chia seed healthy grain scaled

เมล็ดเจีย ธัญพืชสารพัดประโยชน์

เมล็ดเจีย หรือที่หลายคนสับสนกันว่าเป็นเม็ดแมงลัก เป็นธัญพืชสารพัดประโยชน์ที่ไม่ได้มีดีแค่เรื่องลดน้ำหนักเท่านั้น แต่ยังมีโอเมกา 3 สูง อุดมไปด้วยไฟเบอร์ ดีต่อระบบขับถ่าย มีสารอาหารที่จำเป็นต่อการเสริมสร้างกระดูกและฟัน และช่วยบำรุงสุขภาพผิว 

เมล็ดเจียเป็นเมล็ดธัญพืชขนาดเล็ก มีเปลือกนอกที่พองตัวได้เหมือนเม็ดแมงลัก จัดเป็นพืชตระกูลเดียวกันกับมินต์หรือกะเพรา  โดยถิ่นกำเนิดมาจากบริเวณตอนกลางและตอนใต้ของประเทศเม็กซิโก รวมถึงประเทศกัวเตมาลา ปัจจุบันนิยมปลูกกันมากในทวีปอเมริกา ส่วนในไทยมักปลูกที่จังหวัดลำปางและจังหวัดกาญจนบุรี 

สารอาหารในเมล็ดเจีย

ในเมล็ดเจียประมาณ 28 กรัม หรือราว ๆ 2 ช้อนโต๊ะครึ่ง จะให้พลังงานประมาณ 137 กิโลแคลอรี แยกเป็น 

แบ่งส่วนประกอบได้ดังนี้

  • คาร์โบไฮเดรต 12.3 กรัม
  • โปรตีน 4.4 กรัม
  • ใยอาหาร 10.6 กรัม
  • ไขมันทั้งหมด 8.6 กรัม (แบ่งเป็นไขมันอิ่มตัว 0.9 กรัม ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว 0.6 กรัม ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน 6.5 กรัม)
  • แคลเซียม 177 มิลลิกรัม
  • ฟอสฟอรัส 265 มิลลิกรัม
  • โพแทสเซียม 44.8 มิลลิกรัม
  • โซเดียม 5.3 มิลลิกรัม
  • สังกะสี 1.0 มิลลิกรัม
  • ทองแดง 0.1 มิลลิกรัม
  • แมงกานีส 10.6 กรัม
  • น้ำ 1.4 กรัม
  • โอเมก้า 3 สูงกว่าปลา 8 เท่า (หากเทียบที่น้ำหนักเท่ากัน)

ประโยชน์ของเมล็ดเจียต่อสุขภาพ

มีไฟเบอร์สูง ดีต่อลำไส้ ท้องไม่ผูก
ใครที่มีปัญหากับระบบขับถ่าย เมล็ดเจียช่วยแก้ปัญหานี้ได้ เพราะเมล็ดเจียนั้นมีกากใยหรือไฟเบอร์สูง และไฟเบอร์ประมาณ 20% เป็นชนิดดูดซึมง่าย การกินเมล็ดเจียจึงดีต่อระบบลำไส้และระบบขับถ่าย ช่วยแก้อาการท้องผูก และดูดซึมสารพิษที่ตกค้างอยู่ในลำไส้   

กินนิดเดียวก็อิ่มนาน
เมล็ดเจียเป็นธัญพืชช่วยลดน้ำหนักได้อย่างดี เพราะเต็มไปด้วยใยอาหารที่ดูดซึมของเหลวต่าง ๆ ได้อย่างดี โดยก่อนกินให้นำเมล็ดเจียไปแช่ในเครื่องดื่มต่าง ๆ เมล็ดเจียจะดูดซึมของเหลวเหล่านั้นและไปพองตัวในกระเพาะอาหาร ทำให้อิ่มเร็ว และกินอาหารอื่นได้น้อยลง 

นอกจากนี้ เมล็ดเจียยังมีใยอาหารเยอะ กระเพาะอาหารจะค่อยย่อยอย่างช้า ๆ ทำให้อิ่มนาน ไม่ค่อยอยากอาหาร และเมล็ดเจียยังมีคุณค่าสารอาหารหลายอย่าง จึงช่วยลดการกินจุบจิบลงได้ เพราะสาเหตุของการกินจุบจิบส่วนหนึ่งมาจากการที่ร่างกายได้รับสารอาหารต่าง ๆ ไม่เพียงพอ

มีโอเมกาสูง
โอเมกา 3 ไม่ได้อยู่แค่ในปลาเท่านั้น แต่ยังพบในเมล็ดเจียด้วย ถ้าเทียบในปริมาณที่เท่ากัน เมล็ดเจียนั้นมีโอเมกา 3 สูงกว่าปลาถึง 8 เท่า แต่เมล็ดเจียย่อยยากกว่าปลา ก่อนกินจึงควรบดให้ละเอียดก่อน เพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ดี

โอเมกา 3 ในเมล็ดเจียนั้นมีสรรพคุณมากมาย ทั้งช่วยลดการอักเสบ ป้องกันการติดเชื้อที่บาดแผล ทำให้แผลสมานตัวได้เร็วขึ้น ไม่เป็นแผลเรื้อรัง และช่วยบรรเทาอาการเจ็บแผล นอกจากนี้ โอเมกา 3 ยังช่วยปรับสมดุลระบบไหลเวียนโลหิต ลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ ช่วยให้หัวใจแข็งแรง เร่งการเผาผลาญให้ดีขึ้น และยังช่วยบำรุงสมองให้ความจำดี  

ช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแร็ง
เมล็ดเจียมีสารอาหารที่จำเป็นต่อการเสริมสร้างกระดูกและฟัน ได้แก่ แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม และโปรตีน จึงช่วยบำรุงกระดูก ป้องกันโรคกระดูกพรุนและกระดูกบางได้

ส่งผลดีต่อผู้ป่วยโรคเบาหวาน
เมล็ดเจียช่วยชะลอการทำงานของระบบย่อยอาหาร จึงช่วยเรื่องการควบคุมน้ำตาล ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ ซึ่งลดโอกาสการเกิดอาการแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน 

ช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อส่วนที่สึกหรอ
เมล็ดเจียมีโปรตีนและฟอสฟอรัสสูง จึงช่วยให้ร่างกายนำสารอาหารเหล่านี้ไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเยื่อหรือกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ  

ช่วยให้อารมณ์ดี
เมล็ดเจียมีกรดอะมิโนชนิดหนึ่งคล้ายกับที่มีอยู่ในนม พอกินเข้าไปก็จะช่วยคุมความอยากอาหาร ทำให้นอนหลับสนิท และช่วยให้อารมณ์คงที่  

ช่วยลดปัญหาผิว สิวอุดตัน ช่วยให้ผิวเปล่งปลั่ง
ใครที่ชอบกินอาหารหวาน ๆ มัน ๆ จนเป็นสิวอักเสบ สิวอุดตัน ผิวหมองคล้ำไม่หายสักที การกินเมล็ดเจียช่วยได้ เพราะมีสรรพคุณช่วยลดไขมันส่วนเกิน นอกจากนี้ เมล็ดเจียยังมีแร่ธาตุสังกะสีที่ต่อสุขภาพผิว โดยช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้า ทำให้ผิวเรียบตึง ดูอ่อนเยาว์ รวมถึงมีแมกนีเซียมที่ช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต จึงช่วยให้ ผิวดูเปล่งปลั่งเป็นธรรมชาติ 

ข้อควรระวังและโทษในการกินเมล็ดเจีย

ถึงประโยชน์ของเมล็ดเจียจะมีมากมาย ไม่มีผลเสียต่อร่างกาย แต่ไม่เหมาะกับผู้ป่วยบางคนและอาจทำให้เกิดโทษต่อร่างกายได้หากทานไม่เหมาะสม

  • อาจทำให้ท้องผูก เนื่องจากเมล็ดเจียดูดซับน้ำได้มาก หากทานเม็ดเจียที่ยังไม่พองเต็มที่ แล้วไม่ทานน้ำตามมากๆ จะทำให้เม็ดเจียดูดน้ำในทางเดินอาหารจนทำให้ท้องผูกและขับถ่ายยากได้ ควรทานน้ำให้เยอะเสมอ หรือทำให้เมล็ดเจียพองน้ำก่อนทาน
  • ทำให้เลือดแข็งตัวช้า เพราะเมล็ดเจียจะทำให้เลือดแข็งตัวช้ากว่าปกติ และหลอดเลือดบางลง ดังนั้นการกินเมล็ดเจียเมื่อต้องผ่าตัดหรือเข้ารับการทำศัลยกรรมจึงอาจทำให้เกิดปัญหาเลือดไหลไม่หยุดตามมาได้ ซึ่งก็เป็นอันตรายมากทีเดียว
  • อันตรายต่อทารก เมล็ดเจีย อาจส่งผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อเด็กทารกได้ ดังนั้นคุณแม่ที่ให้นมบุตร จึงไม่ควรทานเมล็ดเจียอย่างเด็ดขาด เนื่องจากสารอาหารในเมล็ดเจียจะส่งผ่านไปสู่ลูกน้อยผ่านทางน้ำนมได้
  • ส่งผลให้ความดันต่ำลง การกินเมล็ดเจียอาจเป็นผลดีต่อผู้ที่มีปัญหาความดันโลหิตสูง แต่ในคนที่ความดันต่ำไม่ควรกินเมล็ดเจียอย่างเด็ดขาด เพราะจะไปลดความดันให้ต่ำลงกว่าเดิม ซึ่งไม่เป็นผลดีอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นใครที่มีปัญหาความดันโลหิตต่ำ จึงควรหลีกเลี่ยงเมล็ดเจียอย่างเด็ดขาด
  • ทำให้ท้องอืด แน่นท้อง เมื่อกินเมล็ดเจียมากเกินไป จะทำให้เกิดอาการท้องอืด แน่นท้อง และเกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร เพราะเมล็ดเจียจะขยายตัวขึ้นอีกประมาณ 25% เมื่ออยู่ในกระเพาะอาหาร จึงทำให้ย่อยไม่ทันและเกิดอาการท้องอืดได้นั่นเอง

กลุ่มคนที่ต้องระวังในการทานเม็ดเจีย

  • คนที่กระเพาะอาหารและระบบลำไส้มีปัญหา คนที่มีปัญหาเรื่องแก๊สในกระเพาะอาหารหรือเป็นกรดไหลย้อน การกินเมล็ดเจียจะยิ่งทำให้อาการหนักกว่าเดิม เพราะเมื่อย่อยลงไปในกระเพาะอาหารแล้ว เมล็ดเจียจะขยายตัวมากกว่าปกติได้ถึง 25% และไปกระตุ้นให้ตับอ่อนสร้างน้ำย่อยออกมามากกว่าเดิม ส่งผลให้อาการกรดไหลย้อนหนักขึ้น
  • คนที่ต้องเข้ารับการศัลยกรรม คนที่ต้องทำศัลยกรรม รวมถึงคนที่ใช้ยาแอสไพรินและยาละลายลิ่มเลือด ควรงดกินเมล็ดเจีย เพราะเมล็ดเจียจะยิ่งทำให้หลอดเลือดบาง และส่งผลให้เลือดแข็งตัวช้ากว่าปกติ ถ้ามีบาดแผล เลือดก็จะไม่หยุดไหล
  • คนที่มีความดันเลือดต่ำ คนที่เป็นความดันต่ำไม่ควรกินเมล็ดเจีย เพราะเมล็ดเจียจะส่งผลต่อแรงดันเลือดในขณะที่หัวใจคลายตัว ซึ่งเป็นช่วงที่ความดันเลือดต่ำ ให้ยิ่งต่ำลงไปอีก อาจทำให้ช็อก หน้ามืด หรือเป็นลมได้
  • คนที่กำลังตั้งครรภ์ คนที่กำลังตั้งครรภ์และอยู่ในช่วงให้นมบุตรไม่ควรกินเมล็ดเจีย เพราะสารอาหารในเมล็ดเจียมีผลต่อระบบไหลเวียนโลหิต และอาจส่งผลกระทบต่อเด็กในท้องได้

แม้ว่าเมล็ดเจียจะอุดมไปด้วยประโยชน์ที่หลากหลาย แต่การกินแบบผิด ๆ ก็นำอันตรายมาให้ได้เหมือนกัน เราจึงต้องกะปริมาณการกินเมล็ดเจียให้พอดี และที่สำคัญคือไม่ควรกินแทนอาหารมื้อหลักด้วย


คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเมล็ดเจีย

เมล็ดเจียกินตอนไหน ดีที่สุด

เมล็ดเจียสามารถทานได้ตลอดทั้งวัน แต่การเลือกเวลาทานสามารถขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ของคุณ

  1. ทานตอนเช้า: การทานเมล็ดเจียในตอนเช้าสามารถเป็นการเริ่มต้นวันใหม่ที่ดี เนื่องจากเมล็ดเจียมีไฟเบอร์และโปรตีนสูง ช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มนานและสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ หากทานกับน้ำหรือใส่ในสมูทตี้ ก็เป็นตัวเลือกที่ดีในการเพิ่มพลังงานช่วงเช้า
  2. ทานก่อนออกกำลังกาย: เมล็ดเจียมีคาร์โบไฮเดรตชนิดที่ย่อยช้า ซึ่งสามารถเป็นแหล่งพลังงานที่ดีระหว่างการออกกำลังกาย หากทานก่อนออกกำลังกาย 30-60 นาที จะช่วยให้ร่างกายมีพลังงานเพียงพอในระหว่างการฝึก
  3. ทานตอนเย็นหรือก่อนนอน: เมล็ดเจียสามารถช่วยในเรื่องการนอนหลับ เพราะมีกรดไขมันโอเมก้า-3 และแมกนีเซียมซึ่งช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อและส่งเสริมการนอนหลับ หากทานเมล็ดเจียในตอนเย็น ควรทานร่วมกับของหวานหรือโยเกิร์ต

หากคุณใช้เมล็ดเจียเพื่อบรรเทาอาการท้องผูก หรือช่วยในการย่อยอาหาร การทานพร้อมน้ำในช่วงเช้าเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะไฟเบอร์ในเมล็ดเจียจะดูดน้ำและช่วยกระตุ้นการขับถ่าย

ที่สำคัญ ไม่ว่าคุณจะเลือกทานตอนไหน อย่าลืมดื่มน้ำให้เพียงพอ ถ้าดื่มน้ำไม่พออาจทำให้ท้องผูกได้

เมล็ดเจียกินทุกวันได้ไหม

เมล็ดเจียสามารถทานทุกวันได้ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะมันเป็นแหล่งอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เช่น ไฟเบอร์, โปรตีน, กรดไขมันโอเมก้า-3, แคลเซียม, และแร่ธาตุอื่นๆ ที่ดีต่อสุขภาพ

เมล็ดเจียกินได้แค่ไหนถึงดีต่อสุขภาพ

เมล็ดเจียกินได้ทุกช่วงวัย โดยปกติแล้วการทานเมล็ดเจียไม่ควรเกิน 15-30 กรัม ต่อวัน (ประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ) สำหรับคนทั่วไป

การกินเมล็ดเจียเพื่อสุขภาพ จะกินตอนไหนเมื่อไหร่ก็ได้ หรืออาจกินเรื่อยๆ ตลอดวัน โดยให้นำเมล็ดเจีย 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำเปล่า 1 แก้ว แช่ไว้ประมาณ 10-15 นาทีก็นำมาดื่มได้เลย

หากคุณมีปัญหาด้านสุขภาพ เช่น โรคที่เกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด ปัญหาความดันต่ำ ตั้งครรภ์ โรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน

กินเมล็ดเจียก่อนนอน ได้ไหม

ทานได้ในปริมาณที่เหมาะสม ควรทานเป็นเครื่องดื่มเบาๆ ช่วยให้หลับสบายขึ้น เพราะมีกรดไขมันโอเมก้า-3 และแมกนีเซียมซึ่งช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อและส่งเสริมการนอนหลับ

วิธีกินเมล็ดเจียลดน้ำหนัก ควรกินอย่างไร

เมล็ดเจีย ไม่ได้ทำให้น้ำหนักลดโดยตรง แต่ช่วยควบคุมน้ำหนัก ลดความอยากอาหารมื้อหลักลงได้ เมื่อกินได้น้อยลงก็ทำให้น้ำหนักลดลง

การทานเม็ดเจีย แนะนำให้การแช่เมล็ดเจียในน้ำ นมหรือโยเกิร์ตก่อนทาน ประมาณ 15-20 นาที หรือทิ้งไว้ข้ามคืนเพื่อให้เมล็ดเจียดูดซับน้ำและขยายตัว กลายเป็นเจลหนืด ซึ่งจะช่วยให้รู้สึกอิ่มนานขึ้นและลดการทานอาหารมากเกินไป

คำแนะนำในการทานเม็ดเจียให้มีประสิทธิภาพในการลดน้ำหนัก

  • ทานร่วมกับอาหารที่มีไฟเบอร์สูง: เช่น ผลไม้, ผัก หรือธัญพืชเพื่อเพิ่มการอิ่มและกระตุ้นการย่อยอาหาร เช่น เมล็ดเจียในสมูทตี้, โยเกิร์ต, หรือข้าวโอ๊ต
  • เพิ่มเมล็ดเจียในน้ำผลไม้: หากต้องการเพิ่มความอิ่มโดยไม่รู้สึกหนักท้อง ให้ลองเพิ่มเมล็ดเจียในน้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มอื่นๆ ที่คุณชอบ
  • เมล็ดเจียในสลัด: สามารถโรยเมล็ดเจียลงในสลัดเพื่อเพิ่มความอิ่มหรือใส่ในซุป ซึ่งจะทำให้คุณได้รับประโยชน์จากไฟเบอร์และกรดไขมันดี
  • กินก่อนมื้ออาหาร: เมล็ดเจียสามารถกินก่อนมื้ออาหารเพื่อช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มเร็วขึ้นและลดการทานอาหารเกินความจำเป็น

หากทำได้ต่อเนื่อง จะช่วยให้ร่างกายอิ่มกำลังดี ไม่อดอาหาร สารอาหารครบถ้วน ได้รับพลังงานน้อยลง ส่งผลให้น้ำหนักลดลงอย่างเป็นธรรมชาติ ที่สำคัญ ควรดื่มน้ำตามมากๆ เพื่อให้อยู่ท้องและไม่ทำให้ท้องผูกจากการดูดซับน้ำของเม็ดเจีย

ทั้งนี้หากต้องการให้เมล็ดเจียพองตัวเร็วขึ้น แนะนำให้แช่ในน้ำอุ่น และใช้ช้อนคนเรื่อยๆ จะทำให้เมล็ดเจียพองตัวได้เร็วกว่าเดิม โดยนอกจากแช่ในน้ำเปล่าแล้ว เมล็ดเจียก็สามารถแช่ในเครื่องดื่มชนิดอื่นได้อีกด้วย เช่น น้ำผลไม้ นม ชา กาแฟ น้ำเต้าหู้ และน้ำหวาน เป็นต้น แต่อาจใช้เวลาในการแช่นานขึ้น ประมาณ 15-20 นาที

การกินเมล็ดเจียเพื่อลดน้ำหนัก ก็สามารถแช่ในเครื่องดื่มชนิดอื่น นอกเหนือจากน้ำเปล่าได้อีกด้วย เช่น นมจืด น้ำผลไม้คั้นเองไม่ใส่น้ำตาล หรือจะแช่ในโยเกิร์ตกินแทนอาหารเช้าก็ได้เหมือนกัน

กินเมล็ดเจียแล้วท้องอืด แก้อย่างไร

เมล็ดเจียนั้นกินได้ทั้งแบบแห้งและแบบแช่น้ำ หลายคนที่กินแบบแห้งจึงมักประสบปัญหาท้องผูก ส่วนคนที่กินแบบแช่น้ำก็จะรู้สึกท้องอืด เพราะเมล็ดเจียจะขยายตัวจากการดูดซับน้ำ แม้จะกินน้อย แต่ก็อิ่มนาน ท้องเลยพาลอืดไปด้วย ดังนั้น ถ้าเพิ่งเริ่มกินเมล็ดเจียครั้งแรก ควรลองกินแค่ 2-3 ช้อนชาต่อครั้ง เพื่อทดสอบดูก่อนว่าร่างกายรับได้ที่ปริมาณเท่าไร จะได้ไม่ต้องทรมานกับอาการท้องอืด 

วิธีกินเมล็ดเจียไม่ให้ท้องอืด 

  1. ควรกะปริมาณให้ดี ๆ เริ่มจากแช่เมล็ดเจียในน้ำเปล่าที่อุณหภูมิห้อง ราว ๆ 15 นาที เพื่อให้เมล็ดขยายตัว  
  2. ถ้าอยากดื่มกับของร้อน เช่น กาแฟ น้ำอุ่น ให้แช่ไว้แค่ 10 นาทีก็พอ  
  3. ถ้าดื่มพร้อมน้ำเย็น ควรแช่ไว้อย่างน้อย 1 ชั่วโมงก่อนดื่ม 
  4. ถ้ากินเมล็ดเจียกี่ครั้งก็ยังมีอาการท้องผูก แนะนำให้กินเม็ดแมงลัก หรือธัญพืชอย่างอื่นแทน  

เมล็ดเจียกับเมล็ดแมงลัก แตกต่างกันอย่างไร 

คนรักสุขภาพและคนที่ควบคุมน้ำหนักคงจะรู้จักทั้งเมล็ดเจียและเม็ดแมงลัก ทั้งคู่ต่างก็มีความพิเศษร่วมกันหนึ่งข้อคือ การพองตัวหลังแช่น้ำ โดยเมล็ดเจียจะพองตัวเป็นสีใส ๆ ส่วนเม็ดแมงลักพองตัวแล้วมีเมือกสีขาวขุ่น

นอกจากนี้ เมล็ดเจียและเม็ดแมงลักยังมีคุณสมบัติอีกหลายข้อที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นราคา หรือความนิยมที่กำลังเทไปทางฝั่งเมล็ดเจีย พอเป็นแบบนี้ หลายคนก็อาจสงสัยว่าธัญพืชชนิดไหนดีต่อสุขภาพมากกว่า

รูปร่างของเมล็ดเจียและเมล็ดแมงลัก

  • เมล็ดเจียมีรูปร่างมน สีขาวและเทาปนกันเป็นเฉดสี บางครั้งสีก็จะออกเป็นโทนดำ เปลือกหุ้มไม่เรียบ และมีลวดลาย
  • เม็ดแมงลักจะมีรูปร่างรี สีดำเข้มเหมือนงา และเปลือกหุ้มเมล็ดไม่มีลวดลาย

สรรพคุณของเมล็ดเจียและเมล็ดแมงลัก

  • เมล็ดเจียมีราคาแพงกว่าเม็ดแมงลัก มีสารอาหารสำคัญอยู่มาก ให้พลังงานสูงแต่แคลอรีต่ำ สามารถกินเป็นมื้อหลักได้
  • เม็ดแมงลักราคาต่ำกว่า กินแล้วไม่ให้พลังงาน สรรพคุณสำคัญคือ คนมักใช้เป็นยาระบาย เพราะมีกากใยสูง ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ และช่วยให้อิ่มได้นานเหมือนเมล็ดเจีย แต่ไม่สามารถนำมากินเป็นมื้อหลักได้

เมล็ดเจีย กินกับอะไรดี 

เมล็ดเจียกินได้โดยไม่ต้องปรุงให้สุก สามารถกินเดี่ยว ๆ หรือกินร่วมกับอาหารได้หลากหลายเมนู ทั้งอาหารคาว อาหารหวาน และเครื่องดื่มต่าง ๆ เช่น

  • แพนเค้กเมล็ดเจีย เมนูขนมที่มีไข่ไก่และแป้งสาลีเป็นส่วนประกอบหลัก ผสมด้วยเมล็ดเจีย เสิร์ฟคู่กับผลไม้สด ราดซอสจากสตรอว์เบอร์รี หรือซอสอื่น ๆ ตามชอบ
  • พุดดิ้งเมล็ดเจีย ของหวานเย็นชื่นใจ เป็นนมสดผสมกับเนื้อผลไม้ โรยหน้าด้วยเมล็ดเจีย พร้อมเจลาตินช่วยให้พุดดิ้งเซ็ตตัว แช่เย็นเก็บไว้กินเป็นมื้อว่างได้
  • น้ำเมล็ดเจีย นำเมล็ดเจียผสมน้ำ ปริมาณไม่มากเกินไป เพราะเมล็ดเจียจะพองตัวมากกว่าเดิมหลายเท่า เพียงเท่านี้ก็ได้เครื่องดื่มสายคลีนแล้ว

เมล็ดเจีย หาซื้อได้ที่ไหน

ในปัจจุบัน โลกออนไลน์เป็นช่องทางที่หาซื้อเมล็ดเจียได้ง่าย แถมราคาก็ไม่แตกต่างกันมากเท่าไร แต่ถ้าอยากเลือกเองกับมือและไม่รอนาน สามารถหาซื้อตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่ได้

สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มกิน ลองซื้อในปริมาณที่น้อยที่สุดก่อน แล้วค่อยเพิ่มปริมาณให้เยอะขึ้นในภายหลัง

Scroll to Top