การตรวจเลือดเป็นหนึ่งในวิธีการตรวจวินิจฉัยโรคพื้นฐาน แบ่งย่อยได้เป็นหลายประเภทตามแพทย์สั่งตรวจ เช่น ตรวจการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ค้นหาสาเหตุของโรคหรืออาการผิดปกติ ติดตามผลการรักษา หรือผลของการใช้ยา
การตรวจเลือดแต่ละประเภทมีอะไรบ้าง ก่อนตรวจเลือดต้องเตรียมตัวอย่างไร และอีกหลายเรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับการตรวจเลือด จะมีอะไรอีกบ้าง ไปอ่านกัน
สารบัญ
การตรวจเลือด คืออะไร
การตรวจเลือด (Blood test) หรือตรวจแล็บ (Laboratory investigation หรือ Lab test) จะเจาะเอาเลือดจากเส้นเลือดดำบริเวณแขน หลังมือ ปลายนิ้ว หรือบริเวณอื่น ๆ ออกมาจำนวนหนึ่ง แล้วนำเลือดไปส่งตรวจในห้องปฏิบัติการ เพื่อวิเคราะห์หาข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพ และวินิจฉัยโรคพื้นฐาน
จุดประสงค์ของการตรวจเลือด
การตรวจเลือดมีจุดประสงค์หลัก ๆ อยู่ 3 อย่าง คือ
- ตรวจสุขภาพร่างกายพื้นฐาน การตรวจเลือดสามารถช่วยตรวจดูสุขภาพร่างกายโดยรวม ตรวจดูการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ อย่างตับ ไต และหัวใจ และค้นหาความเสี่ยงในการเกิดโรค การตรวจเลือดเลยมักจะเป็นการตรวจรายการหนึ่งในการตรวจสุขภาพประจำปี
- วินิจฉัยโรค การตรวจเลือดสามารถช่วยวินิจฉัยโรคหรือความผิดปกติต่าง ๆ เบื้องต้น เช่น โรคติดเชื้อ โรคเรื้อรัง โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคมะเร็ง เป็นต้น
- ติดตามผลการรักษา กรณีที่เป็นโรคเรื้อรัง การตรวจเลือดจะช่วยให้แพทย์สามารถติดตามผลการรักษาของโรค อย่างโรคเบาหวานหรือโรคติดเชื้อบางชนิด รวมไปถึงติดตามผลของยาที่ใช้ในการรักษาโรคนั้น ๆ
ประเภทของการตรวจเลือดที่พบบ่อย
การตรวจเลือดที่นิยมตรวจกันมีอยู่หลายประเภท ได้แก่
การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete blood count: CBC)
เป็นการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด คือ เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด โดยจะดูทั้งปริมาณและลักษณะ ค่านี้จะช่วยบอกได้ว่าระบบเลือดมีความผิดปกติหรือไม่
โดยช่วยในการวินิจฉัยโรคและความผิดปกติเบื้องต้น เช่น โรคโลหิตจาง โรคติดเชื้อ มะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคเลือดที่เกิดจากพันธุกรรม ภาวะขาดสารอาหาร รวมถึงเป็นรายการตรวจหนึ่งในการตรวจสุขภาพพื้นฐาน
การตรวจสารเคมีในเลือด (Basic metabolic panel: BMP)
เป็นการตรวจระดับสารเคมีต่าง ๆ ในเลือดที่ตรวจได้จากพลาสมา ระดับสารเคมีเหล่านี้จะบ่งบอกถึงสภาพการทำงานโดยรวมของร่างกาย และช่วยหาสาเหตุของอาการเจ็บป่วยเบื้องต้น เช่น โรคเบาหวาน โรคไต ภาวะไม่สมดุลของระดับเกลือแร่ในร่างกาย
ตัวอย่างการตรวจสารเคมีในเลือด เช่น
- การตรวจกลูโคสหรือน้ำตาลในเลือด เพื่อคัดกรองโรคเบาหวาน
- การตรวจระดับแคลเซียมในเลือด หากค่าผิดปกติอาจบ่งบอกถึงภาวะแคลเซียมในเลือดผิดปกติ มักพบในผู้ป่วยโรคไต วัณโรค และโรคมะเร็งที่แพร่กระจายไปที่กระดูก
- การตรวจระดับไนโตรเจนในเลือด (Blood Urea Nitrogen: BUN) เป็นค่าของเสียจากการเผาผลาญโปรตีน หากค่าที่ได้สูงมากไปอาจบอกถึงการทำงานของไตผิดปกติ
- การตรวจระดับครีเอตินิน (Creatinine) เป็นค่าที่บ่งบอกถึงการทำงานของไต หากไตยังทำงานดีจะมีการกำจัดครีอะตินีนทิ้งออกทางปัสสาวะ และคงเหลือไว้ในเลือดเพียงเล็กน้อย
- การตรวจระดับคลอไรด์ เพื่อดูความสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย
การตรวจระดับไขมันในเลือด (Lipid panel)
เป็นการตรวจระดับไขมันชนิดต่าง ๆ ในเลือด เพื่อประเมินความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยชนิดของไขมันสำคัญที่ควรรู้มี 4 ตัว
- คอเรสเตอรอลรวม
- คอเรสเตอรอลชนิดเลวหรือ LDL (Low Density Lipoprotein)
- คอเรสเตอรอลชนิดดีหรือ HDL (High Density Lipoprotein)
- ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides)
การตรวจหาลิ่มเลือด (Coagulation Panel)
เป็นการตรวจดูโปรตีนในเลือดที่มีผลต่อกระบวนการแข็งตัวของเลือด และระยะเวลาในการแข็งตัวของเลือด เพื่อตรวจหาสาเหตุของเลือดออกง่าย หรือภาวะที่มีการเกิดลิ่มเลือดง่ายกว่าปกติ
การตรวจฮอร์โมนไทรอยด์ (Thyroid function test)
เป็นการตรวจดูการทำงานของต่อมไทรอยด์ โดยวัดระดับฮอร์โมนไทรอยด์ 3 ชนิด คือ
- ฮอร์โมน T3 (Triiodothyronine) และ T4 (Thyroxine) จะทำงานร่วมกัน เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากต่อมไทรอยด์ โดยจะควบคุมการเผาผลาญของร่างกาย กระตุ้นการเจริญเติบโตของร่างกาย
- ฮอร์โมน TSH (Thyroid-stimulating hormone) เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากต่อมใต้สมอง ทำหน้าที่กระตุ้นให้ต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมน T3 และ T4 เพื่อใช้ในการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย โดยค่า TSH ที่สูงขึ้นจะบ่งบอกถึงการทำงานของต่อมไทรอยด์ผิดปกติ
ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในเลือดสูงหรือต่ำเกินไปจะบอกได้ถึงภาวะผิดปกติหลายอย่าง เช่น ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ ไทรอยด์ทำงานต่ำ ภาวะขาดโปรตีน ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) หรือเทสโทสเตอโรนต่ำ (Testosterone)
การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการในระยะแรก ทำให้ยากต่อการสังเกต
การตรวจเลือดเลยเป็นหนึ่งวิธีที่ช่วยตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้หลายโรค เช่น เชื้อเอชไอวี (HIV) เชื้อซิฟิลิส (Syphilis) เริม (Herpes) เชื้อไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B) และเชื้อไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C) โดยส่วนมากจะตรวจควบคู่กับการตรวจปัสสาวะ
มีความเสี่ยง แต่เขินอายไม่กล้าไปตรวจ บอกแอดมินของ HDmall จองให้ได้นะ แอดไลน์เลย หรืออยากดูโปรตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ก่อน เลือกโรงพยาบาล และคลินิก คลิกที่นี่
การเตรียมตัวก่อนตรวจเลือด
ก่อนการตรวจเลือดไม่ต้องมีการเตรียมตัวเป็นพิเศษ เพราะแพทย์ต้องการตรวจดูว่าตัวอย่างเลือดมีความผิดปกติหรือไม่
วันที่ไปตรวจเลือดควรสวมใส่เสื้อผ้าที่สะดวกต่อการเจาะเลือด
ก่อนวันตรวจควรนอนพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ คนที่มีโรคประจำตัวหรือกำลังรับประทานยาใดอยู่ ควรแจ้งแพทย์ล่วงหน้า เพราะอาจต้องหยุดรับประทานยาบางชนิด
การตรวจเลือดบางประเภทจะต้องงดน้ำและอาหารทุกชนิด ยกเว้นน้ำเปล่า ตั้งแต่หลังเที่ยงคืนของวันที่นัดตรวจเลือด หรืออย่างน้อย 8-12 ชั่วโมง เพราะสารต่าง ๆ จากการน้ำและอาหารจะทำให้ค่าในเลือดสูงหรือต่ำกว่าความเป็นจริง ส่งผลให้ผลการตรวจคาดเคลื่อนได้
ขั้นตอนการตรวจเลือด
แพทย์จะสอบถามประวัติทางการแพทย์ในเบื้องต้นก่อนการสั่งตรวจเลือด เพื่อเป็นข้อมูลในการประเมินผลหลังจากได้ผลตรวจเลือด
การเจาะเลือดมาตรวจใช้เวลาไม่นาน หรือประมาณ 10 นาที โดยมีขั้นตอนต่อไปนี้
- ผู้เข้ารับการตรวจจะนั่งบนเก้าอี้หรือนอนบนเตียง
- เจ้าหน้าที่ทำความสะอาดบริเวณที่จะเจาะเลือดด้วยสำลีชุบแอลกอฮอล์
- ใช้เข็มเจาะเข้าในเส้นเลือดบริเวณที่ต้องการ นำเลือดออกมาจำนวนหนึ่ง และเก็บเลือดใส่หลอดเลือดที่เตรียมไว้
- เมื่อได้เลือดในปริมาณที่ต้องการแล้ว เจ้าหน้าที่จะถอนเข็มเจาะเลือดออก
- ทำความสะอาดบริเวณที่เจาะเลือดอีกครั้ง และปิดแผลด้วยพลาสเตอร์ หรืออาจใช้สำลีปิดบริเวณรอยเจาะแล้วให้กดสำลีเอาไว้ระยะหนึ่ง เพื่อให้เลือดหยุดไหล หรือหากเจาะเลือดที่แขนสามารถใช้แขนหนีบสำลีเอาไว้ได้
ระยะเวลาในการรอผลตรวจเลือด
หลังการตรวจเลือดสามารถกลับบ้านได้เลย และทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้ตามปกติ ผลตรวจเลือดมักจะออกภายใน 1-2 วันหลังการตรวจ หรืออาจนานเป็นสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับประเภทของการตรวจเลือด และเงื่อนไขของแต่ละสถานพยาบาล
โดยแพทย์จะนัดหมายเพื่อแจ้งผลเลือดและอธิบายผลการตรวจอีกครั้ง แต่บางกรณีอาจรับผลเลือดได้ภายในวันที่ตรวจเลือดเลย
ผลข้างเคียงของการตรวจเลือด
การตรวจเลือดเป็นการเจาะเอาตัวอย่างเลือดไปเล็กน้อย ค่อนข้างปลอดภัย และพบผลข้างเคียงรุนแรงได้น้อยมาก
หลังการเจาะเลือดอาจมีอาการคัน ปวด บวม แดง ฟกช้ำเล็กน้อยบริเวณที่เจาะเลือด แต่อาการจะดีขึ้นและหายได้เอง แต่หากมีอาการหน้ามืด วิงเวียนศีรษะ หรืออาการอื่น ๆ ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที
การตรวจเลือดเป็นการตรวจทางการแพทย์ที่ใช้บ่อย ทำได้ง่าย และรวดเร็ว แต่ผลการตรวจเลือดเพียงอย่างเดียวไม่สามารถยืนยันความผิดปกติหรือโรคบางโรคได้ เพราะมีหลายปัจจัยกระทบต่อผลการตรวจเลือด และอาจต้องมีการตรวจเลือดซ้ำ หรือตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีอื่น
ตรวจเลือดเช็กได้หลายอย่าง! หาแพ็กเกจตรวจสุขภาพ พร้อมเปรียบเทียบราคาจาก รพ. และคลินิกชั้นนำ ผ่าน HDmall.co.th เลือกตรวจได้ตามความต้องการ และความเสี่ยง หรืออยากปรึกษาคุณหมอเพิ่มเติม ก็มีครบ คลิกเลย มีข้อสงสัยเพิ่มเติม สอบถามแอดมินได้ที่ไลน์ทุกวัน ทักแช็ต