escitalopram scaled

Escitalopram (เอสซิตาโลแพรม)

Escitalopram (เอสซิตาโลแพรม) อยู่ในกลุ่มยาต้านเศร้าเอสเอสอาร์ไอ (SSRIs: Selective serotonin reuptake inhibitors) ใช้รักษาโรคซึมเศร้า (Depression) และโรควิตกกังวล (Anxiety)

มีคำถามเกี่ยวกับ เอสซิตาโลแพรม? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

Escitalopram จะออกฤทธิ์ปรับสมดุลของสารเคมีตามธรรมชาติในสมอง หรือก็คือเซโรโทนิน (Serotonin) ช่วยให้มีเรี่ยวแรง รู้สึกดีขึ้น และลดอาการกังวลใจ 

Escitalopram ใช้รักษาโรคอะไร

  • รักษาภาวะซึมเศร้า (MDD: Major Depressive Disorder): เช่น ความรู้สึกเศร้า สิ้นหวัง และความเฉยชาในกิจกรรมที่เคยชอบ
  • รักษาภาวะวิตกกังวลทั่วไป (GAD: Generalized Anxiety Disorder): ใช้บรรเทาอาการวิตกกังวลเกินปกติที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน
  • รักษาภาวะวิตกกังวลทางสังคม (Social Anxiety Disorder): ใช้บรรเทาอาการวิตกกังวล และความกลัวในสถานการณ์ทางสังคม
  • รักษาภาวะตื่นตระหนก (Panic Disorder): ใช้ลดความรุนแรงของการเกิดภาวะตื่นตระหนก
  • รักษาโรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD: Obsessive-Compulsive Disorder): ใช้ลดอาการย้ำคิดย้ำทำที่ควบคุมไม่ได้

รูปแบบยา Escitalopram

  • Escitalopram รูปแบบยาเม็ด 1 เม็ด ประกอบด้วย Escitalopram 520 มิลลิกรัม ในไทยนิยมใช้ Escitaloprám 10 mg
  • Escitalopram รูปแบบยาน้ำ 1 หยด ประกอบด้วย Escitalopram 1 มิลลิกรัม 

ปริมาณการใช้ยา Escitalopram

ปริมาณยาทั่วไป ให้รับประทานยา 10 มิลลิกรัมต่อวัน วันละครั้ง อาจปรับลดหรือเพิ่มขนาดยา ระยะเวลาใช้ยาตามดุลยพินิจของแพทย์ แต่ปริมาณยาสูงสุดไม่เกิน 20 มิลลิกรัมต่อวัน กรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับ ขนาดยาสูงสุดไม่ควรเกิน 10 มิลลิกรัมต่อวัน 

ผลข้างเคียงจากยา Escitalopram

หากแพทย์สั่งยานี้ให้ แปลว่า มีการประเมินแล้วว่า ผู้ป่วยจะได้รับประโยชน์จากยานี้มากกว่าความเสี่ยงต่อการเกิดอาการข้างเคียง 

ผลข้างเคียงทั่วไปที่อาจพบได้จากการใช้ยา Escitalopram เช่น คลื่นไส้ ปากแห้ง มีปัญหาในการนอน ท้องผูก อ่อนเพลีย ง่วงนอน เวียนศีรษะ เหงื่อออกมาก ถ้าอาการเหล่านี้ไม่ดีขึ้น หรือแย่ลง ให้แจ้งแพทย์ทันที 

ผลข้างเคียงร้ายแรงจากการใช้ยา Escitalopram ที่อาจเกิดขึ้นได้ และต้องพบแพทย์ทันที เช่น 

  • เลือดออกง่าย เกิดรอยช้ำง่าย
  • มีเลือดออกในอุจจาระ อุจจาระมีสีดำ
  • หน้ามืด เป็นลม
  • หัวใจเต้นเร็ว หัวใจเต้นผิดจังหวะ
  • อาเจียนออกมาคล้ายกากกาแฟ
  • มีอาการชัก
  • ปวดตา ตาบวม ตาแดง ม่านตาขยาย
  • การมองเห็นผิดปกติ เช่น มองเห็นรุ้งรอบแสงไฟตอนกลางคืน ตาพร่ามัว
  • ความสนใจทางเพศลดลง มีปัญหาในการมีเพศสัมพันธ์ 
  • ในเพศชาย อาจปวดอวัยวะเพศขณะแข็งตัวหรืออวัยวะเพศแข็งตัวนาน 4 ชั่วโมงขึ้นไป 
  • แพ้ยา เป็นกรณีที่พบได้น้อย มักจะเกิดผื่น คัน หรือบวม โดยเฉพาะที่หน้า ลิ้น คอ เวียนศีรษะรุนแรง หายใจลำบาก

อาการข้างเคียงที่กล่าวไว้ข้างต้น ไม่ใช่อาการข้างเคียงทั้งหมด ถ้ามีอาการผิดปกติใด ๆ นอกจากนี้ ให้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเช่นกัน

ระวังการทานยา Escitalopram เกินขนาด

การได้รับยา Escitalopram เกินขนาด อาจก่อให้เกิดโทษและอาการร้ายแรงได้ เช่น หมดสติ หรือหายใจลำบาก หากพบผู้ใดมีอาการเหล่านี้ ให้รีบเรียกรถพยาบาลทันที โทร 1669

ถ้าลืมกินยา Escitalopram ต้องทำอย่างไร

ถ้าลืมรับประทานยา ให้รีบรับประทานทันทีที่นึกได้ตามจำนวนปกติ (เช่น ถ้าปกติรับประทาน 1 เม็ด ก็รับประทานเท่าเดิม ไม่ต้องเพิ่มเป็น 2 เม็ด)

กรณีที่เพิ่งนึกได้ตอนใกล้รับประทานมื้อใหม่ ให้ข้ามมื้อที่ลืมไป และรอรับประทานมื้อถัดไปได้เลย ในจำนวนปกติเช่นกัน ไม่ต้องเพิ่มขนาดยา


ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับยา

การใช้ยา Escitalopram

การใช้ยา Escitalopram ผู้ป่วยต้องปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น หากแพทย์เริ่มต้นด้วยขนาดยาที่ต่ำ และค่อย ๆ เพิ่มขนาดยาในภายหลัง ก็ต้องรับประทานตามนั้น และที่สำคัญ คือห้ามหยุดยา เพิ่มขนาดยา หรือลดขนาดยาเองโดยเด็ดขาด

หากหยุดยากะทันหัน ผู้ป่วยอาจเกิดอาการอื่น ๆ ได้ เช่น อารมณ์แปรปรวน ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย นอนหลับผิดปกติ หรือมีความรู้สึกเหมือนโดนไฟช็อตสั้น ๆ ส่วนใหญ่ แพทย์จึงมักปรับขนาดยาลงก่อนจะให้หยุดยา

มีคำถามเกี่ยวกับ เอสซิตาโลแพรม? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

การใช้ยาสามารถใช้เวลาใดก็ได้ แต่ควรเป็นเวลาเดิมทุกวัน เช่น ตอนเช้า 1 ครั้ง หรือตอนเย็น 1 ครั้ง ถ้ามีปัญหาในการนอน ควรรับประทานยาในช่วงเช้า

ยารูปแบบยาน้ำ ควรใช้ช้อนตวงยาหรืออุปกรณ์ตวงยาที่ให้มา อย่าใช้ช้อนรับประทานอาหารตวงยา เพราะอาจทำให้ได้รับขนาดยาไม่ถูกต้อง

ทั้งนี้ อาจใช้เวลานาน 1–2 สัปดาห์ จึงจะเริ่มเห็นผลจากการใช้ยา และใช้เวลาถึง 4 สัปดาห์ จึงจะได้ประโยชน์จากยาเต็มที่ ควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกร ถ้าอาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง และหากมีอาการผิดปกติใด ๆ ให้รีบพบแพทย์โดยด่วน

คำเตือนในการใช้ยา Escitalopram

  • ยาต้านเศร้า (Antidepressant medications) เป็นยารักษาโรคซึมเศร้า โรคทางจิตเวช ความผิดปกติทางจิตใจหรือทางอารมณ์อื่น ๆ เช่น วิตกกังวล ย้ำคิดย้ำทำ ตื่นตระหนก โดยจะช่วยป้องกันไม่ให้มีความคิดฆ่าตัวตาย/พยายามฆ่าตัวตาย และยังมีประโยชน์อื่น ๆ ต่อตัวผู้ป่วย
  • อย่างไรก็ตาม พบผู้ป่วยจำนวนน้อย โดยเฉพาะอายุต่ำกว่า 25 ปี มีอาการซึมเศร้าแย่ลง มีอาการทางสภาวะจิตใจ/อารมณ์ มีความคิดฆ่าตัวตายหรือพยายามฆ่าตัวตาย
  • ก่อนใช้ยาจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ถึงความเสี่ยงและประโยชน์ของยาก่อนเสมอ แม้ว่าจะไม่ได้ใช้ยานี้รักษาโรคทางจิตใจหรืออารมณ์ก็ตาม และห้ามเริ่มใช้ยา หยุดยา หรือเปลี่ยนแปลงขนาดยาต่าง ๆ เองโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
  • ให้แจ้งแพทย์ทันที หากอาการทางจิตแย่ลง มีความเปลี่ยนแปลงของสภาพจิตใจ อารมณ์ เช่น วิตกกังวลมากกว่าเดิม ตื่นตระหนก มีความคิดฆ่าตัวตายหรือพยายามฆ่าตัวตาย หงุดหงิด ฉุนเฉียว รู้สึกเกลียด โกรธ
  • รวมถึงมีปัญหาในการนอนหลับ พฤติกรรมผิดปกติไป มีพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น กระวนกระวายใจอย่างรุนแรง พูดเร็วมาก โดยให้สังเกตอาการเหล่านี้เป็นพิเศษในช่วงเริ่มใช้ยาต้านเศร้า หรือเมื่อมีการปรับขนาดยา

หมายเหตุ: ห้ามแบ่งยานี้ให้ผู้อื่นใช้ และให้ไปพบแพทย์ตามนัดเป็นประจำเพื่อติดตามอาการ

ปฏิกิริยาระหว่าง Escitalopram และยาต่าง ๆ 

ปฏิกิริยาระหว่างยา (Drug interactions) อาจเปลี่ยนแปลงการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงร้ายแรงได้

รายการยาที่อาจเกิดปฏิกิริยากับยา Escitalopram

  • ยา Citalopram หรือยาที่มีส่วนประกอบของ Citalopram เพราะมีโครงสร้างที่คล้ายคลึงกัน
  • ยาที่ทำให้เลือดออก มีรอยช้ำ ได้แก่ ยาต้านเกล็ดเลือด เช่น Clopidogrel
  • ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น Ibuprofen
  • ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น Warfarin
  • ยาต้านฮีสตามีน เช่น Cetirizine, Diphenhydramine
  • ยาช่วยนอนหลับ หรือยารักษาอาการวิตกกังวล เช่น Alprazolam, Diazepam, Zolpidem
  • ยาคลายกล้ามเนื้อ
  • ยาแก้ปวดที่มีฤทธิ์เสพติด เช่น Codeine
  • ยา Aspirin อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกได้ แต่หากแพทย์สั่งยา Aspirin ขนาดต่ำ 81–325 มิลลิกรัมต่อวัน เพื่อป้องกันโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือด หรือโรคหลอดเลือดสมอง ควรใช้ยา Aspirin ต่อ ยกเว้นแพทย์สั่งเป็นอย่างอื่น
  • ยากลุ่ม MAO inhibitors เช่น Isocarboxazid, Linezolid หรือ Methylene  อาจก่อให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างยาร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต ไม่ควรใช้ยากลุ่ม MAO inhibitors อย่างน้อย 2 สัปดาห์ ทั้งก่อนและหลังใช้ยา Escitalopram โดยให้ปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
  • ยาที่เพิ่มสารสื่อประสาทเซโรโทนิน (Serotonin) อาจก่อให้เกิดกลุ่มอาการเซโรโทนิน หรือเซโรโทนินเป็นพิษ (Serotonin syndrome/toxicity) เช่น สมุนไพรเซนต์จอห์น เวิร์ต (St. John’s wort), ยาต้านเศร้าบางชนิด (ยากลุ่ม SSRIs เช่น Fluoxetine/Paroxetine, ยาในกลุ่ม SNRIs เช่น Duloxetine/Venlafaxine) หรือ Tryptophan
  • แอลกอฮอล์

ข้อมูลที่ระบุนี้ไม่ได้ครอบคลุมการเกิดปฏิกิริยาระหว่างยาที่อาจเกิดขึ้นได้ทั้งหมด หากกำลังใช้ยา อาหารเสริม หรือสมุนไพรใด ๆ อยู่ ณ ขณะนี้ ต้องแจ้งให้แพทย์และเภสัชกรทราบก่อนทุกครั้ง

ข้อควรระวังและอันตรายในการใช้ยา Escitalopram  

การใช้ยา Escitalopram มีข้อควรระวังต่าง ๆ ดังนี้

  • ก่อนเข้ารับการรักษาใด ๆ ต้องแจ้งให้แพทย์ พยาบาล เภสัชกร และทันตแพทย์ทราบว่ากำลังใช้ยานี้ และยาทุกชนิดที่กำลังใช้อยู่ ทั้งยาที่แพทย์สั่ง ยาที่ซื้อใช้ด้วยตนเอง วิตามิน และสมุนไพรใด ๆ เพราะยาหลายชนิดอาจมีปฏิกิริยากับยานี้
  • แจ้งแพทย์ให้ทราบหากมีประวัติแพ้ยาชนิดนี้ แพ้ยาชนิดอื่น อาหาร หรือสารใด ๆ เพราะยา Escitalopram อาจประกอบด้วยสารไม่ออกฤทธิ์อื่น ทำให้เกิดอาการแพ้หรือปัญหาอื่นได้
  • แจ้งแพทย์ให้ทราบถึงประวัติการแพทย์ เช่น ตนเองหรือคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคไบโพลาร์หรือเคยพยายามฆ่าตัวตาย เป็นโรคต้อหินชนิดมุมปิด โรคตับ มีอาการชัก มีแผลหรือเลือดออกที่ลำไส้ มีโซเดียมในเลือดต่ำ (Hyponatremia)
  • ยา Escitalopram อาจเป็นสาเหตุของหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดคลื่นไฟฟ้าหัวใจช่วง QT ยาว (QT Prolongation) และโรคหัวใจบางชนิด หากตนเองหรือคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ คนในครอบครัวเสียชีวิตจากโรคหัวใจ ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา
  • ยา Escitalopram อาจทำให้วิงเวียนศีรษะ หรือง่วงนอน ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ ขับรถ ทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร ทำกิจกรรมใด ๆ ที่ต้องอาศัยการตื่นตัว หรือการมองเห็นที่ชัดเจนในระหว่างการใช้ยา เพราะอาจเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
  • ยา Escitalopram รูปแบบยาน้ำ อาจมีส่วนประกอบของน้ำตาล และ/หรือสารแอสปาร์แตม (Aspartame) จึงต้องระมัดระวังการใช้ในผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยโรคฟีนิลคีโตนูเรีย (PKU: enylketonuria) หรือผู้ป่วยโรคอื่น ๆ ที่จำเป็นต้องจำกัดหรือห้ามรับประทานสารดังกล่าว
  • ควรระมัดระวังการใช้ยานี้ในผู้มีครรภ์และผู้ที่กำลังให้นมบุตร
  • การใช้ยาในผู้สูงอายุอาจเกิดผลข้างเคียงจากยาได้มากกว่าปกติ เช่น คลื่นไฟฟ้าหัวใจช่วง QT ยาวกว่าปกติ สูญเสียการทรงตัวจนเสี่ยงหกล้ม หรือสูญเสียเกลือโซเดียมมากกว่าปกติ โดยเฉพาะเมื่อใช้ยาขับปัสสาวะร่วมด้วย
  • การใช้ยาในเด็กอาจเกิดผลข้างเคียงจากยาได้มากกว่าปกติ โดยเฉพาะอาการเบื่ออาหาร และน้ำหนักลด จึงต้องติดตามน้ำหนักตัวและความสูงของเด็กระหว่างใช้ยานี้
  • ยา Escitalopram อาจส่งผลต่อการตรวจทางห้องปฏิบัติการ หรือการตรวจทางการแพทย์บางชนิด อย่างการตรวจสแกนสมองสำหรับโรคพาร์กินสัน  จึงต้องแจ้งแพทย์และเจ้าหน้าที่ว่ากำลังใช้ยานี้อยู่

ใครบ้างที่ไม่ควรใช้ยา Escitalopram

สภาวะต่อไปนี้ ถือเป็นข้อห้ามในการใช้ยา Escitalopram หากมีสภาวะต่อไปนี้ ให้แจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทันที

  • แพ้ยา Escitalopram
  • แพ้ยา Citalopram
  • แพ้ยาในกลุ่ม SSRIs
  • มีระดับแมกนีเซียม โซเดียม หรือโพแทสเซียมในเลือดต่ำ
  • เป็นกลุ่มอาการของการหลั่งฮอร์โมนต้านการขับปัสสาวะไม่เหมาะสม (Syndrome of Inappropriate Antidiuretic Hormone Secretion)
  • เป็นกลุ่มอาการ Neuroleptic Malignant Syndrome
  • เป็นกลุ่มอาการเซโรโทนิน (Serotonin syndrome)
  • เป็นโรคต้อหินมุมปิด หรือมีความเสี่ยงต่อการเป็นต้อหินมุมปิด
  • เป็นโรคหัวใจ หัวใจเต้นเร็วชนิด Torsades de Pointes มีอาการกล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือดใน 30 วันที่ผ่านมา พบคลื่นไฟฟ้าหัวใจช่วง QT ยาวจากการตรวจ EKG หรือคลื่นไฟฟ้าหัวใจช่วง QT ผิดปกติแต่กำเนิด
  • เป็นโรคตับ หรือเป็นโรคไตบกพร่องอย่างรุนแรง
  • มีเลือดออกในกระเพาะอาหาร ลำไส้ หลอดอาหาร หรือมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกมากกว่าปกติ
  • มีอาการชัก
  • มีการทำงานของเอนไซม์ CYP2C19 น้อยกว่าปกติ (CYP2C19 poor metabolizer)
  • มีพฤติกรรมร่าเริงและทำกิจกรรมต่าง ๆ มากเกินไป
  • มีอาการคลุ้มคลั่งที่ไม่รุนแรง อาการคลุ้มคลั่งสลับกับซึมเศร้า หรือมีความคิดฆ่าตัวตาย

การใช้ยา Escitalopram ในผู้มีครรภ์และผู้ที่ให้นมบุตร

หากกำลังวางแผนตั้งครรภ์ หรือคิดว่าตนเองอาจจะตั้งครรภ์ ให้ปรึกษาแพทย์ถึงประโยชน์และความเสี่ยงของการใช้ยา

ยา Escitalopram ควรใช้เฉพาะกรณีที่ประเมินแล้วว่ามีความจำเป็นจริง ๆ เพราะอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ และต้องปรึกษาแพทย์ก่อนให้นมบุตรเสมอ เพราะยาอาจส่งผ่านทางน้ำนมไปยังทารกที่ดูดนมแม่จนก่อให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์

ระหว่างการตั้งครรภ์ ทารกที่คลอดจากมารดาที่ใช้ยานี้ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์ อาจเกิดอาการถอนยา แต่พบได้น้อย เช่น ดูดนมลำบาก หายใจลำบาก ชัก กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง หรือร้องไห้ไม่หยุด หากพบอาการใด ๆ เหล่านี้ในเด็กแรกเกิด ให้แจ้งแพทย์ทันที

มีคำถามเกี่ยวกับ เอสซิตาโลแพรม? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

หากคุณติดตั้ง LINE บนคอมพิวเตอร์ของคุณแล้ว ระบบจะเปิดบัญชีทางการ LINE ของ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ โดยอัตโนมัติ

หากคุณยังไม่ได้ติดตั้ง LINE บนเดสก์ท็อป โปรดสแกน QR โค้ดด้วย LINE บนโทรศัพท์มือถือของคุณเพื่อเริ่มแชทกับ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ