โรคเกาต์ (Gout) เป็นโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อยในเพศชาย ผู้ป่วยจะมีอาการปวดข้อฉับพลัน ข้อแข็ง และบวม ส่วนมากมักเป็นบริเวณนิ้วหัวแม่เท้า
หากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาการของโรคเกาต์ก็จะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นและอาจเป็นอันตรายต่อข้อต่อ เส้นเอ็น และเนื้อเยื่ออื่นๆ ได้
สารบัญ
- สาเหตุของโรคเกาต์
- อาการเบื้องต้นเมื่อมียูริกสะสม
- กรดยูริกคืออะไร?
- อาการเบื้องต้นของโรคเกาต์
- ผลข้างเคียงของโรคเกาต์
- การวินิจฉัยโรคเกาต์
- การรักษาโรคเกาต์
- การรักษาโรคเกาต์ในระยะแรก
- โรคเก๊าท์ ห้ามกินอะไร
- เป็นเกาต์กินไก่ได้ไหม กินอกไก่ได้ไหม ?
- ยาที่ใช้รักษาโรคเกาต์
- การดูแลตนเองเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ
- โรคเกาต์เทียม (Pseudogout) แตกต่างจากโรคเกาต์อย่างไร?
- 10 ประเด็นสำคัญของโรคเกาต์เทียมที่ควรรู้
- คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคเกาต์
สาเหตุของโรคเกาต์
โรคเกาต์เกิดจากร่างกายขจัดกรดยูริก (Uric acid) ออกไม่หมด จึงมีกรดยูริกอยู่ในเลือดสูงกว่าปกติ เรียกว่า “ภาวะกรดยูริกในเลือดสูง (Hyperuricemia)”
เมื่อระยะเวลาผ่านไป กรดยูริกจะเกิดการตกตะกอน สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งจะกระตุ้นกระบวนการในระบบภูมิคุ้มกัน และก่อให้เกิดการอักเสบได้
อาการเบื้องต้นเมื่อมียูริกสะสม
กรดยูนิกอาจสะสมอยู่ในจุดที่ต่างกันและจะส่งผลต่อร่างกายต่างกัน ดังต่อไปนี้
- ถ้ากรดยูริกสะสมมากที่ข้อต่อ จะทำให้เกิดอาการข้อต่ออักเสบ ปวด แดง และร้อนบริเวณข้อต่อ
- ถ้ากรดยูริกสะสมอยู่ตามผิวหนัง จะส่งผลให้เกิดปุ่มนูนขึ้นตามผิวหนัง
- ถ้ากรดยูริกสะสมที่ไต จะทำให้เกิดโรคนิ่วในใตและเกิดอาการไตเสื่อม
ปัจจุบันสาเหตุของภาวะกรดยูริกในเลือดสูงยังไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน แต่สันนิษฐานว่า มีสาเหตุมาจากปัจจัยทางด้านพันธุกรรม นอกจากนี้ยังพบปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มขึ้นของกรดยูริกโดยตรง ได้แก่
- น้ำหนักเกินกว่ามาตรฐาน
- รับประทานอาหารที่มีสารพิวรีน (Purine) สูง เช่น เนื้อสัตว์ปีก อาหารทะเล เนื่องจากเมื่อร่างกายรับสารพิวรีนเข้าไปสามารถเปลี่ยนเป็นกรดยูริกได้
- ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
- ยาบางชนิดที่อาจเพิ่มระดับของกรดยูริก เช่น แอสไพริน (Aspirin) ไนอาซิน (Niacin) ยาขับปัสสาวะ (Diuretics)
- ความเจ็บป่วย หรือสภาวะทางการแพทย์บางประการ เช่น การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว โรคความดันโลหิตสูง
กรดยูริกคืออะไร?
กรดยูริกเป็นสารที่เกิดจากร่างกาย โดยร่างกายสามารถสร้างขึ้นได้เองถึง 80% ส่วนอีก 20% ที่เหลือ ได้มาจากการรับประทานอาหารที่มีสารพิวรีนเข้าไป โดยสารพิวรีนสามารถพบได้ในอาหารจำพวกสัตว์ปีก เครื่องในสัตว์ พืชผักบางชนิด และอาหารทะเลบางอย่าง
กรณีที่ร่างกายมีกรดยูริกมากเกินไป ร่างกายจะขับกรดยูริกที่เกินความจำเป็นทางปัสสาวะ แต่ในร่างกายของบางคนไม่สามารถขับกรดยูริกออกไปได้หมดจึงเกิดการสะสมกรดยูริก โดยเฉพาะบริเวณกระดูก ผนังหลอดเลือด และไต
หากร่างกายไม่สามารถขับกรดยูริกออกไปได้หมด เมื่อระยะเวลาผ่านไป จะเกิดการตกตะกอนของกรดยูริกเป็นจำนวนมาก และทำให้กลายเป็นโรคเกาต์นั่นเอง
การห้ามกินอาหารบางประเภทไม่ช่วยให้เกาต์หายได้ มีผลเพียง 20% เท่านั้น หากมีอาการเกาต์ ควรพบแพทย์เพื่อขอรับคำปรึกษาและเข้าใจปัญหามากขึ้น
อาการเบื้องต้นของโรคเกาต์
- อาการปวดแดงเฉียบพลัน โดยในช่วงวันแรกจะเป็นช่วงที่ปวดมากที่สุดและไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า
- จุดที่จะแสดงอาการก่อนส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ได้แก่ นิ้วโป้งเท้า ข้อเท้า และข้อเข่า
- หลังจากเวลาผ่านไปในวันที่สอง อาการปวดก็จะเบาบางลง
- ปกติแล้วจะหายปวดภายใน 5-7 วัน หลังเกิดอาการเบื้องต้น
อาการที่เด่นชัดของโรคเกาต์
“โพดากร้า (Podagra)” คือ อาการอักเสบของข้อที่นิ้วหัวแม่เท้า ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดรวมถึงสังเกตได้ว่า ข้อเท้ามีอาการบวมแดง และร้อน อาการปวดมักจะเริ่มต้นในช่วงกลางคืน ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วภายใน 1 ชั่วโมง
ผลข้างเคียงของโรคเกาต์
ผลข้างเคียงที่ส่งผลกระทบกับอวัยวะภายในได้แก่
- โรคเกาต์เรื้อรัง
- โรคนิ่วในไต เกิดจากการตกผลึกของกรดยูริก
- โรคไตวาย เนื่องจากผลึกกรดยูริกฉุดกั้นการกรองปัสสาวะ
การวินิจฉัยโรคเกาต์
โรคเกาต์เป็นโรคที่วินิจฉัยได้ยาก เนื่องจากอาการปวดข้อของโรคเกาต์มีลักษณะคล้ายกับหลายๆ โรค หากอยู่ดีๆ เกิดการปวดกำเริบขึ้นอย่างฉับพลันโดยไม่มีสาเหตุ ควรไปพบแพทย์ โดยแพทย์จะวินิจฉัยโรคเกาต์ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
1. การตรวจน้ำไขข้อ
ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการวินิจฉัยโรคเกาต์ แพทย์จะฉีดยาชาเข้าสู่บริเวณที่ต้องการตรวจ ก่อนแทงเข็มเข้าไปที่ช่องว่างภายในข้อเพื่อดูดน้ำไขข้อบางส่วนออกมา (น้ำไขข้อมีลักษณะข้น สีใส)
จากนั้นจะนำตัวอย่างที่ได้ไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ ซึ่งนักเทคนิคการแพทย์จะตรวจสอบน้ำไขข้อเพื่อหาสัญญาณของโรค เช่น ตรวจว่ามีระดับกรดยูริกสูงหรือไม่ ตรวจว่ามีกรดยูริกตกผลึกอยู่หรือไม่
2. การตรวจกรดยูริกในเลือด
เนื่องจากกรดยูริกเป็นสารเคมีที่พบได้ในกระแสเลือด ผู้ที่เป็นโรคเกาต์ส่วนมากมักมีกรดยูริกในกระแสเลือดมากกว่าปกติ
แม้การตรวจระดับกรดยูริกในเลือดจะเป็นการวินิจฉัยโรคเกาต์ที่ดี แต่การที่ตรวจไม่พบว่า “กรดยูริกสูงก็ไม่ได้ยืนยันว่า ปลอดภัยจากโรคเกาต์” ในทางกลับกันการที่กรดยูริกสูงก็ไม่ได้แปลว่าต้องเป็นโรคเกาต์เสมอไป
อย่างไรก็ตาม หากตรวจแล้วพบว่า “มีกรดยูริกต่ำก็ขอให้สบายใจได้ เนื่องจากโดยส่วนมากแล้วหมายความว่า คุณไม่ได้เป็นโรคเกาต์”
3. การตรวจกรดยูริกในปัสสาวะ
หากได้รับการวินิจฉัยว่า “เป็นโรคเกาต์” แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจกรดยูริกในปัสสาวะ เพื่อติดตามการเกิดนิ่วในไต ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคเก๊าต์ในผู้ป่วยบางราย
การรักษาโรคเกาต์
เป้าหมายของการรักษาโรคเกาต์ คือ การบรรเทาอาการปวดให้หายไปอย่างรวดเร็ว ป้องกันการเกิดเป็นซ้ำ รวมถึงการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เช่น ความเสียหายของข้อต่อและไต
ส่วนวิธีการรักษา จะรักษาด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมรวมถึงการใช้ยาเพื่อป้องกันการกำเริบของโรคเกาต์ในอนาคต
การรักษาโรคเกาต์ในระยะแรก
การรักษาโรคเกาต์ในระยะแรกสามารถทำได้หลายวิธี แต่ควรทำวิธีต่างๆ ร่วมกันเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ดังนี้
- ผู้ป่วยต้องรับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการ
- งดรับประทานอาหารที่ทำให้เกิดกรดยูริกปริมาณสูงในกระแสเลือด
- งดดื่มแอลกอฮอล์
- ดื่มน้ำสะอาดมากๆ เพื่อช่วยให้ร่างกายขับกรดยูริกออกมาพร้อมกับปัสสาวะได้มากขึ้น
- การดื่มนมสดสามารถช่วยลดระดับกรดยูริกในร่างกายได้
กรณีที่ผู้ป่วยรักษาและดูแลตัวเองในเบื้องต้นแล้ว แต่ยังมีอาการกำเริบมากกว่า 2-3 ครั้งต่อปี อาจต้องเข้ารับการรักษากับแพทย์เฉพาะทางเพื่อรับยาลดกรดยูริกเป็นกรณีพิเศษ
การรักษาโรคเกาต์แบบเฉียบพลัน
- พักการใช้ข้อที่มีภาวะอักเสบ
- ใช้น้ำแข็งประคบเพื่อลดอาการบวม
- ใช้ยาแก้ปวดทันทีที่อาการของโรคเกาต์กำเริบ ได้แก่
- ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Nonsteroidal anti-inflammatory drugs: NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) นาพร็อกเซน (Naproxen) และแอสไพริน (Aspirin)
- ยาโคลชิซีน (Colchicine)
- ยาสเตียรอยด์แบบรับประทาน (Oral corticosteroids)
โรคเก๊าท์ ห้ามกินอะไร
อาหารที่ผู้ป่วยโรคเกาต์ควรหลีกเลี่ยง คือ อาหารที่มีสารพิวรีนสูง สามารถทานได้ในปริมาณที่จำกัด หรือตามที่แพทย์แนะนำ
- เห็ด
- เครื่องในสัตว์ทุกชนิด
- เนื้อสัตว์ปีกทุกชนิด
- ไข่ปลา
- ปลาดุก ปลาไส้ตัน ปลาซาร์ดีน
- กุ้ง
- ผักชะอม ผักกระถิน ผักสะเดา
- กะปิ
- น้ำต้มกระดูก
- ซุปก้อน
เป็นเกาต์กินไก่ได้ไหม กินอกไก่ได้ไหม ?
คนโบราณจะเตือนว่าห้ามกินไก่ เพราะเป็นสัตว์ปีก ซึ่งเป็นข้อห้าม แต่หากวัดค่าพิวรีนในสัตว์ ไก่จะมีพิวรีนค่อนข้างระดับกลางไปสูง และบางส่วนอย่าง อกไก่ อาจพิวรีน น้อยกว่าเนื้อสัตว์ประเภทอื่นอีก
ไก่ จึงสามารถกินได้ในปริมาณที่จำกัด ในส่วนต่างๆ ยกเว้นเครื่องในที่พิวรีนสูง
อย่ากินไก่ต่อเนื่องกันเกินไป เพราะทำให้มีพิวรีนสะสมมากเกินไป จนโรคเก๊าต์กำเริบได้
หลายคนสงสัยว่า “เป็นเกาท์ห้ามกินอะไร” หรือ “เป็นเกาท์ กินไก่ได้ไหม” ซึ่งหากเลี่ยงอาหารบางประเภทจะช่วยลดปริมาณสารพิวรีนและกรดยูริกได้ แต่อาจลดปริมาณกรดยูริกที่ร่างกายสร้างขึ้นเองกว่า 80% ไม่ได้ จึงควรพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาและทานยาหากจำเป็น
- บทความที่เกี่ยวข้อง: ตารางปริมาณพิวรีนในอาหาร
ยาที่ใช้รักษาโรคเกาต์
มียาหลายชนิดที่สามารถใช้รักษาโรคเกาต์เมื่ออาการกำเริบ ส่วนมากมักเป็นยาแก้อักเสบซึ่งจะช่วยลดอาการปวด บวม และลดการอักเสบ ชนิดของยาแก้อักเสบที่ใช้บ่อยคือ ยาในกลุ่ม NSAIDs ซึ่งบางตัวจำเป็นต้องใช้ใบสั่งยา ไม่สามารถซื้อได้ด้วยตัวเอง
ยารักษาโรคเกาต์ที่สามารถซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป
- Ibuprofen
- Naproxen
- Indomethacin
- Celecoxib, Colchicine
ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) หรือยาสเตียรอยด์ (Steroids)
ยากลุ่มนี้สามารถใช้ได้ทั้งในรูปแบบกิน หรือใช้ฉีดเข้าข้อ ประกอบด้วย
- Deltasone (Prednisone)
- Omnipred หรือ Millipred (Prednisolone)
- Medrol หรือ Solu-Medrol (Methylprednisolone)
ยาที่สามารถลดระดับกรดยูริก
ยารักษาโรคเกาต์บางตัวสามารถลดระดับกรดยูริกในกระแสเลือดได้ แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาตัวใดตัวหนึ่งในกลุ่มต่อไปนี้ในระยะยาวหากโรคเกาต์กำเริบ
ควรปรึกษาแพทย์ที่รักษาก่อนรับยากลุ่มนี้ เภสัชกรที่ร้านขายยาอาจไม่จ่ายยาเหล่านี้หากไม่ทราบปริมาณที่เหมาะสมในการรักษาเพราะอาจเกิดอันตรายในระยะยาว
รายชื่อยามีดังต่อไปนี้
- allopurinol
- Probenecid
- losartan
- Febuxostat
- lesinurad
- Pegloticase
อ่านเพิ่มเติม: ยาบรรเทาและรักษาโรคเกาต์
การดูแลตนเองเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ
โรคเกาต์สามารถกลับมาเป็นซ้ำ หรือกำเริบได้ ฉะนั้นควรปฏิบัติตนให้เหมาะสมเพื่อป้องกันการกำเริบของโรค ดังต่อไปนี้
- รับประทานยาตามที่แพทย์แนะนำให้ครบถ้วน โดยเฉพาะยาที่ช่วยลดระดับกรดยูริก
- ดูแล รักษา ควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุ และปัจจัยเสี่ยง
- หลีกเลี่ยง หรือจำกัดอาหารที่มีสารพิวรีน หรือกรดยูริกสูง
ตัวอย่างอาหารที่มีสารพิวรีน หรือกรดยูริกน้อย เช่น ธัญพืชชนิดเต็มเมล็ด ซีเรียล นม (ควรดื่มนมพร่องมันเนยเพื่อลดโอกาสเกิดโรคไขมันในเลือดสูง) ไข่ขาว และปลาน้ำจืด - ดื่มน้ำสะอาดมากๆ อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว เพื่อขับกรดยูริกออกจากร่างกาย และช่วยไม่ให้กรดยูริกตกตะกอนจนเกิดเป็นนิ่วในไต
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- เมื่อปวดข้อมาก ให้ประคบเย็นในตำแหน่งที่ปวดร่วมกับรับประทานยาบรรเทาปวด
- หลีกเลี่ยงการใช้งานและการลงน้ำหนักข้อที่เกิดโรค
- ระมัดระวังการกินยาต่างๆ โดยควรปรึกษาแพทย์ พยาบาล หรือเภสัชกรก่อน
- พบแพทย์ตามนัดเสมอ และรีบพบแพทย์ก่อนนัดเมื่ออาการต่างๆ แย่ลง ผิดปกติไปจากเดิม หรือเมื่อมีความกังวลเกี่ยวกับอาการ
- ปัจจุบันยังไม่มีการรองรับทางการแพทย์ว่า สมุนไพรสามารถใช้รักษาโรคเกาต์ให้หายขาดได้
โรคเกาต์เทียม (Pseudogout) แตกต่างจากโรคเกาต์อย่างไร?
โรคเกาต์เทียมเป็นโรคที่มักทำให้เกิดความสับสนกับโรคเกาต์ และโรคข้ออื่นๆ ดังนั้นการวินิจฉัยโรคที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะผู้ป่วยโรคเกาต์เทียมที่ไม่ได้รับการรักษาอาจส่งผลให้เกิดการเสื่อมของข้ออย่างรุนแรง มีการอักเสบเรื้อรัง และนำไปสู่ความพิการได้
10 ประเด็นสำคัญของโรคเกาต์เทียมที่ควรรู้
1. โรคเกาต์เทียมมีความคล้ายคลึงกับโรคเกาต์ เกิดขึ้นจากการสะสมผลึกที่ต่างกัน
โรคเกาต์เทียม คือ ภาวะที่เกิดจากการที่มีผลึกเกลือชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า “แคลเซียมไพโรฟอสเฟตไดไฮเดรต (Calcium pyrophosphate dihydrate: CPPD)” สะสมภายในข้อและเนื้อเยื่อรอบข้อ ในขณะที่โรคเกาต์เกิดจากการสะสมของผลึกยูริกภายในข้อ
2. โรคเกาต์เทียมอาจมีอาการเหมือนโรคข้อเสื่อมและข้ออักเสบรูห์มาติก เช่นเดียวกับโรคเกาต์
ผู้ป่วยที่มีการสะสมของผลึกแคลเซียมไพโรฟอสเฟตไดไฮเดรตประมาณ 25% จะเกิดโรคที่เรียกว่า “โรคเกาต์เทียม” แต่ผู้ป่วยโรคเกาต์เทียมทุกคนไม่จำเป็นต้องมีอาการเหมือนโรคข้ออื่นๆ
มีผู้ป่วยประมาณ 5% ที่อาจมีอาการคล้ายกับที่เกิดในโรคข้ออักเสบรูห์มาติก และอีกประมาณ 50% อาจมีอาการที่คล้ายคลึงกับโรคข้อเสื่อมได้
3. โรคเกาต์เทียมมักเกิดขึ้นที่ข้อเดียว โดยเกิดขึ้นอย่างฉับพลันและรุนแรง
ถึงแม้ว่าเวลาที่โรคเกาต์เทียมกำเริบอาจมีอาการรุนแรงคล้ายกับโรคเกาต์ แต่ก็มักจะปวดน้อยกว่า โดยมีอาการดังนี้
- ปวดได้นานตั้งแต่หลายวันจนถึง 2 สัปดาห์
- อาจมีไข้ตามมาได้
- มักเกิดขึ้นได้เอง หรืออาจเกิดตามหลังการเจ็บป่วยรุนแรง การผ่าตัด หรือการได้รับอุบัติเหตุ
- ทำให้กระดูกอ่อนและข้อต่อถูกทำลายและแย่ลงเรื่อย ๆ หลังจากมีอาการกำเริบได้หลายปี
4. เกือบครึ่งของโรคเกาต์เทียมเกิดขึ้นที่ข้อเข่า
โรคเกาต์เทียมมักจะเกิดที่เข่า ในขณะที่โรคเกาต์มักจะเกิดที่นิ้วโป้งเท้า อย่างไรก็ตาม โรคเก๊าต์เทียมสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกข้อ รวมถึงนิ้วโป้งเท้าด้วยเช่นกัน
5. ทุกคนมีโอกาสเป็นโรคเกาต์เทียม แต่ความเสี่ยงนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนเมื่ออายุมากขึ้น
การเกิดผลึกสะสมในข้อที่ทำให้เกิดโรคเกาต์เทียมนี้เกิดขึ้นในประชากรประมาณ 3% ของผู้ที่มีอายุประมาณ 60 ปี โดยสัดส่วนของจำนวนผู้ป่วยจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึง 50% ในผู้ที่มีอายุ 90 ปี และโรคนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้เท่ากันทั้งผู้ชายและผู้หญิง
6. ผู้ป่วยโรคเกาต์เทียมบางส่วนมีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคมาก่อน
นอกจากปัจจัยเสี่ยงทางพันธุกรรมแล้ว ปัจจัยอื่นที่เพิ่มโอกาสในการเป็นโรคประกอบด้วย
- ต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากไป (Hyperparathyroidism)
- ภาวะเหล็กเกิน (Hemochromatosis)
- ต่อมพาราไทรอยด์ทำงานน้อยไป (Hypothyroidism)
- ภาวะแอมีลอยโดซิส (Amyloidosis)
- ภาวะพร่องแมกนีเซียมในเลือด (Hypomagnesemia)
- ภาวะฟอสเฟตต่ำ (Hypophosphatasia)
7. การส่งตรวจที่ช่วยในการวินิจฉัยโรคเกาต์เทียมคือ การส่งตรวจน้ำในข้อ
ทำได้โดยการดูดน้ำจากข้อที่มีอาการและนำมาส่องหาผลึกลักษณะรูปแท่ง หรือรูปสี่เหลี่ยมคางหมู ซึ่งจะทำให้สามารถยืนยันการวินิจฉัยโรคได้
หรือหากตรวจพบด้วยการเอกซเรย์ว่า มีแคลเซียมสะสมที่กระดูกอ่อน และภายในข้อ (Chondrocalcinosis) ก็สามารถช่วยยืนยันการวินิจฉัยได้เช่นกัน
นอกจากนี้อาจพิจารณาส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติมเพื่อพิสูจน์ว่า ไม่ได้เป็นโรคข้ออักเสบจากสาเหตุอื่น
8. ยังไม่มีการรักษาโรคเกาต์เทียมให้หายขาด แต่มีวิธีการรักษาที่สามารถควบคุมอาการได้
- โรคเกาต์เทียมสามารถควบคุมได้โดยการใช้ยา
- แพทย์มักจ่ายยาแก้อักเสบชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เพื่อควบคุมอาการปวดและการอักเสบเมื่อโรคเกาต์เทียมกำเริบ
- บางครั้ง แพทย์อาจใช้ยาโคลชิซีนร่วมกับ NSAID ปริมาณน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้กำเริบในครั้งหน้า
- สามารถฉีดคอร์ติโซน (Cortisone) เข้าในข้อที่อักเสบเพื่อควบคุมอาการปวดและการอักเสบได้เช่นกัน โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ไม่สามารถใช้ยาอื่นได้
- การผ่าตัดเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการรักษาของผู้ป่วยที่มีการทำลายของข้ออย่างรุนแรง
9. เนื่องจากคนส่วนมากมักสับสนระหว่างโรคเกาต์เทียมกับโรคข้ออักเสบอื่นๆ ดังนั้นจึงควรเข้ารับการตรวจโดยผู้เชี่ยวชาญ
เนื่องจากลักษณะของโรคเกาต์เทียมมีความคล้ายคลึงกับโรคข้ออักเสบชนิดอื่น ดังนั้นจึงควรพบผู้เชี่ยวชาญด้านโรคข้อ (Rheumatologist) เพื่อวินิจฉัย เพราะการวินิจฉัยที่ถูกต้อง แม่นยำ และรวดเร็ว จะทำให้มีโอกาสในการป้องกันไม่ให้เกิดการทำลายข้ออย่างรุนแรงได้
10. อาหารไม่มีส่วนที่ทำให้เกิดโรคเกาต์เทียมและการเปลี่ยนอาหารก็ไม่ได้ช่วยควบคุมอาการของโรค
ถึงแม้ว่า ผลึกที่มีการสะสมในโรคเกาต์เทียมจะมีส่วนประกอบของแคลเซียม แต่การรับประทารอาหารที่มีแคลเซียมจำนวนมากก็ไม่เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นให้เกิดโรคเกาต์เทียม
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคเกาต์
นอกจากข้อมูลข้างต้นแล้ว เรายังได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคเกาต์และได้รับการตอบโดยแพทย์มาฝากกัน ดังต่อไปนี้
คำถาม: อาการปวดเข่าเวลาเดิน หรือนั่งพับเพียบแล้วเจ็บจี๊ดๆ เหมือนกระดูกจะลั่น เป็นอาการของโรคเกาต์หรือไม่?
คำตอบ: จากอาการที่เล่ามาลักษณะคล้ายกับโรคเข่าเสื่อมมากกว่า โรคเข่าเสื่อมเกิดจากการเสื่อมของกระดูกบริเวณข้อต่อ ทำให้ผิวข้อต่อขรุขระ เวลาเดินจึงรู้สึกปวด ร่างกายจึงสร้างกระดูกข้อมาใหม่ เกิดเป็นกระดูกงอก ทำให้เวลาเดินจะรู้สึกขัดๆ ปวดๆ หรือมีเสียงดังลั่นในเข่า
ในระยะแรก ผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดตื้อ หรือตุ๊บๆ แบบค่อยเป็นค่อยไป เมื่อเริ่มขยับใช้งานข้อ โดยเฉพาะข้อที่ต้องรับน้ำหนักตัว
ต่อมาในระยะท้ายๆ ของการดำเนินโรค อาการปวดจะคงอยู่แม้ในขณะพัก อาจมีข้อบวมเป็นพักๆ และรู้สึกว่า กล้ามเนื้อต้นขาอ่อนแรง หรือมีอาการเข่าทรุด หรือเข่าผิดรูปได้ แนะนำให้ไปตรวจกับแพทย์ศัลยกรรมกระดูกเพื่อเข้ารับการรักษาอย่างถูกวิธีตั้งแต่เนิ่นๆ (ตอบโดย พญ. Witchuda Onmee)
คำถาม: อยากทราบว่า ผู้ป่วยโรคเกาต์ซื้อยาจากร้านขายยามากินเอง โดยที่ไม่ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเลย เมื่อถึงเวลาที่โรคมีความรุนแรงขึ้น จะส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างไร?
คำตอบ: ถ้าคุณได้รับการวินิจฉัยว่า เป็นโรคเกาต์ และไปซื้อยามารับประทานเองจะมีความเสี่ยงมาก เนื่องจากคุณจะไม่ได้รับการตรวจติดตามอาการ เช่น ระดับกรดยูริกในเลือด ข้ออักเสบที่กำเริบหลายๆ ครั้ง และจะทำให้มีการเสื่อมของข้อตามมาได้ในที่สุด (ตอบโดย นพ. กิตติศัพท์ สินน้อย)
คำถาม: อาการปวดบริเวณข้อที่นิ้วเท้าเป็นอาการเบื้องต้นของโรคเกาต์ใช่ไหม?
คำตอบ: โรคเกาต์มีอาการปวดบริเวณข้อที่เท้าได้ เป็นอาการที่พบบ่อย แต่จะเป็นอาการปวดมาก มีบวม แดง ร้อนบริเวณข้อที่เป็นเกาต์ อย่างไรก็ตาม อาการปวดบริเวณที่ข้อนิ้วเท้าไม่ได้บ่งบอกแน่ชัดว่าเป็นเกาต์
สาเหตุที่พบได้บ่อยกว่า คือ อาการปวดจากข้อเสื่อม หรืออาการปวดจากการใส่รองเท้าไม่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม หากมีอาการปวดมากตลอด รับประทานยาแก้ปวดก็ไม่หาย ให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย และเข้ารับการรักษาที่เหมาะสมจะดีกว่า (ตอบโดย Dr. Rattapon Amampai)
คำถาม: เจ็บที่ข้อเท้า เป็นเพราะเส้นเอ็นอักเสบ หรือโรคเกาต์คะ?
คำตอบ: ถ้ามีอาการปวด บวม แดง ร้อนรอบๆ ข้อ อาจเกิดจากข้ออักเสบ ซึ่งมีได้หลายสาเหตุ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง (ตอบโดย นพ. กิตติศัพท์ สินน้อย)
โรคเกาต์สามารถป้องกันได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร เช่น รับประทานอาหารที่มีพิวรีนให้น้อยลง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน และหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
นอกจากนี้ควรใช้ยาทุกชนิดภายใต้การดูแลของแพทย์ พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ