ว่ากันว่า คนมีความรัก หรือตื่นเต้น กังวล มักจะหัวใจเต้นแรง แต่ก็ไม่เสมอไป เพราะอาการหัวใจเต้นแรงและเร็วกว่าปกติอาจเป็นผลมาจากความผิดปกติของหัวใจ หรือปัญหาสุขภาพบางอย่างก็ได้ บางรายหากปล่อยทิ้งไว้อาจลุกลาม หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนจนเป็นอันตรายตามมาได้
สารบัญ
อัตราการเต้นของหัวใจปกติ
ปกติแล้วอัตราการเต้นของหัวใจในขณะพักของบุคคลทั่วไปที่ไม่มีภาวะโรคหัวใจจะอยู่ที่ 60-100 ครั้ง / นาที แต่หากหัวใจเต้นเร็วกว่า 100 ครั้ง / นาที จะถือว่า หัวใจเต้นแรงและเร็วกว่าปกติ
อาการที่มักเกิดพร้อมกับหัวใจเต้นแรง
อาการหัวใจเต้นเร็วอาจเกิดขึ้นเมื่อเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ ในร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ หัวใจจึงต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ
ดังนั้นอาการที่มักเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ได้แก่
- หายใจตื้น หายใจหอบเหนื่อย
- ใจสั่น
- เจ็บหน้าอก
- วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด
- รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า ไม่มีแรง
- นอนไม่หลับ
- มีเหงื่อออกมาก
- เป็นลมหมดสติ
- อาจหัวใจวายได้ หากหัวใจเต้นเร็วมากเกินไป
หากตัวเราเอง หรือคนใกล้ตัว มีอาการหัวใจเต้นแรงร่วมกับอาการดังกล่าวควรรีบไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุโดยด่วน
อย่างไรก็ตาม อาการหัวใจเต้นแรงอาจเกิดขึ้นเดี่ยวๆ โดยไม่มีอาการอื่นร่วมด้วยก็ได้
สาเหตุที่ทำให้หัวใจเต้นแรง
อาการหัวใจเต้นเร็วมักเกิดจากความผิดปกติของการกำเนิดกระแสไฟฟ้าหัวใจ หรือคลื่นไฟฟ้าหัวใจ การนำไฟฟ้าหัวใจ หรืออาจเกิดจากทั้งสองสาเหตุร่วมกันก็ได้
สาเหตุที่ทำให้เกิดความผิดปกติมีทั้งที่ไม่อันตรายและอันตราย ดังนี้
- มีภาวะเครียด ตื่นเต้น ตกใจ เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ตื่นเต้น กดดัน วิตกกังวล จะทำให้คลื่นไฟฟ้าหัวใจเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้หัวใจเต้นแรงและเร็วกว่าปกติได้ ภาวะนี้ไม่มีอันตรายแต่อย่างใด
- ดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลมบางชนิด คาเฟอีนส่งผลต่อระบบประสาทอัตโนมัติ กระตุ้นให้หัวใจเต้นแรงขึ้น มีจังหวะการเต้นผิดแปลกไปและส่งผลให้เกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ และนอนไม่หลับ
- ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด เช่น ยารักษาโรคหอบหืด ยารักษาโรคไทรอยด์ ยาลดน้ำมูกบางชนิด มีผลข้างเคียงทำให้อัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ หรือกระตุ้นการทำงานของหัวใจ
- มีภาวะโลหิตจาง เมื่อเม็ดเลือดแดงไม่สมบูรณ์ หรือมีปริมาณเม็ดเลือดแดงในร่างกายน้อย จะทำให้การขนส่งออกซิเจนไม่ดีเท่าปกติ ส่งผลให้หัวใจทำงานหนักจนมีอาการหัวใจเต้นแรงและเร็วได้ รวมถึงจะพบอาการเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย และซีด
- มีภาวะร่างกายขาดน้ำและแร่ธาตุ เข่น โพแทสเซียม แมกนีเซียม เหล่านี้ล้วนมีความสำคัญในการควบคุมอัตราการเต้นหัวใจ ดังนั้นหากมีปริมาณไม่เพียงพอจะส่งผลให้หัวใจเต้นผิดจังหวะได้
- มีความดันโลหิตผิดปกติ ผู้ที่มีความดันสูง หรือต่ำ จะทำให้การสูบฉีดเลือดของหัวใจผิดปกติ ส่งผลให้บางครั้งมีอาการหัวใจเต้นแรง หรือเต้นรัวเร็วได้ ร่วมกับมีอาการปวดศีรษะ วิงเวียนด้วย
- การดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มชูกำลัง และการสูบบุหรี่ สารเสพติดในสุราและบุหรี่มีผลต่อระบบประสาท และอาจส่งผลให้อัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ โดยเฉพาะถ้าสูบบุหรี่ หรือดื่มสุรามากเกินไป
- ออกกำลังกาย หรือออกแรงอย่างหนัก การออกกำลังกายจะช่วยกระตุ้นการสูบฉีดเลือดไปยังส่วนต่างๆ ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้นด้วย แต่ถ้าใครออกกำลังกายอย่างหนักจนรู้สึกว่า หัวใจเต้นรุนแรง หรือหายใจแทบไม่ทัน ก็ควรปรับการออกกำลังกายให้เบาลง
- มีความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ ผู้ที่มีภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมาก (Hyperthyroidism) มักพบอาการหัวใจเต้นแรงและเร็วได้เช่นกัน ซึ่งเป็นผลมาจากฮอร์โมนไทรอยด์
- มีความผิดปกติของหัวใจ เช่น ลิ้นหัวใจผิดปกติ กล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ หลอดเลือดหัวใจตีบตัน สาเหตุที่เกิดขึ้นกับหัวใจโดยตรงมักทำให้เกิดอาการหัวใจเต้นแรงและเร็วได้บ่อยๆ อาจมีอาการหายใจลำบาก หอบเหนื่อย และเจ็บหน้าอกร่วมด้วย
- สาเหตุอื่นๆ เช่น อายุที่เพิ่มมากขึ้น คนในครอบครัวมีประวัติโรคหัวใจ
ภาวะแทรกซ้อนของอาการหัวใจเต้นแรง
หากเกิดอาการหอบเหนื่อย ใจสั่น และอ่อนเพลียเพียงชั่วคราว มักไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายใดๆ ตามมา แต่หากเกิดอาการเหล่านี้ขึ้นบ่อยๆ หรืออาการรุนแรงมากก็อาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้ เช่น
- มีอาการหน้ามืด เป็นลม หมดสติ
- เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะจนอาจทำให้ผู้ป่วยเป็นอัมพาตได้สูงถึง 10-15% ต่อปี ยิ่งถ้าผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน หลอดเลือดหัวใจอุดตัน ยิ่งเสี่ยงต่อภาวะหัวใจอ่อนๆ หัวใจหยุดเต้น หรือหัวใจวาย อันเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตได้
การรักษาหัวใจเต้นแรง
หลังจากแพทย์ได้ตรวจวินิจฉัยแล้ว หากพบว่า อาการหัวใจเต้นแรงเกิดจากโรคก็จำเป็นต้องรักษาด้วยการควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุ หรือมีส่วนทำให้หัวใจเต้นเร็ว เช่น การรักษาภาวะผิดปกติของไทรอยด์ การควบคุมความดันโลหิต หรือการรักษาภาวะขาดน้ำและแร่ธาตุ
แต่หากเกิดอาการหัวใจเต้นแรงผิดปกติบ่อยๆ และเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลานาน จนเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน แพทย์อาจต้องรักษาโดยลดอัตราการเต้นของหัวใจให้ช้าลง ด้วยวิธีดังนี้
- การรักษาด้วยยาควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ ทั้งรูปแบบยารับประทานและยาฉีด การใช้ยาถึงแม้ไม่ได้รักษาให้หายขาดแต่ก็ช่วยลดความรุนแรงลงได้ หากผู้ป่วยเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตันสูง แพทย์อาจแนะนำให้รับประทานยาป้องกันการเกิดลิ่มเลือด เช่น แอสไพริน (aspirin) วาร์ฟาริน (warfarin)
- การรักษาด้วยการช็อกหัวใจแบบเจาะจง (Cardioversion) เป็นการใช้เครื่องช็อกไฟฟ้าอัตโนมัติทำให้การเต้นของหัวใจกลับมาเป็นปกติ มักใช้ในภาวะฉุกเฉินที่สัญญาณชีพไม่คงที่
- การกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทพาราซิมพาเทติก (Parasympathetic) หรือ ทำ Vagal Maneuver โดยการให้ผู้ป่วยไอ นั่งยองๆ หรือนำถุงน้ำแข็งมาวางไว้บนใบหน้า วิธีนี้จะไปกระตุ้นประสาทเวกัส (vagus) ซึ่งสามารถชะลออัตราการเต้นของหัวใจได้
- การฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) จะทำให้การเต้นของหัวใจเป็นปกติได้ วิธีนี้จะใช้ในกรณีที่สาเหตุเกิดจากความผิดปกติของหัวใจ
- การผ่าตัดหัวใจ ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษาวิธีใดๆ และเป็นผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องรักษาโรคหัวใจอื่นๆ อยู่แล้ว เนื่องจากวิธีนี้เป็นการผ่าตัดเปิดหัวใจเพื่อกรีดทำลายเนื้อเยื่อจุดกำเนิดคลื่นไฟฟ้า หรือเนื้อเยื่อที่เกี่ยวข้องกับทางเดินของคลื่นกระแสไฟฟ้า
การป้องกันหัวใจเต้นแรงและเร็ว
- ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้หัวใจแข็งแรง และสามารถสูบฉีดเลือดได้เป็นปกติ
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะผักและผลไม้
- ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
- ควบคุมระดับไขมันและน้ำตาลในเลือด เพื่อป้องกันโรคเรื้อรังต่างๆ ที่ส่งผลให้การทำงานของหัวใจผิดปกติ
- จำกัดปริมาณการดื่มคาเฟอีนไม่ให้มากเกินไป
- งด หรือจำกัดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์
- งดการสูบบุหรี่
- หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งเสพติดให้โทษและสารกระตุ้นทุกชนิด
- การใช้ยาประเภทต่างๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ ไม่ควรซื้อยามาใช้เอง
- หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความเครียด ความกดดันต่างๆ
- รู้จักวิธีผ่อนคลายความเครียด
- พักผ่อนให้เพียงพอ
แม้จะมั่นใจว่า ตนเองมีสุขภาพดี แต่ควรหมั่นสังเกตความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นกับหัวใจ และอย่านิ่งนอนใจคิดว่า “เดี๋ยวก็หาย” เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนสุขภาพที่สำคัญ
หากมีอาการหัวใจเต้นเร็วอย่างรุนแรง หรือมีอาการหัวใจเต้นเร็วและแรงบ่อยครั้ง ยิ่งต้องให้ความใส่ใจและควรไปรับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์เฉพาะทางจะดีที่สุด
ตรวจสอบความถูกต้องโดย พญ. วรรณวนัช เสถียรธรรมมณี