สรุปการรีวิว
ปิด
ปิด
- ปกติเรากินผักผลไม้เป็นประจำ กินอาหารที่มีประโยชน์อยู่แล้ว แต่ก็มีเพื่อนมาขายอาหารเสริม เราก็ซื้อกินเพราะเกรงใจ แต่ก็ไม่รู้เลยว่าแต่ละอย่างกินเข้าไปแล้วเราได้อะไร ดีต่อสุขภาพร่างกายเราแค่ไหน
- จนได้มีโอกาสมาตรวจระดับวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) ที่ N Health ค่ะ โดยวิธีการตรวจคือ เจาะเลือดเก็บตัวอย่าง ใช้เวลารวมแล้วไม่เกิน 10 นาทีแล้วก็กลับบ้านได้เลย
- ผลตรวจจะแบ่งเป็นแถบสีให้เข้าใจง่ายค่ะ แบ่งเป็นค่าระดับวิตามินที่ตรวจวัดได้จากเลือดของเรา และมีเกณฑ์มาตรฐานที่ปกติควรจะมีอยู่ด้วย
- การตรวจระดับวิตามินทำให้เรารู้ว่าสิ่งต่างๆ ที่เรากินเข้าไปมันคงอยู่ในเลือดเท่าไหร่ ค่าไหนที่ดีอยู่แล้ว ตัวไหนที่ต้องเสริมเพิ่มเติมก็สามารถปรับจากการกินได้ หรือจะหาอาหารเสริมมาเพิ่มก็ได้ค่ะ
- รีวิวนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ #HDreview ได้รับการสปอนเซอร์จากทาง HDmall.co.th และ N Health
เมื่อก่อนในสมัยร่างกายยังแข็งแรง ก็ใช้ชีวิตเต็มที่เลยค่ะ พอตอนนี้อยู่ในวัย 50 กว่าก็อยากดูแลตัวเองมากกว่าที่เคยดูแล แต่ถ้าจะให้ไปออกกำลังกายก็รู้ตัวว่าไม่ค่อยมีวินัยค่ะ ก็เลยมาดูในเรื่องอาหารการกินแทน
ปกติเรากินผักผลไม้เป็นประจำ กินอาหารที่มีประโยชน์อยู่แล้ว แต่ก็มีเพื่อนมาขายอาหารเสริม เราก็ซื้อกินเพราะเกรงใจ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกวิตามินซี วิตามินอีทั่วๆ ไป
ในตอนนั้นอะไรที่เค้าว่าดี เราก็กินค่ะ แต่ก็แทบไม่รู้เลยว่าวิตามินแต่ละอย่างกินเข้าไปแล้วเราได้อะไร ดีต่อสุขภาพร่างกายเราแค่ไหน มันมากไปรึเปล่า หรือจริงๆ แล้วร่างกายเราควรเสริมอะไรกันแน่
จนได้มีโอกาสมาตรวจระดับวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) ที่ N Health ค่ะ โดยวิธีการจองคิวทำนัดเข้าไปตรวจก็จองผ่าน HDmall.co.th เข้ามาแล้วกรอกข้อมูลส่วนตัวเพื่อยืนยันนัดหมาย จากนั้นมีคูปองส่งมาให้ที่อีเมลสำหรับใช้ยื่นที่ N Health ค่ะ
พอมาถึงที่ N Health เจ้าหน้าที่จะเอาเอกสารที่เรากรอกข้อมูลผ่าน HDmall.co.th มาให้เราตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้ง และให้กรอกที่อยู่เพื่อจะได้ส่งผลตรวจตัวจริงไปให้ค่ะ
จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็พาเข้าไปในห้องเพื่อเจาะเลือดเก็บตัวอย่าง ใช้เวลารวมแล้วไม่เกิน 10 นาทีเลยค่ะ แล้วก็กลับบ้านได้เลย โดยเลือดของเราจะถูกส่งขึ้นไปที่ห้องแล็บด้านบนเพื่อให้นักเทคนิคการแพทย์วิเคราะห์ผลตรวจเลือดค่ะ
รายการตรวจระดับวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) ที่ N Health
- วิตามิน A (Retinol)
- วิตามิน B12
- วิตามิน C (Ascorbic acid)
- วิตามิน D2
- วิตามิน D3
- วิตามิน E (Gamma-Tocopherol)
- วิตามิน E (Alpha-Tocopherol)
- ลูทีนและซีแซนทีน (Lutein + Zeaxanthin)
- เบต้า-คริพโตแซนทิน (Beta-Carotene)
- ไลโคปีน (Lycopene)
- อัลฟ่า แคโรทีน (Alpha-Carotene)
- เบต้า แคโรทีน (Beta-Carotene)
- โคเอนไซม์ คิวเท็น (Coenzyme Q10)
- โครเมียม (Chromium)
- ทองแดง (Copper)
- ซีลีเนียม (Selenium)
- ธาตุสังกะสี หรือซิงค์ (Zinc)
- แมกนีเซียม (Magnesium)
- โฟเลต (Folate)
- เฟอร์ริติน (Ferritin)
หลังจาก 1 สัปดาห์ผ่านไป ผลตรวจก็ถูกส่งมาทางอีเมล ส่วนตัวจริงจะส่งตามมาทีหลัง โดยผลตรวจจะแบ่งเป็นแถบสีให้เข้าใจง่ายค่ะ แบ่งเป็นค่าระดับวิตามินที่ตรวจวัดได้จากเลือดของเรา และมีเกณฑ์มาตรฐานที่ปกติควรจะมีอยู่ด้วย
โดยสรุปแล้วผลตรวจค่อนข้างโอเคเลยค่ะ รายการที่อยู่ในเกณฑ์ดีมากก็คือ วิตามินซี วิตามินอี โครเมียม (Chromium) สังกะสี และแมกนีเซียม (Magnesium)ค่ะ
แต่รายการที่อยู่ในเกณฑ์ปกติแต่ค่อนไปทางน้อยและควรเพิ่มก็คือ วิตามินดี ที่สามารถได้รับจากแสงแดด แต่ถ้าเราตากแดดมากไปก็อาจจะมีผลกระทบในเรื่องอื่นๆ ก็อาจจะหาอาหารเสริมมาเพิ่มได้ สำหรับกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) ก็สามารถเพิ่มได้ด้วยการกินผักและผลไม้สีเหลือง สีส้ม หรือสีแดงได้ค่ะ
องค์ความรู้นึงที่เพิ่งรู้ก็คือ จริงๆ แล้ว การได้รับวิตามินหรือแร่ธาตุจากผักไม่มีคำว่ามากเกินไปค่ะ เพราะวิตามินหรือแร่ธาตุจากผักผลไม้ไม่ได้เยอะเหมือนกินอาหารเสริมที่เป็นเม็ด ต่อให้เรากินผักผลไม้เยอะแค่ไหนก็ไม่มีทางที่จะมากเกินไปแน่นอน
แต่สิ่งที่หลายคนไม่รู้คือ เนื้อสัตว์ก็เป็นอีกสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะว่าในเนื้อสัตว์ก็อุดมไปด้วยแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการค่ะ แต่ถ้าใครทานมังสวิรัต ก็แนะนำให้มาตรวจเลยค่ะ จะได้รู้ว่าควรเสริมตัวไหนเป็นพิเศษรึเปล่า
การตรวจระดับวิตามินทำให้เรารู้ว่าสิ่งต่างๆ ที่เรากินเข้าไปมันคงอยู่ในเลือดเท่าไหร่ ค่าไหนที่ดีอยู่แล้ว ตัวไหนที่ต้องเสริมเพิ่มเติมก็สามารถปรับจากการกินได้ หรือจะหาอาหารเสริมมาเพิ่มก็ได้ค่ะ
โดยรวมการตรวจนี้ไม่ได้ยุ่งยากอะไร ใช้เวลาน้อยมาก ก็ไม่คิดเลยว่าแค่ตรวจจากเลือดจะทำให้เรารู้อะไรได้หลายอย่างมากๆ ทำให้เรารู้ว่าอะไรที่ดีอยู่แล้วไม่ต้องกังวล หรืออะไรที่เราอาจมองข้ามไป หรือไขข้อข้องใจความเข้าใจแบบผิดๆ ใครที่อยากดูแลตัวเองก็อย่าลืมตรวจดูด้วยนะคะว่าความต้องการของร่างกายอยู่ในระดับไหน จะได้ไม่ไปดูแลผิดทางค่ะ