ปากแห้ง สาเหตุ อาการ วิธีรักษาป้องกันและการดูแลตนเอง scaled

ปากแห้ง สาเหตุ อาการ วิธีรักษาป้องกันและการดูแลตนเอง

“ปากแห้ง” เป็นหนึ่งในปัญหากวนใจของใครหลายคน ซึ่งไม่ได้เกิดจากสภาพอากาศหนาวเย็น หรือการดื่มน้ำไม่เพียงพอเท่านั้น แต่ยังเกิดได้จากปัจจัยอื่นๆ เช่น ผลข้างเคียงจากโรคประจำตัว หรือการใช้สารเสพติด จะดีกว่าไหม หากเราสามารถดูแลอาการปากแห้งได้อย่างถูกวิธี และรับมือป้องกันเพื่อไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำอีก

ทำความรู้จักปากแห้ง

ปากแห้งเกิดจากการมีปริมาณน้ำลายน้อยกว่าปกติ หรือเรียกว่า “ภาวะน้ำลายแห้ง (Xerostomia)” ซึ่งเป็นภาวะที่ต่อมน้ำลายไม่สามารถผลิตน้ำลายเพื่อรักษาความชุ่มชื้นในปากได้เป็นปกติ จึงทำให้มีอาการปากแห้งตามมา

ผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกไม่สบายในปาก เกิดอาการคอแห้ง กระหายน้ำ และตามมาด้วยภาวะขาดน้ำด้วย

ภาวะน้ำลายแห้งนั้นอาจเกิดจากการดื่มน้ำน้อยเกินไป หรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิดก็ได้

อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปากแห้งมักไม่ค่อยรุนแรงและสามารถรักษาได้หลายวิธี แต่หากผู้ป่วยมีอาการของโรคปากแห้งที่ผิดปกติ ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย และรักษาด้วยวิธีที่เหมาะสม

สาเหตุที่ทำให้ปากแห้ง

สาเหตุที่ทำให้ปากแห้งเกิดจากต่อมน้ำลายในปากไม่ผลิตน้ำลายออกมา หรือผลิตน้ำลายน้อยเกินไป ทำให้ไม่มีความชุ่มชื้นเพียงพอ สาเหตุที่ทำให้การทำงานของต่อมน้ำลายผิดปกติจนทำให้ปากแห้ง มีดังนี้

  • เกิดจากภาวะขาดน้ำ สาเหตุนี้อาจเกิดจากการป่วย เป็นไข้ หรือจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น ดื่มน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เสียเหงื่อปริมาณมาก อาเจียน ท้องเสีย มีบาดแผลไฟไหม้
  • เกิดจากผลข้างเคียงของการใช้ยาบางชนิด เช่น ยารักษาโรคซึมเศร้า ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาแก้แพ้ ยาลดน้ำมูก หรือยาแก้ปวด
  • เกิดจากผลข้างเคียงของโรคประจำตัว เช่น โรคหลอดเลือดในสมอง โรคพาร์กินสัน โรคเบาหวาน โรคซิสติกไฟโบรซิส (Cystic fibrosis) โรคอัลไซเมอร์ โรคความดันโลหิตสูง โรคเลือดจาง โรคไขข้ออักเสบ หรือการติดเชื้อในช่องปาก นอกจากนี้ยังรวมไปถึงโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่น กลุ่มอาการโจเกรน หรือการติดเชื้อเอชไอวี
  • เกิดจากเส้นประสาทเสียหาย อาจเกิดจากการผ่าตัด หรือการได้รับบาดเจ็บที่บริเวณศีรษะ หรือบริเวณคอ ซึ่งสามารถทำให้เกิดภาวะปากแห้งได้
  • เกิดจากผลข้างเคียงจากการรักษาโรคมะเร็ง การรักษาด้วยเคมีบำบัด หรือฉายแสงที่บริเวณศีรษะและลำคอ สามารถสร้างความเสียหายต่อต่อมน้ำลายได้
  • เกิดจากการใช้สารเสพติด เช่น ยาเสพติด สูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์ ล้วนแต่ทำให้เกิดอาการปากแห้งได้ อีกทั้งยังทำให้อาการปากแห้งรุนแรงขึ้น และสร้างความเสียหายต่อฟันอีกด้วย
  • เกิดจากความเปลี่ยนแปลงของวัย ผู้สูงอายุจะมีภาวะของการเกิดโรคปากแห้งสูง เนื่องจากการใช้ยาต่างๆ การเปลี่ยนแปลงของสมรรถภาพร่างกาย มีโรคประจำตัว และการได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

อาการของโรคปากแห้ง

อาการโรคปากแห้งที่พบได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน เกิดจากภาวะขาดน้ำ และความเครียดวิตกกังวล แต่สำหรับอาการปากแห้งที่เกิดขึ้นแบบต่อเนื่อง อาจเป็นสัญญาณของการเจ็บป่วยจากการเป็นโรคบางชนิด โดยอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น

  • เจ็บคอ คอแห้ง เสียงแหบ
  • มีความรู้สึกแห้งและเหนียวภายในปาก
  • มีแผลในปาก มีรอยแตกที่มุมปาก หรือริมฝีปาก
  • รู้สึกกระหายน้ำบ่อย ลิ้นแห้ง แดง และหยาบ
  • มีกลิ่นปาก
  • มีอาการแสบในปากโดยเฉพาะที่บริเวณลิ้น
  • เกิดปัญหาในการพูด การรับรู้รสชาติ การเคี้ยวและกลืนอาหาร รวมทั้งการใส่ฟันปลอม

วิธีรักษาโรคปากแห้ง

สำหรับการรักษาโรคปากแห้งในทางการแพทย์นั้น จะขึ้นอยู่กับสาเหตุต่างๆ ที่ทำให้เกิดอาการดังกล่าว ดังนี้

  • กรณีเกิดจากผลข้างเคียงจากการใช้ยา แพทย์จะปรับเปลี่ยนปริมาณยาที่ใช้ หรืออาจเปลี่ยนไปใช้ยาชนิดอื่น
  • แพทย์อาจสั่งยาพิโลคาร์พีน (Pilocarpine) ซึ่งเป็นยาที่มีส่วนช่วยกระตุ้นการผลิตน้ำลาย ยาชนิดนี้มักใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการปากแห้งจากการรับการรักษาด้วยการฉายรังสี และผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่มอาการโจเกรน (โรคภูมิต้านทานผิดปกติ) ยาพิโลคาร์พีนอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ปวดศีรษะ หรือมีเหงื่อออกจำนวนมากได้ จึงควรใช้ยาภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
  • รักษาด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นในปาก ซึ่งผลิตภัณฑ์นี้มีทั้งชนิดที่สั่งโดยแพทย์ และชนิดที่ผู้ป่วยสามารถหาซื้อมาใช้ได้เอง เช่น น้ำยาบ้วนปาก น้ำลายเทียม หรือสารให้ความชุ่มชื้น และหล่อเลี้ยงภายในปาก ซึ่งมีทั้งรูปแบบสเปรย์ เจล และยาอม

14 วิธีป้องกันปากแห้ง

  1. ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย อย่างน้อยควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 8-10 แก้ว
  2. หมั่นจิบน้ำเย็น หรือเครื่องดื่มต่างๆ ที่ปราศจากน้ำตาล เพื่อให้ปากชุ่มชื้นอยู่เสมอ
  3. หลีกเลี่ยงอาหารประเภทที่มีรสชาติเผ็ดและเค็มจัด เนื่องจากอาหารเหล่านี้อาจทำให้เกิดการระคายเคืองในปาก
  4. เคี้ยวหมากฝรั่ง หรืออมลูกอมที่ปราศจากน้ำตาล สามารถช่วยป้องกันปากแห้งได้ เนื่องจากวิธีนี้จะช่วยกระตุ้นให้ต่อมน้ำลายผลิตน้ำลายออกมาได้มากขึ้น
  5. หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ คาเฟอีน และงดการสูบบุหรี่
  6. ในกรณีที่ปากแห้งมากสามารถซื้อน้ำลายเทียมมาใช้ได้ แต่ควรทำตามคำแนะนำของเภสัชกรอย่างเคร่งครัด
  7. ไม่ควรซื้อยาแก้แพ้ หรือยาลดน้ำมูกมารับประทานเอง เพราะอาจทำให้อาการที่เป็นอยู่แย่ลง ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชก่อนใช้ยาทุกครั้ง
  8. ใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ ใช้ไหมขัดฟัน และน้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ร่วมด้วย
  9. ผู้ที่มักหายใจทางปากควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและฝึกหายใจทางจมูกบ่อยๆ แทน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการปากแห้งได้ง่าย
  10. ใช้เครื่องทำความชื้นเพื่อเพิ่มความชื้นในอากาศขณะที่นอนหลับ
  11. หมั่นไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจสุขภาพในช่องปากและฟันทุก 6 เดือน หรือปีละ 2 ครั้ง
  12. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมการเลียปากบ่อยๆ เพราะน้ำลายจะดูดเอาความชุ่มชื้นออกจากปาก ทำให้ปากแห้ง แตก และดำคล้ำง่าย
  13. ควรเลือกใช้ลิปสติกที่มีมอยส์เจอไรเซอร์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น หรือบำรุงผิวริมฝีปากไปพร้อมๆ กัน และควรเลือกใช้ลิปสติกที่มีส่วนผสมของสารกันแดด เพราะแสงแดดจะทำลายผิวริมฝีปากให้หมองคล้ำและทำให้ปากแห้งได้
  14. หลีกเลี่ยงการสครับผิวริมฝีปากบ่อยๆ เพราะการสครับจะยิ่งทำให้อาการปากแห้งรุนแรงขึ้น

วิธีดูแลตนเองเมื่อปากแห้ง

หากประสบกับปัญหาปากแห้ง ผู้ป่วยสามารถดูแลตัวเองด้วยวิธีดังต่อไปนี้

  • ดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ อย่างน้อยควรดื่มให้มากกว่า 8-10 แก้ว จิบน้ำเย็น หรือเครื่องดื่มที่ปราศจากน้ำตาลบ่อยๆ
  • อมลูกอม หรือเคี้ยวหมากฝรั่งปราศจากน้ำตาล เพื่อช่วยกระตุ้นให้ต่อมน้ำลายสามารถผลิตน้ำลายออกมาได้มากขึ้น
  • หากมีอาการริมฝีปากแห้ง และแตก ควรบำรุงริมฝีปากด้วยผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มีส่วนช่วยในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปาก
  • หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีน และแอลกอฮอล์ รวมทั้งควรงดสูบบุหรี่ เพราะพฤติกรรมเหล่านี้จะยิ่งทำให้อาการปากแห้งแย่ลงกว่าเดิม

ปากแห้งนำมาซึ่งปัญหาปากแตก ลอก เป็นขุย และยังง่ายต่อการดำคล้ำอีกด้วย ถึงแม้ว่า จะไม่ใช่โรค หรือความผิดปกติร้ายแรงอย่างไร แต่การดูแลให้สุขภาพปากดีอยู่เสมอ ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย เพื่อที่คุณจะยิ้มกว้างอย่างมั่นใจ


ตรวจสอบความถูกต้องโดย พญ. วรรณวนัช เสถียรธรรมมณี


ที่มาของข้อมูล

Scroll to Top