Nortriptyline (นอร์ทริปไทลีน) เป็นยาต้านเศร้าในกลุ่มไตรไซคลิก (Tricyclic antidepressants) ใช้รักษาโรคทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล โรคตื่นตระหนก รวมถึงใช้รักษาอาการปัสสาวะรดที่นอนในเด็ก
โดยยาจะออกฤทธิ์ปรับสมดุลของสารสื่อประสาทในสมอง ช่วยให้อารมณ์และความรู้สึกดีขึ้น ผ่อนคลายความเครียด ความวิตกกังวล และยังช่วยเพิ่มระดับพลังงานของร่างกาย
สารบัญ
Nortriptyline ใช้รักษาโรคอะไร
- รักษาอาการซึมเศร้า (Depression): ใช้รักษาผู้ป่วยที่มีอาการซึมเศร้า โดยปรับอารมณ์และความรู้สึกทั่วไป
- บรรเทาอาการปวดประสาท (Neuropathic Pain): ใช้รักษาอาการปวดประสาท เช่น อาการปวดจากเส้นประสาท (Neuropathic pain) และโรคไฟโบรมัยอัลเจีย (Fibromyalgia)
- รักษาโรควิตกกังวลและโรคตื่นตระหนก (Anxiety and Panic Disorders): ใช้รักษาผู้ป่วยที่มีอาการวิตกกังวล หรืออาการตื่นตระหนก
- รักษาภาวะปัสสาวะรดที่นอนในเด็ก (Enuresis in Children): ใช้รักษาเด็กที่มีปัญหาปัสสาวะรดที่นอน
ปฏิกิริยาระหว่าง Nortriptyline กับยาอื่น ๆ
การเกิดปฏิกิริยาระหว่างยา (Drug interactions) อาจเปลี่ยนแปลงการออกฤทธิ์ของยาหรือเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงร้ายแรง
ข้อมูลที่ระบุนี้ไม่ได้ครอบคลุมการเกิดปฏิกิริยาระหว่างยาที่อาจเกิดขึ้นได้ทั้งหมด ดังนั้น ต้องแจ้งแพทย์และเภสัชกรทราบทุกครั้งว่ากำลังรับประทานยา อาหารเสริม สมุนไพร ใดอยู่ในขณะนี้ อย่าเริ่มยา หยุดยา หรือเปลี่ยนแปลงขนาดยาต่าง ๆ เอง โดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์
รายการยาที่อาจเกิดปฏิกิริยากับยา Nortriptyline
- ยาที่มีส่วนประกอบของ Amitriptyline เพราะ Nortriptyline มีความคล้ายคลึงกับยานี้มาก
- ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น Warfarin
- ยาเลิกเหล้า เช่น ยา Disulfiram
- ยารักษาโรคหรืออาการติดเชื้อราบางชนิด เช่น ยา Terbinafine
- ยาในกลุ่ม Anticholinergic drugs เช่น Benztropine, Belladonna Alkaloids
- ยาสำหรับรักษาโรคความดันโลหิตสูงบางรายการ ได้แก่ ยาที่ออกฤทธิ์ที่สมอง เช่น Clonidine, Guanabenz
- ยาในกลุ่ม MAO inhibitors เช่น Isocarboxazid, Linezolid, Methylene Blue, Moclobemide, Phenelzine, Procarbazine, Rasagiline, Safinamide, Selegiline, Tranylcypromine
- ยาอื่น ๆ ที่เพิ่มปริมาณสารสื่อประสาทเซโรโทนิน อาจก่อให้เกิดกลุ่มอาการเซโรโทนิน หรือเซโรโทนินเป็นพิษ (Serotonin syndrome/toxicity) เช่น สมุนไพรเซนต์จอห์น เวิร์ต (St. John’s wort) ยาต้านเศร้ากลุ่ม SSRIs หรือกลุ่ม SNRIs
- ยารักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น Quinidine, Propafenone, และ Flecainide เพราะอาจไปกำจัดยา Nortriptyline ออกจากร่างกาย และส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยาได้
- ยาหรือผลิตภัณฑ์ใด ๆ ที่ทำให้ง่วงนอน เช่น แอลกอฮอล์, ยาต้านฮีสตามีน (เช่น Cetirizine, Diphenhydramine), ยานอนหลับ หรือยารักษาอาการวิตกกังวล (เช่น Alprazolam, Diazepam, Zolpidem), ยาคลายกล้ามเนื้อ, และยาแก้ปวดที่อาจทำให้เสพติดได้ (เช่น Codeine)
- ไทรอยด์ฮอร์โมน
ปริมาณการใช้ยา Nortriptyline
รักษาโรคซึมเศร้า
- ผู้ใหญ่: ขนาดยา 75–100 มิลลิกรัม ขนาดยาสูงสุด 150 มิลลิกรัม รับประทานวันละ 1–4 ครั้งตามดุลยพินิจของแพทย์ และรับประทานในเวลาเดียวกันทุกวัน
- เด็ก อายุ 12–17 ปีและผู้สูงอายุ: ขนาดยา 30–50 มิลลิกรัม อาจเพิ่มได้ตามดุลยพินิจของแพทย์ และรับประทานในเวลาเดียวกันทุกวัน
รักษาอาการปัสสาวะรดที่นอนในเด็ก
- เด็กอายุ 6–7 ปี หรือมีน้ำหนักตัว 20–25 กิโลกรัม ขนาดยา 10 มิลลิกรัมต่อวัน
- เด็กอายุ 8–11 ปี หรือมีน้ำหนักตัว 25–35 กิโลกรัม ขนายา 10–20 มิลลิกรัมต่อวัน
- เด็กอายุ 11 ปีขึ้นไป หรือมีน้ำหนักตัว 35–54 กิโลกรัม ขนาดยา 25 มิลลิกรัม
ข้อควรระวังในการใช้ยา Nortriptyline
- แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบก่อนถึงประวัติการแพ้ยา แพ้ยาชนิดนี้ หรือแพ้สารใด ๆ เพราะยานี้อาจประกอบด้วยสารไม่ออกฤทธิ์ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการแพ้หรือปัญหาอื่นได้
- แจ้งแพทย์หรือเภสัชกรถึงประวัติทางการแพทย์เสมอ โดยเฉพาะโรคตับ โรคหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจตาย มีปัญหาการหายใจหรือปัสสาวะ ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน มีอาการชัก หรือสภาวะอื่นที่อาจทำให้ชักง่ายขึ้น
- หากตนเองหรือคนในครอบครัวมีประวัติฆ่าตัวตาย มีความผิดปกติทางจิตใจหรืออารมณ์ เช่น โรคไบโพลาร์ (Bipolar disorder) หรือโรคจิตเภท รวมถึงโรคต้อหินชนิดมุมปิด ควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบก่อนเช่นกัน
- แจ้งรายการยาทุกชนิดที่กำลังใช้อยู่ ให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบเสมอ เพราะยา Nortriptyline และยาอีกหลายชนิด อาจส่งผลต่อจังหวะการเต้นของหัวใจ เช่น ยา Amiodarone, ยา Cisapride, ยา Dofetilide และยาปฏิชีวนะกลุ่ม Macrolide
- ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาในกลุ่ม MAO inhibitors เป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ทั้งก่อนและหลังใช้ยา Escitalopram โดยให้ปรึกษากับแพทย์เสมอ เพราะยาในกลุ่ม MAO inhibitors อาจก่อให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างยาที่ร้ายแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้
- ยา Nortriptyline อาจเป็นสาเหตุของหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดคลื่นไฟฟ้าหัวใจช่วง QT ยาว (QT prolongation) แม้พบได้น้อยแต่ร้ายแรง อาจทำให้เสียชีวิต ถ้ามีอาการหัวใจเต้นเร็ว หัวใจเต้นผิดจังหวะ เวียนศีรษะรุนแรง หน้ามืด ควรรีบพบแพทย์ทันที
- ยา Nortriptyline อาจทำให้เวียนศีรษะ ง่วงนอน หรือตาพร่ามัว ห้ามขับรถ ทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร ทำกิจกรรมใด ๆ ที่ต้องอาศัยการตื่นตัวหรือการมองเห็นที่ชัดเจน รวมถึงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะยิ่งทำให้อาการรุนแรงมากขึ้น
- หากกำลังใช้ยา Nortriptyline และต้องเข้ารับการผ่าตัด ให้แจ้งแพทยหรือทันตแพทย์ทราบก่อน
- ยา Nortriptyline อาจทำให้ผิวไวต่อแสงแดด ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรง หลอดไฟอัลตราไวโอเลต (Sunlamps) หากต้องสัมผัสแสงแดด ควรทาครีมกันแดดและสวมเสื้อผ้ามิดชิด และแจ้งแพทย์ทันที หากมีอาการผิวไหม้จากแดด ผิวหนังแดง หรือผิวหนังมีตุ่มพอง
- ยา Nortriptyline ชนิดน้ำ อาจมีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์ จึงต้องระมัดระวังการใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่จำเป็นต้องจำกัดหรือหลีกเลี่ยงการรับประทานแอลกอฮอล์ เช่น โรคเบาหวาน พิษสุราเรื้อรัง และโรคตับ หรือโรคอื่น ๆ
- ยานี้อาจทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ยากขึ้น ผู้ป่วยเบาหวานควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตัวเองเป็นประจำ และปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลก่อนเสมอ เพราะอาจต้องปรับการใช้ยาเบาหวาน โปรแกรมการออกกำลังกาย หรือปรับการรับประทานอาหาร
- ผู้สูงอายุมีโอกาสเกิดอาการข้างเคียงจากยาได้มากกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะอาการปากแห้ง เวียนศีรษะ สับสน ปัสสาวะลำบาก และหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิด QT prolongation
- ยา Nortriptyline ควรใช้เฉพาะกรณีที่ประเมินแล้วว่ามีความจำเป็นจริง และยา Nortriptyline ผ่านไปยังน้ำนมได้ ทำให้อาจเกิดอาการไม่พึงประสงค์ในทารกที่ดูดนม คุณแม่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา
- ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพราะอาจต้องมีการตรวจติดตามอาการ และผลข้างเคียงระหว่างใช้ยานี้เป็นระยะ การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ EKG การตรวจการทำงานของตับ การตรวจระดับยา Nortriptyline ในเลือด
คำแนะนำในการใช้ยา Nortriptyline
ใช้ยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
ผู้ป่วยต้องปฏิบัติตามวิธีใช้ยาที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ห้ามแบ่งยานี้ให้ผู้อื่นใช้ โดยขนาดยาที่ได้รับจะขึ้นอยู่กับสภาวะโรคและการตอบสนองต่อการรักษา
แพทย์อาจให้ยาขนาดต่ำก่อน แล้วค่อย ๆ ปรับเพิ่มขนาดยาขึ้น เพื่อลดการเกิดอาการข้างเคียง เช่น ปากแห้ง เวียนศีรษะ
ห้ามหยุดยาเองโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์
การหยุดใช้ยากะทันหัน อาจทำให้อาการแย่ลง หรือเกิดอาการบางอย่างได้ เช่น อารมณ์แปรปรวน ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย และการนอนหลับเปลี่ยนแปลงไป
ผู้ป่วยต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่องแม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม อย่าหยุดยาเองโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ และเพื่อป้องกันไม่ให้มีอาการดังกล่าวระหว่างหยุดยา แพทย์อาจค่อย ๆ ปรับลดขนาดยาลงก่อนพิจารณาหยุดยา
ยาอาจใช้เวลาสักพักใหญ่ในการออกฤทธิ์จนเห็นประโยชน์
เมื่อรับประทานยานี้แล้ว ยาจะยังไม่ออกฤทธิ์ในทันที แต่อาการจะเริ่มดีขึ้นเมื่อใช้ยาไปแล้วราว ๆ สัปดาห์ และอาจใช้เวลานานถึง 4 สัปดาห์ ถึงได้ประโยชน์จากยาเต็มที่
แจ้งแพทย์ทันที หากอาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง
แจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทันที ถ้ามีอาการใด ๆ เกิดขึ้น หรืออาการที่เป็นอยู่แย่ลง เช่น หงุดหงิด ฉุนเฉียว รู้สึกเกลียด รู้สึกโกรธ มีปัญหาในการนอนหลับ มีพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น กระวนกระวายใจอย่างรุนแรง พูดเร็วมาก รู้สึกซึมเศร้ามากกว่าเดิม หรือมีความคิดฆ่าตัวตาย
โดยให้สังเกตอาการเหล่านี้เป็นพิเศษในช่วงเริ่มใช้ยา หรือเมื่อมีการปรับขนาดยา โดยเฉพาะผู้ป่วยอายุน้อย และควรไปพบแพทย์ตามนัดหมายเสมอ เพื่อติดตามผลการรักษา กรณีมีข้อสงสัยหรือปัญหาใด ๆ ให้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
การได้รับยา Nortriptyline เกินขนาด
การได้รับยา Nortriptyline เกินขนาด อาจก่อให้เกิดอาการต่าง ๆ ได้ เช่น ง่วงนอนอย่างรุนแรง ประสาทหลอน หัวใจเต้นเร็ว หัวใจเต้นผิดจังหวะ หน้ามืดเป็นลม หายใจช้า หายใจตื้น มีอาการชัก
รวมถึงอาจก่อให้เกิดอาการร้ายแรง อย่างการหมดสติ หรือหายใจลำบาก หากพบผู้ใดมีอาการเหล่านี้ ให้รีบเรียกรถพยาบาลทันที โทร 1669
ใครบ้างที่ไม่ควรใช้ยา Nortriptyline
สภาวะต่อไปนี้ถือเป็นข้อห้ามในการใช้ยา Nortriptyline ดังนั้น ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบเสมอ หากคุณมีสภาวะดังต่อไปนี้
- แพ้ยา Nortriptyline
- แพ้ยาที่มีโครงสร้างเป็น Tricyclic Compounds
- เป็นโรคจิตเภท
- เป็นโรคไบโพลาร์ (Bipolar disorder)
- มีความคิดฆ่าตัวตาย
- เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง (Alcoholism)
- เป็นกลุ่มอาการเซโรโทนิน (Serotonin syndrome)
- มีโรคหรือภาวะที่อาจทำให้ชักได้ง่าย (Lower seizure threshold)
- เป็นต้อหินมุมปิด หรือมีความเสี่ยงต่อการเป็นต้อหินมุมปิด
- มีภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป (Overactive thyroid gland)
- มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายในช่วง 30 วันที่ผ่านมา
- มีภาวะหัวใจเต้นเร็วชนิด Sinus Tachycardia
- ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจพบคลื่นช่วง QT ยาว
- มีภาวะคลื่นไฟฟ้าหัวใจช่วง QT ผิดปกติตั้งแต่กำเนิด
- มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- เป็นโรคหลอดเลือดสมอง
- เป็นโรคตับอย่างรุนแรง
- เป็นโรคไตวาย
- เป็นโรคต่อมลูกหมากโต
- มีอาการชัก
- มีปัญหาในการปัสสาวะ
- มีการทำงานของเอนไซม์ CYP2D6 น้อยกว่าปกติ (CYP2D6 poor metabolizer)
การใช้ยา Nortriptyline ในผู้มีครรภ์และผู้ที่ให้นมบุตร
การใช้ยา Nortriptyline กับผู้มีครรภ์นั้นควรใช้ในกรณีจำเป็นเท่านั้น รวมถึงกับผู้ที่กำลังให้นมบุตรด้วย เพราะยานี้อาจส่งผ่านไปยังน้ำนมและส่งผลต่อทารกในครรภ์ได้
หากกำลังวางแผนตั้งครรภ์ กำลังตั้งครรภ์ หรือคิดว่าตนเองอาจจะตั้งครรภ์ ให้รีบปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับความเสี่ยงและประโยชน์ที่จะได้รับจากยานี้ขณะตั้งครรภ์ทันที
ถ้าลืมกินยา Nortriptyline ต้องทำอย่างไร
ถ้าลืมรับประทานยา ให้รีบรับประทานทันทีที่นึกได้ตามจำนวนปกติ (เช่น ถ้าปกติรับประทาน 1 เม็ด ก็รับประทานเท่าเดิม ไม่ต้องเพิ่มเป็น 2 เม็ด)
กรณีที่เพิ่งนึกได้ตอนใกล้รับประทานมื้อใหม่ ให้ข้ามมื้อที่ลืมไป และรอรับประทานมื้อถัดไปได้เลย ในจำนวนปกติเช่นกัน ไม่ต้องเพิ่มขนาดยา
ผลข้างเคียงจากยา Nortriptyline
Nortriptyline อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงกับผู้ป่วยบางรายได้ แต่หลาย ๆ คนไม่มีผลข้างเคียงเลยหรืออาจมีผลข้างเคียงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มักไม่รุนแรง และหายไปภายในไม่กี่วัน
ผลข้างเคียงที่พบบ่อย
- ท้องผูก
- รู้สึกเวียนศีรษะ
- ปากแห้ง
- รู้สึกง่วงนอน
- ปัสสาวะลำบาก
- ปวดหัว
ผลข้างเคียงร้ายแรง
เป็นผลข้างเคียงที่พบได้น้อย แต่หากมีอาการเหล่านี้ ให้รีบพบแพทย์ทันที
- หัวใจเต้นเร็วและไม่สม่ำเสมอ
- ตาขาวเปลี่ยนเป็นสีเหลือง หรือผิวเปลี่ยนเป็นสีเหลือง (อาจสังเกตได้ไม่ชัดในผิวสีน้ำตาลหรือสีดำ) ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของปัญหาตับได้
- มีอาการปวดหัวเรื่อย ๆ และไม่ดีขึ้น รู้สึกสับสน อ่อนแรง หรือเป็นตะคริวกล้ามเนื้อ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของระดับโซเดียมในเลือดต่ำ
- มีความคิดที่จะทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตาย
- ปวดตา การมองเห็นเปลี่ยนแปลงไป หรือมีอาการบวม แดงด้านในหรือรอบ ๆ ดวงตา
- ท้องผูกเป็นเวลานาน หรือมีปัญหาในการปัสสาวะจนทำให้ปวดท้อง
อีกผลข้างเคียงที่อาจพบได้แต่น้อยลงไปอีก คืออาการภูมิแพ้รุนแรงเฉียบพลัน หรือภาวะแพ้รุนแรง (Anaphylaxis)
การเก็บรักษายา Nortriptyline
เก็บรักษายาที่อุณหภูมิห้อง ห่างจากแสงแดดและความชื้น ไม่เก็บยาในห้องน้ำ และเก็บยานี้ รวมถึงยาทุกชนิดให้ห่างจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
ไม่เทยานี้ทิ้งในห้องน้ำหรือในท่อระบายน้ำ ให้ทิ้งผลิตภัณฑ์ยานี้อย่างเหมาะสม เมื่อยาหมดอายุหรือเมื่อไม่จำเป็นต้องใช้ยานี้อีก