amiloride scaled

Amiloride (อะมิโลไรด์)

 อะมิโลไรด์ (Amiloride) เป็นยาในกลุ่มยาขับปัสสาวะ ใช้รักษาความดันโลหิตสูง หรืออาการบวมจากภาวะหัวใจล้มเหลว จัดอยู่ในกลุ่มยาอันตราย ตามการจำแนกโดยคณะกรรมการอาหารและยา มีจำหน่ายเฉพาะร้านยาแผนปัจจุบันที่มีเภสัชกรชั้นหนึ่งควบคุมการขายยา ต้องมีการจัดทำบัญชียาอันตราย สำหรับบุคคลทั่วไป เภสัชกรสามารถจำหน่ายยา และให้คำแนะนำในการใช้ยาได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ใบสั่งของผู้ประกอบวิชาชีพฯ

รูปแบบยาที่มีวางจำหน่ายในประเทศไทยจะเป็นรูปแบบยาเม็ดผสม ร่วมกับยาขับปัสสาวะชนิดอื่น ได้แก่ Amoloride ขนาด 5 มิลลิกรัม ผสมกับ Hydrochlorothiazide ขนาด 50 มิลลิกรัม

สรรพคุณของยา Amiloride

  • ภาวะบวมน้ำในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง
  • หัวใจล้มเหลว
  • ท้องมานจากตับแข็ง
  • มีของเหลวในร่างกายมากเกิน

โดยยา Amiloride จะช่วยป้องกันภาวะสูญเสียโพแทสเซียมจากยาขับปัสสาวะกลุ่มอื่น ลดความดันโลหิต ป้องกันการเกิดภาวะสโตรก (Stroke) โรคหัวใจกำเริบ และผลข้างเคียงต่อไต

กลไกการออกฤทธิ์ของยา Amiloride

Amiloride ออกฤทธิ์เพิ่มการขับออกของโซเดียม และลดการขับออกของโพแทสเซียมที่บริเวณท่อหน่วยไตส่วนปลาย ทำให้ยาลดผลข้างเคียงการสูญเสียโพแทสเซียมในกระแสเลือดไปกับปัสสาวะ

แต่อย่างไรก็ตาม Amiloride มีฤทธิ์ขับปัสสาวะอ่อนเมื่อเทียบกับยาขับปัสสาวะในกลุ่มอื่น จึงมักใช้ Amiloride ร่วมกับยาขับปัสสาวะกลุ่มอื่น เช่น ยาขับปัสาวะกลุ่มไทอะไซด์ (Thiazide) เพื่อเสริมประสิทธิภาพ และลดผลข้างเคียงการสูญเสียโพแทสเซียมดังกล่าว

ขนาด และวิธีการใช้ยา Amiloride

Amiloride มีขนาดและวิธีการรับประทานสำหรับภาวะบวมน้ำในผู้ป่วยหัวใจล้มเหลว ความดันโลหิตสูง ท้องมานจากตับแข็ง ดังนี้

กรณีใช้เป็นยาเดี่ยว (มีเฉพาะในต่างประเทศ ไม่มีจำหน่ายในประเทศไทย)

  • ข้อบ่งใช้สำหรับผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวและผู้ป่วยท้องมานจากตับแข็ง ขนาดการใช้ยาในผู้ใหญ่คือ ขนาด 10 มิลลิกรัมต่อวัน หรือขนาด 5 มิลลิกรัม วันละสองครั้ง ขนาดยาสูงสุดคือ 20 มิลลิกรัม/วัน

กรณีใช้เป็นยาผสม ร่วมกับยาขับปัสสาวะกลุ่มอื่น

  • ข้อบ่งใช้สำหรับผู้ป่วยหัวใจล้มเหลว ขนาดการใช้ยาในผู้ใหญ่ ขนาดยาเริ่มต้น 2.5 มิลลิกรัม/วัน ค่อยเพิ่มขนาดยาหากการตอบสนองยังไม่เป็นไปตามที่ต้องการ ขนาดยาสูงสุดคือ 10 มิลลิกรัม/วัน
  • ข้อบ่งใช้สำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ขนาดการใช้ยาในผู้ใหญ่ ขนาดยาเริ่มต้น 2.5 มิลลิกรัม/วัน ค่อยเพิ่มขนาดยาหากการตอบสนองยังไม่เป็นไปตามที่ต้องการ ขนาดยาสูงสุดคือ 5 มิลลิกรัม/วัน
  • ข้อบ่งใช้สำหรับผู้ป่วยท้องมานจากตับแข็ง ขนาดการใช้ยาในผู้ใหญ่ ขนาดยาเริ่มต้น 5 มิลลิกรัม ค่อยเพิ่มขนาดยาหากการตอบสนองยังไม่เป็นไปตามที่ต้องการ ขนาดยาสูงสุดคือ 10 มิลลิกรัมต่อวัน

ข้อควรระวังและผลข้างเคียงของการใช้ Amiloride

  • ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่มีการแพ้ยา Amiloride
  • ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยไตบกพร่องระดับรุนแรง ผู้ป่วยที่มีภาวะปัสสาวะไม่ออก และโรคไตจากเบาหวาน
  • ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยโรคแอดดิสัน (Addison’s Disease)
  • ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง
  • ไม่แนะนำให้ใช้ยานี้ในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี
  • ควรระวังการใช้ยานี้ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน และในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงการเกิดภาวะเลือดเป็นกรด
  • ควระวังการใช้ยานี้ในผู้ป่วยโรคตับและไตบกพร่องระดับรุนแรง
  • ควรระวังการใชยาในผู้ป่วยสูงอายุ สตรีมีครรภ์ และสตรีให้นมบุตร

ผลข้างเคียงของการใช้ Amiloride

  • ผลข้างเคียงที่พบบ่อย คือ ระดับโพแทสเซียมในกระแสเลือดสูง เนื่องจากยาลดการขับออกของโพแทสเซียม
  • ผลข้างเคียงอื่นๆ ได้แก่ ปวดท้อง เลือดออกในกระทางเดินอาหาร ไม่อยากอาหาร การแพ้ยา เกิดผื่น ปากแห้ง กระหายน้ำ ถ่ายท้องหรือท้องผูก คลื่นไส้ อาเจียน หัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจเต้นระรัว ดีซ่าน หายใจลำบาก ไอ ปวดศีรษะ มึนงง อ่อนเพลีย สั่น ปัสสาวะบ่อย การมองเห็นและการได้ยินผิดปกติ

ข้อควรทราบอื่นๆ ของยา Amiloride

  • ยาชนิดสำหรับใช้ทางจมูก ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม category B ตามดัชนีความปลอดภัยการใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์ (Pregnancy Safety Index) โดยยาค่อนข้างมีควรปลอดภัยกับทารกในครรภ์
  • ผู้ป่วยควรได้รับการติดตามระดับอิเล็กโทรไลต์ในกระแสเลือดเมื่อมีการใช้ยา เนื่องจากความเสี่ยงในการเกิดภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง
  • ยาขับปัสสาวะชนิดอื่นที่ลดการขับออกของโพแทสเซียม เช่น Eplerenone หรือ Spironolactone หรือการรับประทานโพแทสเซียมเสริม จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง ควรระมัดระวังการใช้ยาเหล่านี้ร่วมกัน
  • ยานี้สามารถรับประทานก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ แต่โดยปกติแนะนำให้รับประทานหลังอาหารเช้า
  • ไม่แนะนำให้รับประทานยาในช่วงเย็นหรือใกล้เวลานอน เนื่องจากผลในการขับปัสสาวะของยาสามารถรบกวนการนอนของผู้ป่วยได้
  • ยานี้แนะนำให้เก็บรักษาที่อุณหภูมิไม่เกิน 30 องศาเซลเซียส

ไม่ควรซื้อยา Amiloride มารับประทานด้วยตนเอง เพราะอาจทำให้เกิดการใช้ยาผิดโรค หรือเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา

Scroll to Top