เปรียบเทียบการตรวจภูมิแพ้ด้วยวิธีการเจาะเลือด สะกิดผิวหนัง และด้วยจุลินทรีย์


เปรียบเทียบการตรวจภูมิแพ้ด้วยวิธีการเจาะเลือด สะกิดผิวหนัง และด้วยจุลินทรีย์

HDmall สรุปให้

ขยาย

ปิด

  • ในร่างกายคนเรานั้น เซลล์กว่า 90% เป็นเซลล์ของจุลินทรีย์ ในขณะที่เซลล์เพียง 10% เป็นของคนเอง แถมจุลินทรีย์ในมนุษย์แต่ละคน ยังแตกต่างกัน และเสียสมดุลได้จากปัจจัยทางพันธุกรรม และพฤติกรรม ที่ไม่เหมือนกัน ความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ทำให้แต่ละบุคคลมีปัญหาสุขภาพที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งปัญหาสุขภาพเหล่านั้นรวมถึงภูมิแพ้ด้วย
  • การตรวจภูมิแพ้ทั่วไป เป็นการตรวจที่ปลายเหตุ ว่าคนๆนั้น แพ้อะไร เมื่อทราบแล้วต้องเลี่ยง ต้องพยามควบคุมสิ่งแวดล้อมและสารก่อภูมิแพ้เหล่านั้น แพ้หลายอย่างจนไม่รู้จะเลี่ยงยังไง จะควบคุมยังไง หรือรักษาบรรเทาเมื่อเกิดอาการแพ้ขึ้นมาแล้ว จึงเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ ในขณะที่ศาสตร์ของการสร้างสมดุลของจุลินทรีย์ คือ การจัดการที่ต้นเหตุจริงๆ เพราะจุลินทรีย์ที่เสียสมดุลทำให้ภูมิคุ้มกันทำงานบกพร่อง เกิดอาการแพ้สารที่คนแข็งแรงมีจุลินทรีย์สมดุลจะไม่มีอาการแพ้
  • การตรวจภูมิแพ้จากการตรวจจุลินทรีย์ จะดู DNA ของจุลินทรีย์ในลำไส้ หรือ Gut Microbiome โดยจะส่งตัวอย่างอุจจาระไปตรวจที่ Hong Kong Science Park ใช้เวลารอผลประมาณ 1 สัปดาห์ โดยผลตรวจเป็นภาษาไทย ฟังผลจากแพทย์ไทย เพื่อเลือกซื้อโพรไบโอติกส์สายพันธุ์ที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล คืนสมดุลจุลินทรีย์ บรรเทาอาการภูมิแพ้
  • บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ #HDinsight ได้รับการสปอนเซอร์จาก Biomed Microbiome DNA

สารบัญเนื้อหา


โรคภูมิแพ้เป็นอีกอุปสรรคในการใช้ชีวิตประจำวันสำหรับใครหลายคน และยังเป็นโรคยอดฮิตของคนยุคปัจจุบันไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยไหนหรือเพศอะไรก็ตาม การตรวจภูมิแพ้จึงเป็นที่นิยมเพื่อให้ผู้ตรวจสามารถรักษาภูมิแพ้ หรือป้องกันอาการแพ้ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

ปัจจุบันมีจำนวนผู้ป่วยโรคภูมิแพ้สูงขึ้นกว่าเดิมจากในอดีตหลายเท่าตัว โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยวัยเด็กที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นถึง 40% เมื่อเทียบกับเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ปัจจัยหลักเกิดจากสภาพแวดล้อมที่มีแต่สิ่งสกปรก มลภาวะ ยาปฏิชีวนะ อาหารแปรรูป สารเคมีต่างๆ ที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น สิ่งแวดล้อมที่สะอาดเกินไปทำให้ไม่ได้รับจุลินทรีย์ที่หลากหลายพอจากธรรมชาติ พฤติกรรมการไม่รักษาสุขภาพ ไม่ออกกำลังกาย ไม่รับประทานอาหารที่มีประโยชน์

จากตัวอย่างปัจจัยเหล่านี้จึงทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายเราทุกคนทำงานได้ไม่ปกติ จนเสี่ยงเป็นโรคภูมิแพ้ต่อสารหรือสิ่งแวดล้อมต่างๆ รอบตัว และกลายมาเป็นผลกระทบต่อการใช้ชีวิตในที่สุด

ด้วยเหตุนี้การตรวจจุลินทรีย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับโรคภูมิแพ้จึงเป็นอีกการตรวจสำคัญที่จำเป็นไม่น้อยไปกว่าการตรวจสุขภาพประจำปีเลยทีเดียว และยังแบ่งออกได้หลายวิธีการตรวจซึ่งหลายคนอาจจะยังไม่รู้ความแตกต่างของมัน

HDmall.co.th ร่วมกับ Biomed Microbiome DNA ผู้นำด้านการตรวจจุลินทรีย์ในร่างกายมนุษย์เพื่อหาความเสี่ยงของโรคภูมิแพ้โดยเฉพาะจะมาไขข้อสงสัย และเปรียบเทียบการตรวจภูมิแพ้ด้วยวิธีเจาะเลือด ตรวจภูมิแพ้วิธีสะกิดผิว และตรวจภูมิแพ้ด้วยจุลินทรีย์ โดยผู้เชี่ยวชาญ

การตรวจภูมิแพ้อาหาร ตรวจภูมิแพ้อากาศสำคัญอย่างไร?

การตรวจภูมิแพ้ไม่ว่าจะ ตรวจภูมิแพ้อาหาร หรือตรวจภูมิแพ้อากาศ ด้วยวิธีการตรวจเลือด หรือการสะกิดผิวหนังนั้น จะช่วยให้รู้ถึงชนิดและจำนวนสารต่างๆ ที่ก่ออาการภูม้แพ้ให้กับร่างกาย

ในขณะที่วิธีการตรวจภูมิแพ้อากาศ ตรวจภูมิแพ้อาหารจากการตรวจจุลินทรีย์ โดยการเก็บตัวอย่างอุจจาระเพื่อดู DNA จุลินทรีย์ในลำไส้ เป็นการตรวจหาความไม่สมดุลของจุลินทรีย์เพื่อดูว่าจุลินทรีย์ชนิดไหนที่เสียความสมดุลไป ส่งผลให้เซลล์ภูมิคุ้มกันทำงานผิดพลาด เป็นสาเหตุของภูมิแพ้ และจะใช้วิธีบรรเทาโดยการคืนสมดุลจุลินทรีย์ เพื่อที่จะจัดการกับอาการแพ้ที่ร่างกายมีต่อสารต่างๆที่ต้นเหตุ ไม่ใช่การหาว่าชนิดหรือสารต่างๆที่ร่างกายแพ้คืออะไรเพื่อหลีกเลี่ยงหรือบรรเทาอาการที่ปลายเหตุ

หลายคนมักละเลยการตรวจภูมิแพ้ เพราะคิดว่าเมื่อเกิดอาการภูมิแพ้ก็แค่กินยาแก้แพ้บรรเทาอาการไปเรื่อยๆ แต่ความจริงยิ่งในศาสตร์ของการสร้างสมดุลจุลินทรีย์เพื่อบรรเทาภูมิแพ้นั้น ยิ่งเราปล่อยให้ร่างกายเราเสียสมดุลจุลินทรีย์มากเท่าไหร่ โอกาสที่จะกู้คืนสมดุลจุลินทรีย์ให้กลับมานั้นยิ่งยากขึ้น และโอกาสที่อาการภูมิแพ้จะกำเริบหนักขึ้นเรื่อยๆย่อมมีสูงขึ้นตามความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ การฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาแข็งแรงก็จะทำได้ยากขึ้นเช่นกัน

ตรวจภูมิแพ้แต่ละแบบต่างกันยังไง?

ตรวจภูมิแพ้ด้วยวิธีการเจาะเลือด สะกิดผิวหนัง และด้วยจุลินทรีย์มีความแตกต่างกัน นอกจากวิธีการตรวจ การอ่านผลตรวจภูมิแพ้ก็แตกต่างกันไปในแต่ละรูปแบบดังนี้

1. การตรวจภูมิแพ้ด้วยวิธีตรวจเลือด

การตรวจภูมิแพ้ด้วยวิธีตรวจเลือดเป็นการตรวจที่สามารถบอกถึงสารก่อภูมิแพ้ได้แทบทุกด้าน ไม่ว่าจะอาหาร ฝุ่นละออง หรือขนสัตว์ ขั้นตอนหลักๆ คือ ทำความสะอาดผิวผู้เข้ารับบริการบริเวณที่จะเจาะเลือด จากนั้นเจาะเก็บตัวอย่างเลือดส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ และรอผลประมาณ 1 สัปดาห์ จากนั้นค่อยเข้ามาฟังผลตรวจกับแพทย์อีกครั้ง

การตรวจภูมิแพ้ด้วยวิธีการตรวจเลือดเป็นวิธีที่ค่อนข้างแพร่หลาย และยังเหมาะกับการตรวจภูมิแพ้ในเด็กที่มักอยู่ไม่นิ่ง เพราะใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้ที่สภาพผิวหนังอ่อนไหวต่อการตรวจด้วยการสะกิดผิวหนังอีกด้วย

2. การตรวจภูมิแพ้ด้วยวิธีสะกิดผิวหนัง

การตรวจภูมิแพ้ด้วยวิธีสะกิดผิวหนังเป็นวิธีตรวจผ่านการสังเกตอาการของร่างกายที่มีต่อสารก่อภูมิแพ้ชนิดต่างๆ วิธีการ คือ แพทย์จะใช้ตัวอย่างสารก่อภูมิแพ้ซึ่งอยู่ที่ปลายเข็มเล็กๆ สะกิดลงไปที่ผิวหนังผู้เข้ารับบริการ เพื่อให้สารซึมลงไปใต้ผิวหนัง โดยส่วนมากจะทำบริเวณท้องแขน

จากนั้นจะรอดูปฏิกิริยาแพ้ที่จะตอบสนองออกมาทางผิวหนังเป็นเวลาประมาณ 20 นาที หากผิวผู้เข้ารับบริการมีอาการคัน เป็นผื่นแดง หรือมีตุ่มนูนขึ้นมา ก็แสดงว่า มีอาการแพ้ต่อสารที่สะกิดลงไป

วิธีตรวจหาสารก่อภูมิแพ้ด้วยการสะกิดผิวหนังจะทำให้เห็นผลลัพธ์การตรวจค่อนข้างเร็ว แต่ก็มีข้อเสียเปรียบคือ อาจไม่เหมาะกับเด็กที่อยู่นิ่งไม่ได้หรือกลัวเข็ม เพราะต้องใช้เวลารอผลตรวจนานประมาณ 20 นาทีจึงจะเสร็จขั้นตอน แถมในบางรายอาจมีอาการคันบริเวณที่ทดสอบภูมิแพ้

3. ตรวจภูมิแพ้ด้วยจุลินทรีย์คืออะไร

ตรวจภูมิแพ้อากาศ และตรวจภูมิแพ้อาหารด้วยการตรวจจุลินทรีย์ เป็นการหาความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ จากการตรวจ DNA ของจุลินทรีย์ที่เก็บตัวอย่างจากอุจจาระ หรือคือ จุลินทรีย์ในลำไส้ (Gut Microbiome)

การตรวจจุลินทรีย์ในลักษณะนี้ จะทำให้ทราบถึงความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ของแต่ละบุคคล ซึ่งเกิดได้จากปัจจัยทางพันธุกรรม และพฤติกรรม เช่น การกินยาปฏิชีวนะ การกินอาหารหวาน การกินอาหารมัน การกินเนื้อแดง การกินอาหารแปรรูป ความเครียด ฯลฯ

ความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล จะทำให้แต่ละบุคคลมีปัญหาสุขภาพต่างกัน บางคนเป็นภูมิแพ้ทางจมูก บางคนเป็นภูมิแพ้อาหาร บางคนเป็นภูมิแพ้ผิวหนัง หรือบางคนแข็งแรงไม่เป็นภูมิแพ้ ความแตกต่างเหล่านี้เกิดจากสภาพจุลินทรีย์ที่แตกต่างกัน เมื่อจุลินทรีย์เสียสมดุลไม่เหมือนกัน จึงส่งผลให้มีปฏิกิริยาต่อสารก่อภูมิแพ้ที่แตกต่างกัน

วิธีจัดการกับภูมิแพ้ของการตรวจจุลินทรีย์นั้น แตกต่างกับการตรวจภูมิแพ้ชนิดอื่น เพราะเป็นการจัดการกับภูมิแพ้ที่ต้นเหตุ เมื่อจุลินทรีย์เสียสมดุล จะส่งสัญญาณที่ผิดพลาดไปยังเซลล์ภูมิคุ้มกัน ทำให้เซลล์ภูมิคุ้มกันทำปฏิกิริยากับสารหลายๆชนิด ซึ่งคนที่แข็งแรงจะไม่เกิดอาการแพ้

นอกจากนี้ เยื่อเมือกซึ่งพบได้ในลำไส้ ทางเดินหายใจ และส่วนอื่นๆของร่างกาย จะไม่แข็งแรงหากจุลินทรีย์เสียสมดุล ทำให้สิ่งแปลกปลอมจากภายนอกทะลุไปสู่อวัยวะภายใน ทำให้ภูมิคุ้มกันทำงานต่อต้าน เกิดเป็นอาการอักเสบ ปัจจัยเหล่านี้ทั้งหมดจึงทำให้เกิดอาการอักเสบ อาการแพ้ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภูมิแพ้ทางเดินหายใจ ภูมิแพ้ผิวหนัง แพ้อาหาร ฯลฯ

การตรวจภูมิแพ้ด้วยการตรวจจุลินทรีย์นั้นมีมานาน แต่ไม่เป็นที่แพร่หลาย เพราะข้อจำกัดด้านราคา ที่สูงกว่าหมื่นบาท และใช้ระยะเวลานาน แต่ Biomed สามารถก้าวข้ามข้อจำกัดเหล่านั้น ด้วยเทคโนโลยี และความเชี่ยวชาญ ทำให้ราคาอยู่ในหลักพันกลางๆ จับต้องได้ง่ายสำหรับคนทั่วไป พร้อมทั้งยังรวดเร็วไม่เพียง 1 สัปดาห์ในการวิเคราะห์ ประเมินผล

โดยผู้เข้ารับบริการจะต้องเก็บตัวอย่างอุจจาระใส่ที่ปลายก้านสำลี แล้วนำไปใส่ไว้ในขวดใสขนาดเล็กกว่านิ้วก้อยซึ่งจะมีน้ำยาถนอมความสมบูรณ์ของ DNA จุลินทรีย์บรรจุเอาไว้ เพื่อส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ สาเหตุที่ต้องเก็บตัวอย่างจุลินทรีย์จากอุจจาระเพราะว่า ในลำไส้เป็นที่อยู่อาศัยของเซลล์จุลินทรีย์มากที่สุด

หลังจากส่งตัวอย่างจุลินทรีย์ (อุจจาระ) ไปที่ห้องปฏิบัติการ นักวิทยาศาสตร์จะนำตัวอย่างไปตรวจกับสารเรืองแสง (Fluorescent Dye) ด้วยวิธี QPCR (Quantitative Polymerase Chain reaction) เพื่อเช็กปริมาณของจุลินทรีย์แต่ละชนิดของร่างกาย

จากนั้นนักวิทยาศาสตร์จะนำข้อมูลจุลินทรีย์แต่ละชนิดที่ตรวจ ไปเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลดิบเกี่ยวกับร่างกายและมาตรฐานความแข็งแรงของกลุ่มคนเชื้อชาติต่างๆ รวมถึงเชื้อชาติไทยอย่างละเอียด เพื่อวิเคราะห์ว่า จุลินทรีย์ของผู้เข้ารับบริการรายนั้นเสียสมดุลอย่างไร คือ จุลินทรีย์แต่ละชนิด มีน้อยหรือมากกว่าเกณฑ์ค่าเฉลี่ยของผู้ที่แข็งแรง ไม่มีโรคภูมิแพ้ โดยจะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์

เมื่อแปลผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะถูกส่งมายังแพทย์ไทย ซึ่งจะทำการอธิบายผลให้ฟัง และแนะนำแนวทางการคืนสมดุลจุลินทรีย์ เช่น การเลือกโพรไบโอติกส์ซึ่งสายพันธุ์ที่เลือกมารับประทานนั้น ต้องสอดคล้องกับผลตรวจ เพื่อที่จะคืนสมดุลของจุลินทรีย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นการฟื้นคืนสุขภาพให้แข็งแรง บรรเทาอาการภูมิแพ้ดังต่อไปนี้

  1. ภูมิแพ้ทางจมูก จมูกอักเสบ คันจมูก จาม น้ำมูกไหล คัดจมูก
  2. ภูมิแพ้ทางหลอดลม โรคหืด
  3. ภูมิแพ้อาหาร เช่น ลมพิษ ผิวหนังอักเสบ ท้องเสีย ฯลฯ
  4. ภูมิแพ้ผิวหนัง เช่น คัน แห้ง ลอก ผิวหนังอักเสบ รวมถึงฟื้นฟูคุณภาพผิวหนัง

การตรวจภูมิแพ้แบบลงลึกไปถึงระดับ DNA ของจุลินทรีย์ดียังไง?

เพราะเซลล์ที่มีอยู่ถึง 90% ของร่างกายเรา และเป็นเซลล์สำคัญที่เป็นต้นกำเนิดของอาการภูมิแพ้ ก็คือ เซลล์จุลินทรีย์

หลายคนเมื่อได้ยินคำว่า “เซลล์จุลินทรีย์” ก็จะคิดว่า เซลล์พวกนี้มีอยู่แค่ในระบบย่อยอาหารหรือระบบขับถ่าย แต่ความจริงแล้ว เซลล์จุลินทรีย์นั้นมีอยู่ทุกที่บนอวัยวะทั้งภายในและภายนอกร่างกายของเรา และเป็นตัวตอบสนองต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เรารับเข้าร่างกาย ทั้งอาหาร ยา เชื้อโรค เชื้อไวรัส แบคทีเรีย สิ่งสกปรก มลพิษต่างๆ ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

ด้วยเหตุนี้การตรวจภูมิแพ้ โดยลงลึกไปถึงระดับ DNA ของเซลล์จุลินทรีย์จะทำให้เราเข้าใจถึงความผิดปกติหรือความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ไปถึงต้นตอ และทำให้เราสามารถ “ดูแลสุขภาพ” ได้อย่างเหมาะสม ป้องกันไม่ให้ภูมิคุ้มกันเสียหายไปมากกว่าเดิม เมื่อเกิดอาการก็ไม่ใช่เพียงแค่กินยา ซึ่งเป็นการรักษาภูมิแพ้ที่ปลายเหตุ

การตรวจภูมิแพ้อาหารและภูมิแพ้อากาศสามารถตรวจได้ตั้งแต่อายุเท่าไร?

การตรวจภูมิแพ้ทั้ง 3 รูปแบบ สามารถตรวจได้ตั้งแต่เด็กทารกไปจนถึงวัยสูงอายุ แต่หากผู้ตรวจเป็นเด็ก ควรมีผู้ปกครองคอยดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้เด็กเกิดอาการกลัวจนก่อให้เกิดอุบัติเหตุ หรือความผิดพลาดระหว่างขั้นตอนการเก็บตัวอย่าง

ใครบ้างที่ควตรวจภูมิแพ้อาหารและภูมิแพ้อากาศ?

ความจริงแล้ว เราทุกคนไม่ว่าจะเพศไหนหรืออยู่ในช่วงวัยใด ก็ควรเข้ารับการตรวจภูมิแพ้กันทุกคน แต่กลุ่มผู้ที่เสี่ยงเป็นโรคภูมิแพ้จนเกิดอาการเจ็บป่วยได้ง่าย และควรรับการตรวจภูมิแพ้มากที่สุด ได้แก่

  • ผู้ที่มักนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ
  • ผู้ที่มีอาการเครียดจัด หรือวิตกกังวลมาก
  • ผู้ที่รับประทานยาปฏิชีวนะ
  • ผู้ที่ไม่ออกกำลังกายอย่างเพียงพอและสม่ำเสมอ
  • ผู้ที่รับประทานอาหารแบบตามใจปาก ชอบอาหารหวาน อาหารมัน อาหารแปรรูป เนื้อแดง ฟาสต์ฟู้ด ฯลฯ
  • ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่เป็นประจำ
  • ผู้ที่ผ่าคลอด ไม่ได้คลอดธรรมชาติ
  • ผู้ที่ไม่ได้ดื่มนมแม่ตอนเด็ก

การตรวจภูมิแพ้อาหารและภูมิแพ้อากาศควรตรวจบ่อยแค่ไหน?

พฤติกรรมการใช้ชีวิต การรับประทานอาหาร การนอนหลับพักผ่อน การออกกำลังกาย เป็นปัจจัยที่ทำให้จุลินทรีย์ในร่างกายเปลี่ยนตลอดเวลา อย่าลืมว่าเซลล์ของจุลินทรีย์นั้นมีมากถึง 90% ของเซลล์ทั้งหมดในร่างกายเรา เราจึงควรให้ความสำคัญกับการตรวจสุขภาพของจุลินทรีย์มากเท่ากับการตรวจสุขภาพส่วนอื่นๆของเรา เหมือนการตรวจสุขภาพประจำปี เราจึงควรตรวจจุลินทรีย์อย่างน้อย 1 ครั้งต่อปี

หลายคนอาจคิดว่า ตรวจภูมิแพ้แค่ครั้งเดียวในชีวิตก็เพียงพอ แต่ความจริงแล้ว เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายอาจตอบสนองต่อสารต่างๆ ไม่เหมือนกันกัน ในอนาคตร่างกายอาจจะแพ้สารบางอย่างเพิ่มขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว ขึ้นอยู่กับพฤติกรรม การใช้ชีวิต และสภาพแวดล้อมรอบตัวที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งไม่มีทางรู้เลยว่าจะแพ้สารอะไรจนกว่าจะมารับการตรวจอีกครั้ง

ดังนั้นจึงควรตรวจภูมิแพ้ในทุกๆ 6 เดือนหรือ 1 ปี โดยเฉพาะวิธีการตรวจภูมิแพ้แบบเก็บตัวอย่างจากจุลินทรีย์ ซึ่งเป็นวิธีตรวจที่ง่ายที่สุด ไม่เจ็บ เก็บตัวอย่างได้เองที่บ้าน และปรึกษาแพทย์ได้ ไม่จำเป็นต้องมาโรงพยาบาล เพื่อดูการเปลี่ยนแปลง พัฒนาการ และความเสียหายส่วนอื่นๆ ของเซลล์จุลินทรีย์ ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงได้อยู่ตลอดเวลา

นอกจากอาการภูมิแพ้ที่อาจเกิดขึ้นหรือกำเริบหนักแล้ว จุลินทรีย์ที่เสียสมดุล และไม่ได้รับการแก้ไข ยังเป็นสาเหตุของโรคเรื้อรัง ร้ายแรงอื่นๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคไขมันสะสม โรคนอนไม่หลับ โรคมะเร็ง ท้องผูก ฯลฯ อีกด้วย

ตรวจภูมิแพ้ด้วยการเก็บตัวอย่างจุลินทรีย์ จากผลิตภัณฑ์ของ Biomed Microbiome DNA

หากคุณไม่สะดวกที่จะตรวจภูมิแพ้แบบตรวจเลือดหรือแบบสะกิดผิวหนัง และกำลังมองหาผลิตภัณฑ์สำหรับตรวจภูมิแพ้จากจุลินทรีย์ที่มีการแปลผลแม่นยำ ได้มาตรฐานระดับสากล ผลตรวจอ่านง่าย และมีการให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพเพิ่มเติมหลังตรวจเสร็จ

Biomed Microbiome DNA เป็นผลิตภัณฑ์จาก Biomed Technology Holdings (Thailand) สามารถตรวจวิเคราะห์จุลินทรีย์ในร่างกาย ที่จะทำให้คุณรู้จักความเสี่ยงของภาวะสุขภาพของตนเองมากขึ้น ซึ่งมีสาเหตุจากจุลินทรีย์เสียสมดุล ไม่ว่าจะเป็น

  • ภูมิแพ้จมูก ภูมิแพ้ผิวหนัง ภูมิแพ้อาหาร หอบหืด
  • ภาวะน้ำหนักเกินเกณฑ์โดยไม่ทราบสาเหตุ
  • ระบบเผาผลาญบกพร่องจนลดน้ำหนักยากหรือเพิ่มน้ำหนักไม่ขึ้นเสียที
  • ไขมันสะสมในช่องท้อง และไขมันพอกตับ
  • สารพิษซึ่งเกิดจากจุลินทรีย์ชนิดไม่ดี มีมากเกิน สะสมในร่างกายจนเป็นสารก่อมะเร็ง
  • ลำไส้อักเสบเรื้อรัง เพิ่มโอกาสการเป็นมะเร็งลำไส้
  • ระบบขับถ่ายมีปัญหา มีอาการท้องอืด ท้องผูก หรือถ่ายเหลวบ่อย
  • ดื้ออินซูลิน จนนำไปสู่เบาหวานชนิดที่ 2

ทำไมต้องเลือก Biomed Microbiome DNA

Biomed Microbiome DNA มีห้องปฏิบัติการตรวจอยู่ที่เขตปกครองพิเศษฮ่องกง มีเทคโนโลยีและระบบปฏิบัติการภายในสำหรับตรวจสารจุลินทรีย์ที่ล้ำหน้า และมีผู้ถือหุ้นสำคัญเป็นทั้งนักวิทยาศาสตร์ ทีมแพทย์ระดับโลก รวมถึงรัฐบาลของทางเขตปกครองพิเศษฮ่องกงเอง บ่งบอกถึงความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์ได้เป็นอย่างดี

ศาสตราจารย์ Stephen Tsui หนึ่งในผู้ก่อตั้งและหัวหน้าทีมนักวิจัยของ Biomed Microbiome DNA ยังเป็นหนึ่งในบุคลากรสำคัญที่สามารถถอดรหัสข้อมูลพันธุกรรมหรือ “จีโนม (Genome)” ของเชื้อไวรัสโคโรนา (SARS-Coronavirus) ได้สำเร็จด้วย

นอกจากนี้ Biomed Microbiome DNA ยังมีฐานข้อมูลดิบในการช่วยวิเคราะห์ผลตรวจกับค่าจุลินทรีย์ที่สั่งสมมาจากผู้คนทั่วทุกมุมโลกนานถึง 15 ปี จึงมีความเชื่อมั่นในการแปลผลข้อมูลจากตัวอย่างจุลินทรีย์สูงมาก

สิ่งที่คุณจะได้รับจากผลตรวจวิเคราะห์จุลินทรีย์จาก Biomed Microbiome DNA ไม่ได้มีแค่ผลตรวจภูมิแพ้ด้วยจุลินทรีย์อย่างเดียวเท่านั้น แต่มันจะไม่ต่างจากการที่คุณได้พบกับคุณหมอใจดีที่จะช่วยอ่านค่าผลตรวจจุลินทรีย์พร้อมกับให้คำแนะนำด้านสุขภาพให้กับคุณด้วย ซึ่งได้แก่

  • ผลตรวจวิเคราะห์ในลักษณะกราฟแผนภูมิที่มีอยู่ทั้งหมด 5 ระดับ เพื่อแจกแจงว่า จุลินทรีย์แต่ละชนิดในร่างกายของเรา เมื่อเทียบกับร่างกายของผู้ที่สุขภาพแข็งแรงแล้ว อยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ ปกติ หรือสูงกว่าปกติ โดยอยู่ในลักษณะคล้ายกับ Infographic เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย
  • ข้อสรุปผลตรวจวิเคราะห์ที่มีลักษณะคล้ายหน้าปัดรถยนต์หรือค่าพลัง เพื่อสรุปว่า ร่างกายของผู้เข้ารับบริการขาดสมดุลจุลินทรีย์มากหรือน้อย และเพิ่มความเสี่ยงของอาการอะไรบ้าง เช่น หอบหืด แพ้อาหาร ผิวหนังอักเสบ เยื่อบุจมูกอักเสบ ซึ่งจะนำไปสู่ปริมาณของจุลินทรีย์โพรไบโอติกส์ที่แพทย์ไทย ซึ่งเป็นผู้อ่านผลให้เราฟัง จะแนะนำให้รับประทานต่อวัน
  • คำแนะนำในการรับประทานอาหาร รวมถึงอาหารเสริมหรือโพรไบโอติกส์ เพื่อเพิ่มสมดุลให้กับจุลินทรีย์ในร่างกาย โดยการเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ชนิดดี และคุมปริมาณจุลินทรีย์ชนิดไม่ดีให้อยู่ในระดับเหมาะสม พร้อมคำอธิบายในหน้าที่และคุณสมบัติของจุลินทรีย์แต่ละตัวอย่างละเอียด
  • รายการสารอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง พร้อมตัวอย่างอาหารที่พบได้ในชีวิตประจำวัน
  • รายการสายพันธุ์ของโพรไบโอติกส์ที่คุณควรต้องรับประทานเพิ่ม และมีความเหมาะสมกับสภาพร่างกายของคุณเองโดยเฉพาะ
  • Teleconsult กับแพทย์ เพื่อถามข้อสงสัย และรับคำแนะนำในการปรับปรุงวิถีชีวิตเพิ่มเติมเป็นการส่วนตัว นอกจากนี้ทางแพทย์ยังจะสั่งจ่ายอาหารเสริมให้คุณด้วย ไม่จำเป็นต้องไปหาซื้อเองแต่อย่างใด

ผลการตรวจวิเคราะห์จุลินทรีย์จาก Biomed Microbiome DNA ยังมีความรวดเร็วและฉับไว เมื่อเทียบกับการตรวจภูมิแพ้ทั่วไปที่ใช้เวลาประมาณ 1 เดือนจึงจะรู้ผล แต่ผลตรวจของ Biomed Microbiome DNA ใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์เท่านั้นหลังตัวอย่างถึงห้องแล็บ

หากคุณเป็นหนึ่งในผู้ที่มีอาการภูมิแพ้อาหาร หรือภูมิแพ้อากาศ อยากจัดการกับภูมิแพ้ที่ต้นเหตุ อยากได้ผลิตภัณฑ์ตรวจที่เชื่อถือได้ ราคาไม่แพง แต่ให้ผลลัพธ์การตรวจที่ได้มาตรฐานระดับสากล แถมยังได้คุยกับคุณหมอไม่ต่างจากการไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล Biomed Microbiome DNA จัดเป็นผลิตภัณฑ์ตัวเลือกในการตรวจภูมิแพ้ที่ดีที่สุดสำหรับคุณ

นอกจากนี้ชุดตรวจของ Biomed Microbiome DNA ยังมีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ตรวจที่ไหนก็ได้ ใช้เวลาไม่เกิน 5-10 นาทีเท่านั้น จากนั้นนำตัวอย่างใส่ซองที่ทางผลิตภัณฑ์แนบมาให้ส่งไปรษณีย์ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอน

มาตรวจภูมิแพ้เพื่อสมดุลของสุขภาพที่ดีกว่า แต่อยู่ในราคาจับต้องได้ด้วยผลิตภัณฑ์ตรวจวิเคราะห์จุลินทรีย์ จาก Biomed Microbiome DNA สั่งจองได้แล้วที่ HDmall.co.th ในราคาสุดคุ้ม


บทความที่ HDmall.co.th แนะนำ

@‌hdcoth line chat