garlic scaled

กระเทียม (Garlic)

กระเทียม (Garlic) เป็นสมุนไพรอีกชนิดที่ได้รับความนิยมทั่วโลก เพราะสามารถนำมาปรุงอาหารให้มีรสชาติหอมอร่อยยิ่งขึ้น นอกจากนี้ กระเทียมยังสามารถใช้เป็นยารักษาอาการเจ็บป่วยต่างๆ ได้มากมาย บรรเทาและรักษาโรคได้บางชนิด แต่ก็มีบางโรคที่ห้ามกินกระเทียมเช่นกัน

สารบัญ

สรรพคุณของกระเทียมต่อโรค

กระเทียมมีประโยชน์ต่อการรักษาโรค และอาการเจ็บป่วยได้มากมาย โดยภาวะที่สามารถใช้กระเทียมมามีส่วนในการรักษาได้

1. ลดอาการหลอดเลือดแดงแข็ง

เมื่อคุณอายุมากขึ้น หลอดเลือดแดงจะสูญเสียความสามารถในการยืด และรัดตัวลง ซึ่งกระเทียมมีสรรพคุณช่วยชะลอความเสื่อมของหลอดเลือดได้ โดยให้คุณรับประทานอาหารเสริมที่มีผงกระเทียม (Allicor, INAT-Farma) 2 ครั้งต่อวัน นาน 24 เดือน อาจช่วยลดความเร็วของความเสื่อมถอยนี้ได้

2. โรคเบาหวาน

กระเทียมมีสรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดก่อนรับประทานอาหารของผู้ที่เป็น และไม่ได้เป็นเบาหวานได้ โดยเฉพาะหากรับประทานมานานอย่างน้อย 3 เดือน

3. ความดันโลหิตสูง

การรับประทานกระเทียมอาจช่วยลดตัวเลขความดันทั้ง 2 ตัวเลข ได้แก่

  • ลดความดันซิสโทลิก (Systolic blood pressure) หรือความดันโลหิตในหลอดเลือดที่เกิดขึ้นขณะที่หัวใจบีบตัว ได้ประมาณ 7-9 mmHg
  • ลดความดันไดแอสโทลิก (Diastolic blood pressure) หรือความดันของเลือดขณะที่หัวใจคลายตัว ประมาณ 4-6 mmHg

4. มะเร็งต่อมลูกหมาก

การรับประทานกระเทียมสามารถลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากได้ถึง 50% อย่างไรก็ตาม กระเทียมกับการรักษาโรคมะเร็งต่อมลูกหมากยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างแน่ชัดว่า มีประสิทธิภาพในการรักษาได้ขนาดนั้น

5. โรคกลาก

การทาเจลที่ประกอบด้วยสารอะโจอีน (Ajoene) ซึ่งเป็นเคมีจากกระเทียม 2 ครั้งต่อวัน นาน 1 สัปดาห์ อาจมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับการใช้ต้านเชื้อราที่ใช้รักษาโรคกลาก

6. โรคสังคัง

การทาเจลที่ประกอบด้วยอะโจอีน 0.6 % 2 ครั้งต่อวัน นาน 1 สัปดาห์ อาจมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับการใช้ต้านเชื้อราที่ใช้รักษาโรคสังคัง

7. น้ำกัดเท้า

การทาเจลที่ประกอบด้วยอะโจอีน 1 % 2 ครั้งต่อวัน นาน 1 สัปดาห์อาจมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับการใช้ต้านเชื้อราที่ใช้โรคน้ำกัดเท้า อีกทั้งการทาเจลกระเทียมที่มีอะโจอีน 1 % อาจมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับการใช้ยาลามิซิล (Lamisil)

โรคที่เกี่ยวข้องกับกระเทียม

  • โรคเกี่ยวกับหัวใจ และหลอดเลือด เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ ภาวะหัวใจวาย
  • โรคมะเร็งหลายชนิด เช่น โรคมะเร็งลำไส้ โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร โรคมะเร็งเต้านม โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก โรคมะเร็งปอด
  • การติดเชื้อต่างๆ เช่น เชื้อยีสต์ เชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไว้หวัด เชื้อหูด วัณโรค โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • อาการปวดต่างๆ หรืออักเสบ เช่น อาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง ปวดกล้ามเนื้อจากการออกกำลังกาย อาการปวดหัว ปวดท้อง ปวดหัว ปวดไขข้อ โรคข้อเสื่อม กระเพาะอาหารอักเสบ โรคตับอักเสบ โรคสมองอักเสบ

โรคที่ห้ามกินกระเทียม

ในบางกรณีและบางโรค ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคกระเทียมหรือควรระมัดระวัง เนื่องจากอาจทำให้อาการแย่ลงหรือส่งผลข้างเคียง

1. โรคกระเพาะอาหารและกรดไหลย้อน

กระเทียมอาจกระตุ้นให้เกิดอาการระคายเคืองในกระเพาะอาหารและหลอดอาหาร ซึ่งจะทำให้กรดไหลย้อนแย่ลง และกระเทียมมีคุณสมบัติเป็นกรด ทำให้เพิ่มความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร ส่งผลให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอกได้มากขึ้น

2. โรคลำไส้แปรปรวน

กระเทียมมีสารประกอบบางอย่างที่กระตุ้นการเกิดแก๊สในลำไส้ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการไม่สบายท้องได้ สำหรับผู้ป่วยโรคลำไส้แปรปรวน การกินกระเทียมอาจทำให้อาการท้องอืด แน่นท้อง หรือท้องเสียแย่ลง

3. ภาวะเลือดออกง่ายหรือผู้ที่ใช้ยาละลายลิ่มเลือด

กระเทียมมีฤทธิ์ในการต้านการจับตัวของเกล็ดเลือด ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดเลือดออก ดังนั้นผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่ายหรือผู้ที่รับประทานยาละลายลิ่มเลือด (เช่น วาร์ฟาริน หรือแอสไพริน) ควรระมัดระวังการบริโภคกระเทียมในปริมาณมาก เนื่องจากอาจทำให้เลือดแข็งตัวช้าลง

4. ผู้ที่มีปัญหาตับหรือโรคตับ

การกินกระเทียมในปริมาณมากอาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดการระคายเคืองต่อตับในบางกรณี หากมีปัญหาเกี่ยวกับตับ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานกระเทียมในปริมาณมาก หรือเป็นอาหารเสริม

กลุ่มคนที่ห้ามกินกระเทียม

1. ผู้ป่วยที่เตรียมตัวเข้ารับการผ่าตัด

ผู้ที่กำลังจะเข้ารับการผ่าตัดควรหลีกเลี่ยงการกินกระเทียมก่อนการผ่าตัดประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพราะกระเทียมสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดเลือดออกระหว่างและหลังการผ่าตัดได้

2. ผู้ที่มีอาการแพ้กระเทียม

บางคนอาจมีอาการแพ้กระเทียม ซึ่งอาจเกิดอาการผื่นคัน ท้องเสีย หรืออาการแพ้อื่น ๆ หากมีอาการดังกล่าว ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคกระเทียมทันที

ผลข้างเคียง และความปลอดภัยของกระเทียม

กระเทียมค่อนข้างปลอดภัยสำหรับผู้ใช้ส่วนมาก หากรับประทานอย่างเหมาะสม ส่งผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้เมื่อรับประทานกระเทียม ได้แก่

  • อาจทำให้มีกลิ่นปาก
  • รู้สึกแสบร้อนในปาก หรือกระเพาะ
  • แสบร้อนกลางอก
  • คลื่นไส้อาเจียน
  • มีกลิ่นตัว
  • ท้องร่วง

ซึ่งผลข้างเคียงเหล่านี้มักรุนแรงหากเป็นกระเทียมดิบ และกระเทียมยังอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการตกเลือดได้ ผู้ที่เพิ่งผ่านการผ่าตัดมา อาจต้องหลีกเลี่ยงการรับประทานกระเทียม นอกจากนี้ การรับประทานกระเทียมยังอาจกระตุ้นผู้เป็นภูมิแพ้เกิดภาวะหอบหืด หรือภาวะภูมิแพ้ชนิดอื่นขึ้นมาด้วย

ผลิตภัณฑ์ที่ประกอบด้วยกระเทียมจัดว่า อาจปลอดภัยเมื่อใช้ทาบนผิวหนัง สำหรับเจล ยา และน้ำยาล้างปากที่ประกอบด้วยกระเทียมสามารถใช้ต่อเนื่องได้นานกว่า 3 เดือน อย่างไรก็ตาม หากเป็นการทาบนผิวหนัง กระเทียมอาจทำให้ผิวมีลักษณะคล้ายรอยไหม้ได้

คำเตือน และข้อควรระวังเป็นพิเศษ

บุคคลที่เป็นกลุ่มเสี่ยงหรือมีภาวะความผิดปกติ ซึ่งควรระมัดระวังหรือหลีกเลี่ยงการกินกระเทียม มีดังนี้

  • สตรีมีครรภ์และแม่ที่ต้องให้นมบุตร หญิงตั้งครรภ์สามารถรับประทานกระเทียมได้ แต่อาจต้องระมัดระวังไม่รับประทานในปริมาณมากเกินไป รวมถึงการรับประทานกระเทียมในรูปแบบวิตามิน หรือยาด้วย เพราะอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์
    และขณะนี้ ยังคงไม่มีข้อมูลด้านความปลอดภัยของการใช้กระเทียมทาบนผิวหนังสำหรับสตรีตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร ดังนั้นควรเลี่ยงการทากระเทียมจนกว่าจะมีข้อมูลเพิ่มเติม
  • ภาวะเลือดออกผิดปกติ กระเทียมอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะตกเลือดได้ โดยเฉพาะกระเทียมสด
  • ผู้ป่วยโรคเบาหวาน กระเทียมสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ แต่ในขณะเดียวกัน การรับประทานอาหารเสริมที่มีกระเทียมสามารถจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานตกลงจนอาจต่ำเกินไปได้
  • ผู้มีปัญหากระเพาะอาหาร หรือการย่อยอาหาร กระเทียมสามารถสร้างความระคายเคืองแก่ระบบทางเดินอาหารได้ ดังนั้นหากคุณมีปัญหากระเพาะอาหาร หรือการย่อยอยู่ควรบริโภคกระเทียมอย่างระมัดระวัง
  • ผู้มีความดันโลหิตต่ำ กระเทียมสามารถลดความดันโลหิตลงได้ ทางทฤษฎีแล้ว การรับประทานกระเทียมจะทำให้ระดับความดันโลหิตของผู้ป่วยที่มีปัญหานี้ตกลงจนอาจต่ำเกินไปได้
  • ผู้กำลังจะรับการผ่าตัด กระเทียมอาจทำให้เลือดออกยาวนานขึ้น และรบกวนความดันโลหิตได้ อีกทั้งยังลดระดับน้ำตาลในเลือด ดังนั้นจึงควรหยุดบริโภคกระเทียมก่อนเข้าผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์

ยาที่ห้ามรับประทานร่วมกับกระเทียม

1. ยาไอโซไนอาซิด (Isoniazid)

กระเทียมอาจลดปริมาณการดูดซึมยาไอโซไนอาซิด (Isoniazid) ของร่างกายลง ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพของยาลดลง ห้ามรับประทานกระเทียม หากคุณต้องใช้ยานี้

2. ยากลุ่มเอ็นเอ็นอาร์ทีไอสำหรับผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (NNRTIs)

การรับประทานกระเทียมเข้าไป อาจเป็นตัวเร่งกระบวนการของร่างกายในการทำลายยา จนทำให้การรับประทานยาไม่มีประโยชน์ในการรักษาแต่อย่างใด

3. ยาซาควินาเวียร์ (Saquinavir)

เช่นเดียวกับยากลุ่มเอ็นเอ็นอาร์ทีไอ กระเทียมอาจไปเร่งกระบวนการของร่างกายในการทำลายยาซาควินาเวียร์ (Saquinavir) จนทำให้ประสิทธิภาพของยาลดลง

ยาที่ต้องระวัง เมื่อทานร่วมกับกระเทียม

1. ยาคุมกำเนิด ชนิดยาเม็ดคุมกำเนิด (Contraceptive drugs)

ยาคุมกำเนิดบางกลุ่มประกอบด้วยเอสโทรเจน ร่างกายจะทำลายเอสโทรเจนในยาเหล่านั้นเพื่อกำจัดออก ซึ่งกระเทียมอาจเร่งกระบวนการของร่างกายในการทำลายตัวยา ทำให้ประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิดลดลง

หากคุณกำลังรับประทานยาคุมกำเนิดร่วมกับกระเทียม ควรใช้ช่องทางคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วย เช่น ถุงยางอนามัย

2.ยาไซโคลสปอริน (Cyclosporine)

ร่างกายจะสลายยาไซโคลสปอริน (Cyclosporine) ซึ่งกระเทียมอาจเร่งกระบวนการของร่างกายในการทำลายยาทำให้การรับประทานกระเทียมพร้อมยาไซโคลสปอริน อาจทำให้ประสิทธิภาพของยาลดลง

3. ยา Cytochrome P450 กลุ่ม 2E1 (CYP2E1)

ยาที่ถูกตับเข้าไปเปลี่ยนแปลงการออกฤทธิ์ชื่อว่า Cytochrome P450 กลุ่ม 2E1 (CYP2E1) ยาบางประเภทที่เปลี่ยนแปลง และถูกทำลายโดยตับ ซึ่งการบริโภคน้ำมันกระเทียมอาจลดความเร็วในการทำลายยาเหล่านี้ของตับลง และจะทำให้ยามีประสิทธิภาพ และผลข้างเคียงมากขึ้น

ดังนั้นก่อนรับประทานน้ำมันกระเทียมให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพหากคุณกำลังใช้ยากลุ่มนี้ นอกจากนี้ ยังมียาที่ใช้ระงับประสาทระหว่างการผ่าตัดที่คุณต้องระมัดระวังเช่นกัน

4. ยา Cytochrome P450 กลุ่ม 3A4 (CYP3A4)

ยาที่ตับจะเข้าไปเปลี่ยนแปลงฤทธิ์ยาที่ชื่อ Cytochrome P450 กลุ่ม 3A4 (CYP3A4) ตับจะไปเปลี่ยนแปลง และทำลายฤทธิ์ยาบางตัว การบริโภคน้ำมันกระเทียมอาจเข้าไปช่วยเร่งความเร็วที่ตับจะทำลายยาเหล่านี้ ทำให้ยามีประสิทธิภาพน้อยลง ดังนั้นก่อนรับประทานน้ำมันกระเทียมให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ หากคุณกำลังใช้ยากลุ่มนี้ เช่น

5. ยาชะลอการเกิดลิ่มเลือด (Anticoagulant / Antiplatelet drugs)

กระเทียมอาจชะลอการเกิดลิ่มเลือด การรับประทานกระเทียมร่วมกับยาเหล่านี้อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการตกเลือด หรือรอยฟกช้ำ โดยยาที่มีฤทธิ์ชะลอการเกิดลิ่มเลือด คือ

6. ยาวาร์ฟาริน (Warfarin)

ยาวาร์ฟาริน (Warfarin) ทำงานด้วยการชะลอการเกิดลิ่มเลือด และกระเทียมอาจชะลอการเกิดลิ่มเลือดลงด้วย ดังนั้นการรับประทานกระเทียมจะเพิ่มประสิทธิภาพของยาวาร์ฟาริน แต่เพราะประสิทธิภาพที่มีเพิ่มมากขึ้น จึงอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการตกเลือด หรือเกิดรอยฟกช้ำได้

หากคุณรับประทานยาชนิดนี้ร่วมกับรับประทานกระเทียม คุณควรตรวจเลือดของคุณเป็นประจำ โดยอาจต้องทำการปรับเปลี่ยนปริมาณยาวาร์ฟารินที่ใช้ตามความจำเป็น

การรับประทานยาเม็ดจากผลกระเทียมเพื่อรักษาภาวะต่างๆ

1. สำหรับหลอดเลือดแข็งตัว

รับประทานยาเม็ดจากผงกระเทียม 300 มิลลิกรัม ทั้งการรับประทานครั้งเดียวหรือ 3 ครั้งต่อวันนาน 4 ปี อีกทั้งการรับประทานอาหารเสริมกระเทียม 150 mg 2 ครั้งต่อวันนาน 24 เดือน

อาหารเสริมชนิดนี้ประกอบด้วยกระเทียมแก่สกัด 250 mg ทุกวันนาน 12 เดือนร่วมกับสารสกัดกระเทียมแก่ 300 มิลลิกรัม ในปริมาณ 4 เม็ดต่อวัน นาน 1 ปี

2. สำหรับโรคเบาหวาน

รับประทานผงกระเทียม 600-1,500 มิลลิกรัม ทุกวันนานอย่างน้อย 12 สัปดาห์ ยาเม็ดกระเทียม 300 mg 2-3 ครั้งต่อวัน ร่วมกับยา metformin หรือ sulfonylurea เป็นเวลา 4-24 สัปดาห์

3. สำหรับคอเลสเตอรอลสูง 

รับประทานสารสกัดกระเทียมแก่ 1,000-7,200 มิลลิกรัม ทุกวันโดยแบ่งปริมาณที่ใช้นาน 4-6 เดือน

หรือยาที่ประกอบด้วยผงกระเทียม 600-900 มิลลิกรัม โดยแบ่งปริมาณยาเป็น 2 ขนาดหรือมากกว่านั้น ให้รับประทานทุกวัน นาน 6-16 สัปดาห์ ร่วมกับผลิตภัณฑ์ผงกระเทียม อีก 300 มิลลิกรัม นาน 12 สัปดาห์

นอกจากนี้ คุณยังสามารถรับประทานผงกระเทียมกับน้ำมันปลา 3 กรัมทุกวันนาน 4 สัปดาห์ หรือน้ำมันกระเทียม 500 มิลลิกรัม ร่วมกับน้ำมันปลา 600 มิลลิกรัม ทุกวันนาน 60 วัน

4. สำหรับความดันโลหิตสูง

รับประทานกระเทียมเม็ด 300-1,500 มิลลิกรัม โดยแบ่งขนาดยาทุกวันนาน 24 สัปดาห์ กระเทียมผงอัดเม็ด 2,400 มิลลิกรัม โดยแบ่งรับประทานครั้งเดียว หรือครั้งละ 600 มิลลิกรัม ทุกวันนาน 12 สัปดาห์

รับประทานแคปซูลที่ประกอบด้วยสารสกัดกระเทียมแก่ 960 มิลลิกรัม ถึง 7.2 กรัมต่อวันนาน 6 เดือน หรือผลิตภัณฑ์ที่ประกอบด้วยสารสกัดจากกระเทียมแก่อย่าง Kyolic หรือน้ำมันกระเทียม 500 มิลลิกรัม ร่วมกับน้ำมันปลา 600 มิลลิกรัม ทุกวันนาน 60 วัน

5. สำหรับมะเร็งต่อมลูกหมาก

รับประทานสารสกัดกระเทียมชนิดละลายน้ำได้ 1 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม โดยรับประทานทุกวันนาน 1 เดือน

6. สำหรับเห็บหมัดกัด

แคปซูลที่ประกอบด้วยกระเทียม 1,200 มิลลิกรัม ทุกวันนาน 8 สัปดาห์

7. สำหรับภาวะติดเชื้อราที่ผิวหนัง (โรคกลากน้ำกัดเท้าสังคัง)

ผลิตภัณฑ์ที่ประกอบด้วยอะโจอีน (Ajoene) ในครีม 0.4 % เจล 0.6 % และเจล 1 % ทาบนผิวหนัง 2 ครั้งต่อวัน นาน 1 สัปดาห์

อย่างไรก็ตาม การใช้สมุนไพรใดๆ ควบคู่กับรับประทานยา ควรมีการปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำในการใช้ให้เหมาะสมกับภาวะสุขภาพของคุณจะปลอดภัยที่สุด เพื่อที่ทั้งตัวสมุนไพร และยาที่คุณต้องรับประทานจะได้ช่วยบำรุงให้ร่างกายของคุณแข็งแรงได้มากที่สุด

Scroll to Top