คลอดลูกธรรมชาติกับผ่าคลอด แบบไหนดีกว่า scaled

คลอดลูกธรรมชาติกับผ่าคลอด แบบไหนดีกว่า

การคลอดบุตรแบ่งออกได้หลายวิธี ซึ่งจะแบ่งออกได้หลักๆ 2 วิธี คือ การคลอดธรรมชาติ และผ่าคลอด โดยทั้ง 2 วิธีคลอดนี้ ล้วนส่งผลทำให้เกิดบาดแผลจากการคลอดบุตรทั้งนั้น เพียงแต่จะมีข้อดี ข้อเสียแตกต่างกันไป เรามาเจาะลึกเกี่ยวกับการคลอดบุตรทั้ง 2 แบบกันว่า เป็นอย่างไร มีข้อดี ข้อเสียที่แตกต่างกันอย่างไรบ้าง

มีคำถามเกี่ยวกับ คลอดบุตร? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

ความหมายของการคลอดธรรมชาติ

การคลอดด้วยวิธีธรรมชาติ (Natural birth) คือ กระบวนการคลอดบุตรตามธรรมชาติของร่างกายมารดา นั่นคือ การเบ่งคลอดเด็กออกมาทางช่องคลอด

คุณแม่มือใหม่หลายคนมักอยากคลอดลูกด้วยวิธีคลอดธรรมชาติ เพราะเจ็บน้อยกว่าการผ่าตัด เสียเลือดน้อยกว่า สามารถดูแลลูกน้อยได้ทันทีหลังคลอด และยังทำให้ทารกได้รับเชื้อแบคทีเรียดีระหว่างคลอดด้วย

นอกจากนี้การคลอดธรรมชาติยังทำให้เสี่ยงติดเชื้อได้น้อยกว่าวิธีผ่าคลอด ซึ่งการติดเชื้อจากการคลอดบุตรเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผู้หญิงเสียชีวิตหลังคลอดบุตรมาแล้วหลายราย

อย่างไรก็ตาม การคลอดบุตรด้วยวิธีธรรมชาติก็มีส่วนทำให้เกิดปัญหาช่องคลอดหลวม ไม่กระชับ ซึ่งเป็นผลมาจากการเบ่งเพื่อคลอดทารกออกมา และยังทำให้กล้ามเนื้อช่องคลอดไม่แข็งแรงอีกด้วย

ระยะของการคลอดทารกโดยธรรมชาติจะแบ่งได้ 4 ระยะ ได้แก่

  1. ระยะที่ 1 เป็นระยะที่เริ่มเจ็บครรภ์ไปจนถึงปากมดลูกขยายประมาณ 10 เซนติเมตร ถือเป็นระยะเวลาที่ยาวนานที่สุด เพราะเป็นระยะที่แพทย์จะประเมินอาการของหญิงตั้งครรภ์ว่า สามารถคลอดตามธรรมชาติได้หรือไม่
  2. ระยะที่ 2 เป็นระยะที่ปากมดลูกขยายประมาณ 10 เซนติเมตรไปจนถึงทารกคลอดออกมา
  3. ระยะที่ 3 เป็นระยะที่ทารกคลอดออกมาเรียบร้อยแล้ว และรกเด็กได้คลอดออกมาด้วย
  4. ระยะที่ 4 เป็นชั่วโมงแรกหลังคลอดทารก และรกเด็ก เป็นระยะที่แพทย์จะต้องดูแลแม่กับเด็กอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อน และภาวะตกเลือดหลังคลอด

ความหมายของการผ่าคลอด

การผ่าคลอด (Caesarean section) คือ กระบวนการผ่าตัดเพื่อคลอดทารกออกมา มักเกิดขึ้นในกรณีที่มารดาไม่ได้สามารถคลอดบุตรได้ตามธรรมชาติ เช่น

มีคำถามเกี่ยวกับ คลอดบุตร? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

  • ทารกอยู่ในท่าผิดปกติ เช่น ท่านอนขวาง
  • ทารกไม่อยู่ในท่าเอาศีรษะออกก่อน
  • ทารกมีภาวะสายสะดือย้อย
  • มารดามีเชื้อเอดส์ หรือเชื้อเริม
  • มารดาเคยผ่าตัดคลอดบุตร หรือผ่าตัดมดลูกมาก่อน
  • ทารกมีภาวะรกเกาะต่ำ หรือรกลอกตัวก่อนกำหนด

ข้อดี-ข้อเสียของการผ่าคลอด

การคลอดทารกด้วยวิธีผ่าอาจดูเหมือนมีข้อเสียหลายอย่าง เช่น

  • เสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อน หรือความดันโลหิตต่ำลง คลื่นไส้อาเจียน สำลักอาหารจากยาสลบ
  • เสี่ยงเกิดการติดเชื้อหลังคลอดได้
  • เกิดภาวะแทรกซ้อนจากแผลผ่าตัด หรือแผลติดเชื้อ แผลอักเสบ
  • เกิดพังผืดในช่องท้อง
  • เสียเลือดจากการผ่าตัดมากเกินไปจนเสียชีวิต
  • มารดาจะเจ็บแผลทำคลอดมากกว่า และนานกว่า
  • ทารกอาจมีปัญหาเรื่องการหายใจหลังคลอด

อย่างไรก็ตาม ข้อดีของการผ่าคลอดก็ยังมี เช่น ไม่ทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอักเสบจากการคลอดด้วยวิธีธรรมชาติ ไม่ทำให้ตกเลือดที่ช่องคลอด แต่แพทย์มักจะไม่นิยมผ่าคลอด ยกเว้นแต่สภาพร่างกายของหญิงตั้งครรภ์ไม่พร้อมจริงๆ

อีกทั้งหลังจากผ่าคลอดแล้ว หากเกิดการตั้งครรภ์ขึ้นอีกก็ยากที่หญิงตั้งครรภ์รายนั้นจะคลอดตามธรรมชาติได้ เพราะมดลูกได้เกิดบาดแผล และไม่แข็งแรงเหมือนเดิมแล้ว ทำให้ไม่สามารถคลอดบุตรตามธรรมชาติได้

การเปลี่ยนแปลงของร่างกายหลังคลอดบุตร

แน่นอนว่า ร่างกายหลังคลอดบุตรไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ย่อมส่งผลให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ซึ่งสามารถแจกแจงได้ดังต่อไปนี้

  • ช่องคลอดกับแผลฝีเย็บ อาจยังมีอาการบวม และแผลยังไม่ปิดสนิทดี ทำให้นั่ง หรือนอนแล้วรู้สึกเจ็บได้ แต่ภายในเวลา 3-4 สัปดาห์ อาการจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง
  • มดลูก เมื่อคลอดบุตรแล้ว มดลูกจะค่อยๆหดตัวกลับมาเป็นขนาดปกติ แต่เพราะขนาดมดลูกที่เคยใหญ่จากการตั้งครรภ์ จึงอาจทำให้รู้สึกเจ็บหลังคลอดบุตรได้บ้าง
  • เต้านม อาจมีอาการคัดตึงจากการผลิตน้ำนม ซึ่งจะบรรเทาได้จากการให้ลูกดูดนมจากอก
  • ผนังหน้าท้อง อาจหย่อน ไม่กระชับตึงเหมือนก่อนที่จะตั้งครรภ์ ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการปรับสภาพร่วมกับการออกกำลังกาย
  • ช่องคลอด และทางเดินปัสสาวะบวม ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปัสสาวะลำบาก รู้สึกเจ็บขณะปัสสาวะ หรือนั่ง นอกจากนี้ยังอาจมีอาการปัสสาวะเล็ด หรือปวดขัดปัสสาวะบ่อยๆ จากศีรษะทารกขณะคลอดที่ไปกดทับคอปัสสาวะเป็นเวลานาน
  • มีน้ำคาวปลาไหล ซึ่งเป็นน้ำเลือด และเนื้อเยื่อที่ยังติดค้างอยู่ในมดลูกหลังคลอด โดยปกติจะไหลอยู่ประมาณ 7-10 วันหลังคลอดบุตร หรืออาจเป็นเดือน และยิ่งระยะเวลาผ่านไปนานเท่าไร น้ำคาวปลาก็จะยิ่งมีสีใสมากขึ้น ก่อนที่จะหมดลง

วิธีดูแลตนเองหลังจากคลอดบุตร

หลังจากคลอดบุตรไม่ว่าจะด้วยวิธีธรรมชาติ หรือวิธีผ่าคลอด ก็ล้วนแต่ต้องดูแลสุขภาพ และร่างกายหลังคลอด เพื่อลดโอกาสการเกิดความผิดปกติต่างๆ

การดูแลตนเองกรณีคลอดบุตรตามธรรมชาติ

  1. เคลื่อนไหวร่างกายให้บ่อย เพื่อให้กล้ามเนื้อมดลูก และแผลฝีเย็บสมานเร็วขึ้น แต่ควรหลีกเลี่ยงการเดินในท่าเดินหนีบ เพราะจะทำให้แผลผ่าคลอด หรือช่องคลอดเสียดสีจนเป็นแผล
  2. อย่ายกของหนัก หรือออกกำลังกายหักโหม เพราะมดลูกเพิ่งผ่านการโอบอุ้มทารกมาตลอด 9 เดือน จึงต้องใช้เวลาฟื้นตัว และไม่ถูกกระทบกระเทือนแรงๆ
  3. รับประทานยาแก้ปวดอย่างพาราเซตามอล (Paracetamol) 1 เม็ดทุกๆ 4-6 ชั่วโมงเมื่อมีอาการปวด หรืออาบน้ำอุ่น ประคบร้อนที่แผลผ่าคลอด
  4. ห้ามใช้หัวฉีดล้างชำระ หรือฝักบัวล้างแผลฝีเย็บเด็ดขาด เพื่อไม่ให้แรงดันน้ำไปทำให้แผลปริแยกออกจากกัน
  5. หาเบาะ หรือหมอนนุ่มๆ เข้ามารองก้น เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดช่องคลอด หรือแผลผ่าคลอด
  6. อย่าแช่น้ำนานเกินไป เพราะจะเสี่ยงต่อการป่วย เนื่องจากหลังคลอดบุตร ร่างกายจะยังไม่ได้พักฟื้นเต็มที่ ทำให้มีอาการอ่อนเพลีย ภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรงพอ
  7. หมั่นเปลี่ยนผ้าอนามัยหากมีน้ำคาวปลาไหลทุกๆ 3 ชั่วโมง เพื่อความสะอาดของช่องคลอด
  8. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยควรเป็นอาหารย่อยง่าย รสไม่จัด มีกากใยที่ง่ายต่อการขับถ่าย และต้องครบ 5 หมู่
  9. หลีกเลี่ยงการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เครื่องดื่มชูกำลัง อาหารปรุงไม่สุก อาหารรสจัด อาหารหมักดอง เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ ไม่มีสารเคมี หรือสารอันตรายเจือปน
  10. ระมัดระวังเรื่องการรับประทานยา ไม่ว่าจะเป็นยานอนหลับ ยาปฏิชีวนะ ยาจีน ยาดองเหล้า
  11. พักผ่อนให้เต็มที่ โดยควรนอนหลับอย่างน้อยวันละไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมง แต่ไม่ควรหลับระหว่างให้นมลูก เพราะเต้านมอาจไปปิดจมูกทารก ทำให้เด็กหายใจไม่ออก
  12. ดูแลสุขภาพจิตให้ดี ซึ่งในส่วนนี้ ทั้งสามี และคนในครอบครัวที่อาศัยอยู่บ้านเดียวกันล้วนมีส่วนสำคัญ ที่จะช่วยเอาใจใส่ แบ่งเวลากันดูแลเด็ก และไม่ทอดทิ้งหากแม่ของเด็กมีอาการซึมเศร้าหลังคลอด
  13. คุมกำเนิดหลังคลอด โดยควรเว้นระยะในการมีลูกคนต่อไปประมาณ 2 ปี เพื่อจะได้มีเวลาดูแลลูกอย่างเต็มที่ ไม่ทำให้พี่น้องรู้สึกว่า พ่อแม่ลำเอียง หรือถูกทอดทิ้ง
  14. ฝึกขมิบช่องคลอด เพื่อให้ช่องคลอดกลับมากระชับ และทำให้กล้ามเนื้อพยุงเชิงกรานกลับมาแข็งแรง
  15. ไปตรวจสุขภาพกับแพทย์ โดยควรเริ่มไปตรวจหลังจากคลอดประมาณ 4-6 สัปดาห์ เพื่อให้แพทย์ตรวจสภาพปากมดลูก และอวัยวะอุ้งเชิงกราน
    นอกจากนี้หากมีอาการผิดปกติก็ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เช่น ปวดท้องอย่างรุนแรง ปวดศีรษะบ่อย มีไข้สูง ปัสสาวะแสบขัด มีก้อนที่เต้านม น้ำคาวปลาไม่หยุดไหล

การดูแลตนเองกรณีคลอดบุตรแบบผ่าคลอด

  1. เคลื่อนไหว และพลิกตัวบ่อยๆ เพื่อลดการเกิดพังผืดในช่องท้องกับเยื่อบุช่องท้องบริเวณที่ผ่าคลอด
  2. หลีกเลี่ยงการยกของหนัก หรือทำกิจกรรมที่เกร็งกล้ามหน้าท้อง เพราะเสี่ยงทำให้รู้สึกเจ็บแผลได้
  3. เวลาต้องก้มตัว หรือลุกขึ้นยืนให้ค่อยๆ เคลื่อนไหวด้วยการงอเข่าเข้าหากันก่อน
  4. พยายามอย่าให้แผลผ่าตัดโดนน้ำให้ช่วง 7 วันแรก แต่สามารถทำความสะอาดด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆ ได้
  5. ค่อยๆ เดินขึ้นลงบันไดอย่างระมัดระวัง หรือมีคนคอยประคอง เพื่อไม่ให้แผลกระทบกระเทือน และกล้ามเนื้อหน้าท้องอาจยังไม่แข็งแรงพอจะเคลื่อนไหวได้สะดวก หรือคล่องตัวนัก
  6. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน
  7. ปรับหัวเตียงให้สูงขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้แผลตรงหน้าท้องไม่ตึง และไม่ทำให้เจ็บแผล
  8. ไปตรวจร่างกายกับแพทย์เพื่อจะได้แน่ใจว่า แผลผ่าตัดอยู่ในสภาพเรียบร้อยดี
  9. ดูแลสุขภาพจิตให้แจ่มใส ซึ่งสามี และคนในครอบครัวต้องเข้ามาช่วยประคับประคองด้วย และหากรู้สึกว่า ตนเองเป็นโรคซึมเศร้าหลังคลอด ก็สามารถไปพบจิตแพทย์ได้

ราคาการคลอดธรรมชาติ และการผ่าคลอด

  • โรงพยาบาลรัฐ จะมีค่าใช้จ่ายในการคลอดบุตรตามธรรมชาติอยู่ที่ 5,000-10,000 บาท ส่วนการผ่าคลอดจะอยู่ที่ 15,000-25,000 บาท
  • โรงพยาบาลเอกชน จะมีค่าใช้จ่ายในการคลอดบุตรตามธรรมชาติอยู่ที่ 30,000 – 50,000 บาท ส่วนการผ่าคลอดจะอยู่ที่ 45,000-100,000 บาท

การดูแลสุขภาพหลังคลอดบุตรเป็นเรื่องสำคัญที่อย่ามองข้ามเด็ดขาด เพราะอาจเป็นต้นเหตุของโรคภัย หรือความผิดปกติที่ร้ายแรงได้

โดยนอกจากตัวแม่เด็กแล้ว สามี คนในครอบครัว เพื่อนสนิทก็ต้องช่วยกันดูแลร่างกายหลังคลอดของมารดาให้กลับมาเป็นปกติ สามารถปรับตัวกับการเลี้ยงลูกได้โดยไม่รู้สึกว่า ถูกทอดทิ้ง


ตรวจสอบความถูกต้องโดย พญ. วรรณวนัช เสถียรธรรมมณี

มีคำถามเกี่ยวกับ คลอดบุตร? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

หากคุณติดตั้ง LINE บนคอมพิวเตอร์ของคุณแล้ว ระบบจะเปิดบัญชีทางการ LINE ของ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ โดยอัตโนมัติ

หากคุณยังไม่ได้ติดตั้ง LINE บนเดสก์ท็อป โปรดสแกน QR โค้ดด้วย LINE บนโทรศัพท์มือถือของคุณเพื่อเริ่มแชทกับ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ