเลือดสมอง
เพื่อป้องกันการเกิดหลอดเลือดในสมองแตกซ้ำ ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองจึงต้องหมั่นดูแลตนเองและระมัดระวังไม่ให้อาการของโรคกำเริบ โดยสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้ได้
- ไปตรวจเช็กสุขภาพประจำปีทุกปี และหากพบว่าตนเองมีความเสี่ยงหรือเป็นโรคหลอดเลือดสมองแล้ว ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำและทำการรักษาทันที
- รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ ห้ามหยุดยาเองโดยเด็ดขาด
- ดูแลสุขภาพของตนเองโดยควบคุมไขมัน ความดัน และน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็ม หวาน และมันจัด
- ออกกำลังกายทุกวัน วันละประมาณ 30 นาที พร้อมทั้งควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสม
- เลิกสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกฮอลล์
- ถ้ามีอาการเตือนของโรคมาก่อน แต่เกิดหายไปได้เอง ก็อย่านิ่งนอนใจและให้รีบไปพบแพทย์โดยทันที
- สำหรับผู้ป่วยที่อยู่ในการดูแลของแพทย์ด้วยโรคนี้อยู่แล้ว ก็ควรที่จะใช้ยาพร้อมทั้งทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพราะหากผู้ป่วยใช้ยาผิด ไม่มีการติดตามผลการรักษา และไม่มีผู้ดูแลคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ก็อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนและเสียชีวิตได้
นอกเหนือจากคำแนะนำข้างต้น ผู้ป่วยควรต้องดูแลสุขภาพจิตใจของตนเองให้ดีอยู่เสมอ พยายามหลีกเลี่ยงความเครียด ความวิตกกังวลและความกดดันไม่ให้มากเกินไป พร้อมทั้งใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท เพราะอาการของโรคหลอดเลือดสมองมักเกิดขึ้นอย่างฉับพลันโดยที่ไม่ทันตั้งตัว ผู้ป่วยจึงต้องลดพฤติกรรมที่ทำให้เกิดความเสี่ยงทั้งหมด เพื่อที่ร่างกายจะได้พยุงอาการของโรคได้อย่างสมดุล และเป็นการรักษาโรคอย่างตรงจุดโดยแท้จริง
ตรวจสอบความถูกต้องโดย นพ. วรพันธ์ พุทธศักดา