ฉีดวิตามินซีมีประโยชน์อย่างไร scaled

ฉีดวิตามินซีมีประโยชน์อย่างไร

นอกจากการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การทำทรีตเมนต์ หรือการทำเลเซอร์แล้ว การฉีดวิตามินผิวก็เป็นอีกวิธีบำรุงผิวพรรณ และช่วยเติมเต็มวิตามินให้เพียงพอต่อร่างกาย โดยเฉพาะวิตามินซี ซึ่งเป็นวิตามินที่ขึ้นชื่อในเรื่องการช่วยบำรุงดูแลผิวพรรณ

การฉีดวิตามินผิวอาจยังไม่ใช่วิธีบำรุงดูแลผิวและสุขภาพที่แพร่หลายนัก หลายคนอาจยังเข้าใจว่า การฉีดวิตามินผิวเป็นวิธีสำหรับเสริมความงามเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อสุขภาพ

ความหมายของการฉีดวิตามินซี

การฉีดวิตามินซี (Vitamin C Injection) คือ การฉีดกรดแอสคอร์บิก (Ascorbic acid) หรือสารวิตามินซีเข้าไปในร่างกาย เพื่อสร้างประโยชน์ หรือช่วยซ่อมแซมความผิดปกติที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย

โดยประโยชน์หลักๆ ของวิตามินซีได้แก่

  • ช่วยรักษาบาดแผล
  • ช่วยรักษาอาการเลือดออกตามไรฟัน (Bleeding gums)
  • ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  • ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
  • ช่วยขจัดสารอนุมูลอิสระที่สะสมอยู่ตามเซลล์ของร่างกาย ซึ่งส่งผลทำให้ร่างกายขาดสมดุล เซลล์ในร่างกายเสื่อม และก่อให้เกิดโรคร้ายต่างๆ ตามมา เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ และหลอดเลือด โรคต้อกระจก
  • ช่วยบำรุงผิวพรรณ ลดจุดด่างดำบนผิวหนัง
  • ช่วยสร้างสารสื่อประสาท (neurotransmitters) ให้เพียงพอต่อสมอง

รูปแบบของการฉีดวิตามินซี

เราอาจคุ้นเคยการรับวิตามินซีในรูปแบบวิตามินเม็ดสำหรับรับประทาน หรืออาจเป็นเยลลี่รสหวาน แต่เราก็สามารถรับวิตามินเข้าสู่ร่างกายด้วยการฉีดได้ รูปแบบการฉีดวิตามินแบ่งออกได้ 3 รูปแบบ ได้แก่

  • รูปแบบฉีดเข้าเส้นเลือด (intravenous)
  • รูปแบบฉีดเข้ากล้ามเนื้อ (intramuscular)
  • รูปแบบฉีดเข้าผิวหนัง (subcutaneous)

สำหรับคนไทยในวัยผู้ใหญ่ ปริมาณวิตามินซีสูงสุดที่สามารถรับในแต่ละวันจะอยู่ที่ประมาณ 1,000 มิลลิกรัม และต้องไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน โดยไม่ได้จำกัดแค่การฉีดวิตามินเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการรับประทานอาหาร หรือวิตามินซีเสริมในรูปแบบเม็ดด้วย

ปริมาณวิตามินซีที่ควรรับเพื่อสุขภาพและเสริมภูมิคุ้มกัน ซึ่งเหมาะสมต่อเพศชายจะอยู่ที่ 90 มิลลิกรัมต่อวัน สำหรับเพศหญิงจะอยู่ที่ 75 มิลลิกรัมต่อวัน ส่วนปริมาณวิตามินซีสำหรับเด็กจะอยู่ที่ 30 มิลลิกรัมต่อวัน

แต่ในกรณีที่เด็กมีอาการเจ็บป่วยและต้องฉีดวิตามินซีเพิ่ม ปริมาณการให้สารวิตามินซีจะอยู่ที่ 100-300 มิลลิกรัมเท่านั้น แต่ก็ขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ด้วย

การฉีดเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วย จะอยู่ที่ประมาณ 200 มิลลิกรัมต่อวัน ส่วนระยะเวลาจะต้องขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ อาการบาดเจ็บ หรือความผิดปกติ รวมถึงวัตถุประสงค์ในการฉีด

หากต้องการฉีดวิตามินซีเพื่อรักษาแผล ปริมาณวิตามินซีที่ฉีดจะอยู่ที่ประมาณ 300-500 มิลลิกรัมต่อวัน และฉีดติดต่อกันเป็นเวลา 10-21 วัน ส่วนการฉีดเพื่อหยุดภาวะเลือดออกจะอยู่ที่ 300 มิลลิกรัม – 1 กรัม แต่ต้องอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์เท่านั้น

ประโยชน์จากการฉีดวิตามินซี

การฉีดวิตามินซีมีจุดเด่นคือ ออกฤทธิ์ทำให้เห็นผลลัพธ์ได้เร็วภายใน 24-48 ชั่วโมง เพราะเป็นวิตามินละลายน้ำได้ นอกจากประโยชน์ของวิตามินซีที่กล่าวไปข้างต้น การฉีดวิตามินซียังมีประโยชน์ต่อสุขภาพดังต่อไปนี้

  • ช่วยปรับระดับความดันโลหิต
  • ช่วยลดโอกาสการเกิดโรคหัวใจ
  • ช่วยป้องกันการเกิดโรคเกาต์ (Gout)
  • ช่วยป้องกันการเกิดโรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก
  • ช่วยเสริมระบบความจำและการทำงานของสมอง
  • ช่วยบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น
  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวเปล่งปลั่งมากขึ้น

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดวิตามินซี

การฉีดวิตามินซีด้วยตนเองอาจส่งผลข้างเคียงเรื่องความสะอาด การติดเชื้อ และวิธีการใช้เข็มฉีดยาอย่างถูกต้อง เนื่องจากหากฉีดกับแพทย์จะมีการฆ่าเชื้อบริเวณผิวหนังก่อนทำการฉีดยา แต่หากคุณฉีดด้วยตนเองอาจมีการปนเปื้อนได้

อีกทั้งการเลือกเข็มฉีดยาและอุปกรณ์ในการฉีดก็ควรมีการเลือกเข็มและอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน สะอาด ปลอดภัย และซื้อจากแหล่งขายอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่น่าเชื่อถือด้วย

หลังจากฉีดวิตามินซีแล้ว คุณอาจมีอาการข้างเคียงหลังฉีดได้ ซึ่งก็จะหายไปเองได้ เช่น

  • ปวดศีรษะ
  • มีผื่นขึ้น รู้สึกเจ็บ หรือปวดแขนบริเวณที่ฉีดวิตามิน
  • คลื่นไส้อาเจียน
  • รู้สึกแสบร้อนบริเวณกลางอก
  • ปวดท้อง

หากคุณมีอาการข้างเคียงหลังฉีดวิตามินซีอย่างรุนแรง ให้รีบไปปรึกษาแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของอาการแพ้สารบางอย่างที่เป็นอันตรายถึงชีวิต

นอกจากนี้การฉีดวิตามินซีมาเกินขนาดโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ ก็สามารถส่งผลข้างเคียงทำให้ระบบของร่างกายผิดปกติด้วย

  • ผลข้างเคียงในระยะสั้น เช่น ระคายเคืองกระเพาะอาหารจนทำให้เกิดอาการคลื่นไส้และท้องเสีย
  • ผลข้างเคียงในระยะยาว เช่น เกิดภาวะธาตุเหล็กเกิน (Iron overload) จนเป็นพิษต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย เช่น หัวใจ ตับ ต่อมไทรอยด์ ระบบประสาทส่วนกลาง รวมถึงเกิดนิ่วในไต ซึ่งเกิดจากวิตามินซีเข้าไปสร้างสารออซาเลต (Oxalate) ในปัสสาวะมากเกินไป

ทางที่ดีก่อนที่จะรับวิตามินทางเส้นเลือด คุณควรรู้ก่อนว่า ตนเองมีอาการแพ้สารอาหาร วิตามิน หรือแร่ธาตุใดหรือไม่ ผ่านการตรวจภูมิแพ้และภาวะแพ้ เพื่อจะได้ไม่เกิดอาการข้างเคียงหลังจากรับสารเหล่านั้น

การฉีดวิตามินซี รวมไปถึงการฉีดสารอื่นๆ เข้าร่างกาย หากคุณไม่รู้จักวิธีการใช้เข็มฉีดยาอย่างถูกต้อง ก็ควรไปรับการฉีดผ่านแพทย์เท่านั้น ซึ่งนอกจากคุณจะได้รับการฉีดวิตามินอย่างถูกต้องแล้ว ก็ยังจะได้รับคำแนะนำในการรับปริมาณวิตามินซีอย่างเหมาะสมด้วย

วิตามินซีเป็นวิตามินที่มีประโยชน์ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า คุณจะฉีดวิตามินเข้าร่างกายอย่างเดียว และไม่ดูแลสุขภาพด้านอื่นๆ เลย คุณสามารถรับสารวิตามินซีจากการรับประทานอาหาร ผัก และผลไม้หลายชนิด ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายและไม่เจ็บตัว เช่น

  • ส้ม
  • สัปปะรด
  • ฝรั่ง
  • ลิ้นจี่
  • สตรอเบอร์รี
  • ผักคะน้า
  • พริกหวาน
  • ผักปวยเล้ง
  • ใบมะรุม
  • บร็อคโคลี

นอกจากการรับประทานอาหารเพื่อรับสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุที่เพียงพอต่อร่างกายแล้ว คุณยังต้องไม่ลืมออกกำลังกาย รวมถึงไปตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้รู้เท่าทันโรคภัยที่อาจเกิดขึ้นต่อร่างกายโดยที่คุณไม่รู้ตัว


ตรวจสอบความถูกต้องโดย พญ. วรรณวนัช เสถียรธรรมมณี

Scroll to Top