การวินิจฉัยโรคไข้หวัดในเบื้องต้นสามารถทำได้ด้วยตนเอง หรือหากคุณไม่มั่นใจก็สามารถไปพบแพทย์เพื่อขอให้วินิจฉัยอาการให้ได้ แต่ก่อนที่จะวินิจฉัยโรคอะไรก็ตาม คุณจะต้องรู้เกี่ยวกับกลุ่มอาการของโรคนั้นๆ ก่อน ซึ่งอาการของโรคไข้หวัดที่คุณสามารถสังเกตได้ มีดังต่อไปนี้
สารบัญ
อาการของโรคไข้หวัด
อาการของโรคไข้หวัดโดยทั่วไปที่คุณสามารถสังเกตได้ด้วยตนเอง ได้แก่
- มีไข้มากกว่า 37.5 องศาเซลเซียส
- รู้สึกหนาวเย็น หรือมีอาการหนาวสั่น
- อ่อนเพลียง่าย
- ปวดกล้ามเนื้อตามตัว
- เบื่ออาหาร
- ปวดศีรษะ
- คอแห้ง ไอแห้ง
- เจ็บคอ
- น้ำมูกไหล
- มีเสมหะมาก
นอกจากเหนือจากอาการไข้หวัดที่กล่าวมานี้ คุณอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย เวียนศีรษะ จามเรื้อรัง แต่ส่วนมากอาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นในผู้ป่วยเด็กมากกว่า
วิธีแยกอาการไข้หวัดธรรมดากับไข้หวัดใหญ่
อาการของโรคไข้หวัดธรรมดา (Common cold) กับโรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza) จะมีความคล้ายคลึงกัน แต่ก็มีความแตกต่างที่สามารถแยกได้ คือ
- โรคไข้หวัดใหญ่ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะ เจ็บคอ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ไอแห้ง คัดจมูก มีน้ำมูก ซึ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีอาการอยู่นานประมาณ 6-10 วัน
- โรคไข้หวัดธรรมดา ผู้ป่วยจะมีอาการเด่น ได้แก่ คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ จาม คัน ระคายเคืองในลำคอ แต่จะไม่ค่อยมีไข้สูง และปวดกล้ามเนื้อ
โรคไข้หวัดใหญ่จะมีความเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนได้มากกว่าโรคไข้หวัดธรรมดา เช่น โรคปอดบวม โรคปอดอักเสบ ทั้งยังมีผู้ป่วยอีกหลายโรคที่มีความเสี่ยงเกิดโรคไข้หวัดใหญ่ได้มากกว่า ได้แก่
- ผู้ที่มีภาวะอ้วน
- ผู้ป่วยโรคปอดเรื้อรัง
- ผู้ป่วยโรคหอบหืด
- ผู้ป่วยโรคหัวใจ
- ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
- ผู้ป่วยโรคไต
- ผู้ป่วยที่ภูมิคุ้มกันร่างกายบกพร่อง รวมถึงผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสเอชไอวี
- ผู้สูงอายุ
หากคุณมีคนใกล้ที่มีอาการคล้ายไข้หวัดและมีโรคประจำตัวดังที่กล่าวไปข้างต้น ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า อาจเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ และรีบพาไปพบแพทย์ทันที
อาการโรคหวัดในเด็ก
เด็กคือ อีกกลุ่มเสี่ยงที่มักป่วยเป็นโรคไข้หวัดได้ง่าย ซึ่งเด็กเล็กกับเด็กโตก็จะมีอาการต่างกัน รวมถึงเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคหวัดด้วย
- เด็กเล็ก มีอาการน้ำมูกไหลและมีไข้เป็นอาการเด่น
- เด็กโต ไม่มีไข้ แต่อาการอาจเริ่มจากเจ็บคอ ตามด้วยมีน้ำมูก และเริ่มมีอาการไอ
ส่วนมากโรคไข้หวัดในเด็กจะมีอาการไม่เกิน 2 สัปดาห์แล้วจะค่อยๆ ดีขึ้น แต่หากนานกว่านั้น เด็กอาจมีภาวะไซนัสอักเสบเกิดขึ้น หรือติดเชื้อแบคทีเรียตัวอื่นๆ หรืออาจเป็นโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้
การวินิจฉัยโรคไข้หวัดโดยแพทย์
เบื้องต้นแพทย์จะซักประวัติสุขภาพผู้ป่วย สอบถามอาการที่เกิดขึ้น อาจมีตรวจดูรอยแดงในคอเพื่อหาการติดเชื้อ
นอกจากนี้ แพทย์อาจเก็บสารจากทางเดินหายใจเพื่อนำไปส่งตรวจในห้องปฏิบัติการอีกครั้ง เช่น
- ดูดน้ำจากหลังโพรงจมูก (Nasopharyngeal aspirate)
- เอาไม้ป้ายคอ (Throat swab)
- เก็บตัวอย่างน้ำจากหลอดลม (Tracheal aspirate)
หรือหากผู้ป่วยมีอาการรุนแรงมาก แพทย์ก็อาจให้เอ็กซเรย์ปอด (Chest x-ray) ร่วมด้วย แต่ในผู้ป่วยบางกลุ่มก็ไม่ได้มีการเก็บสารไปตรวจเพิ่มเติม แต่แพทย์จะสั่งจ่ายยาต้านไวรัสให้กลับไปรับประทานที่บ้าน และแนะนำวิธีดูแลตนเองให้อาการไข้หวัดดีขึ้น เช่น
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- งดออกไปพบปะผู้คนและแยกกันอยู่กับผู้อาศัยในบ้านหลังเดียวกันเพื่อหยุดการแพร่เชื้อ
- ใส่หน้ากากอนามัย และใช้ทิชชู่ ผ้าเช็ดหน้าปิดปากจมูกทุกครั้งที่ไอจาม
- หมั่นล้างมือบ่อยๆ
- จิบน้ำอุ่นเป็นประจำ
- รับประทานอาหารอ่อนๆ และงดรับประทานอาหารที่ทำให้เกิดอาการไอ เช่น อาหารมัน อาหารทอด
- งดใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เช่น ช้อนส้อม แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ
หากผู้ป่วยอาการไม่ดีขึ้นใน 2 สัปดาห์ ควรมาพบแพทย์อีกครั้งเพื่อวินิจฉัยอาการเพิ่มเติม
การป้องกันโรคไข้หวัดที่ดีที่สุดคือ การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ซึ่งสามารถฉีดได้ตั้งแต่เด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคชนิดนี้
นอกจากนี้หากเป็นผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว ผู้ที่มีภาวะอ้วน ผู้ที่ภูมิคุ้มกันร่างกายบกพร่อง รวมถึงผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ยังควรฉีดวัคซีนป้องกันปอดอักเสบ (IPD) ด้วย เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้นปอด หากติดเชื้อไข้หวัดใหญ่
คุณและคนในครอบครัวควรไปรับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ไว้ก่อน เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงต่อร่างกาย
ตรวจสอบความถูกต้องโดย นพ. วรพันธ์ พุทธศักดา