งูพิษ

งูพิษ…ภัยร้ายที่มากับน้ำท่วม

เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน หลายพื้นที่ในประเทศไทยอาจต้องเผชิญกับอุทกภัย เช่น อุบลราชธานีที่ในตอนนี้กำลังได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมากจากภัยน้ำท่วม ผู้ประสบภัยนอกจากต้องระวังโรคที่มาพร้อมกับอุทกภัย เช่น โรคระบบทางเดินอาหาร โรคน้ำกัดเท้า โรคฉี่หนู โรคตาแดง หรือโรคไข้เลือดออก อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องระวังไม่แพ้กัน คือสัตว์มีพิษที่มาพร้อมกับน้ำท่วม เช่น แมงป่อง ตะขาบ และสัตว์อื่นๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะงูพิษที่มีความอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

งูพิษ แบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้

  • งูที่มีพิษต่อระบบประสาท เช่น งูจงอาง งูเห่า งูสามเหลี่ยม งูทับสมิงคลา ผู้ที่ถูกกัดจะมีอาการหนังตาตก กลืนลำบาก กล้ามเนื้อหายใจอ่อนแรงจนอาจเสียชีวิตได้
  • งูที่มีพิษต่อระบบโลหิต เช่น งูกะปะ งูเขียวหางไหม้ งูแมวเซา แผลบริเวณที่ถูกกัดอาจบวมเป็นตุ่มน้ำ มีเนื้อตาย หรือมีเลือดออกนอกเหนือจากบริเวณที่ถูกกัดได้
  • งูที่มีพิษต่อกล้ามเนื้อ เช่น งูทะเล ผู้ที่ถูกกัดจะมีอาการกล้ามเนื้อสลายตัว และอาจทำให้ไตวายฉับพลันตามมาได้

ตารางเปรียบเทียบรูปร่างลักษณะงูมีพิษกับงูไม่มีพิษ

 

รูปร่างลักษณะงูพิษงูไม่มีพิษ
ดวงตาทรงรีทรงกลม
รูปศีรษะสามเหลี่ยมทรงกลม
สัดส่วนลำตัวเทียบศีรษะลำตัวเล็กกว่าลำตัวขนาดพอๆ กับศีรษะ
ขากรรไกรอ้าได้กว้างกว่าอ้าได้แคบกว่า
เขี้ยวเขี้ยวใหญ่และยาวฟันซี่เล็กๆ
เกล็ดใต้ท้องเรียงตัวขนานต่อกันชั้นเดียวเรียงตัวเป็นสองชั้นคู่กัน

สถานที่ถูกกัดอาจบอกชนิดของงูได้

  • กรุงเทพมหานคร มากกว่า 90% เป็นงูเขียวหางไหม้
  • งูที่อยู่บนต้นไม้ งูเขียวหางไหม้
  • งูในสวนยางพารา งูกะปะ
  • ถูกกัดในบ้านขณะนอนหลับ งูทับสมิงคลา
  • ถูกกัดในทะเลหรือริมทะเล งูทะเล

เมื่อทราบถึงความรุนแรงของงูพิษเหล่านี้แล้ว ในช่วงน้ำท่วมเช่นนี้จึงไม่ควรที่จะเดินลุยน้ำ แต่ถ้าจำเป็นก็ควรสวมรองเท้าที่ยาวปิดขาช่วงล่าง เช่น รองเท้าบูท เพื่อป้องกันสัตว์พิษ แต่หากถูกงูกัด ขอให้ผู้ถูกกัดอย่าตื่นตกใจ รีบตั้งสติ และปฏิบัติตามการปฐมพยาบาลเบื้องต้นต่อไปนี้

วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อถูกงูกัด

  • ควบคุมสติตนเอง และขอความช่วยเหลือจากผู้ที่อยู่ใกล้ตัว
  • ไม่ควรตามไปตีงูให้ตาย เพราะอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บเพิ่มขึ้น หรือถูกงูกัดซ้ำได้
  • แพทย์สามารถวินิจฉัยและรักษาได้แม้จะไม่ทราบชนิดของงูก็ตาม ขอให้ผู้ที่ถูกงูกัดจำลักษณะของงูโดยรวมให้ได้ก็พอ
  • ทำความสะอาดบาดแผลที่ถูกงูกัดด้วยน้ำสะอาดหรือสบู่
  • ไม่ควรใช้มือบีบเค้น หรือใช้ปากดูดบริเวณที่ถูกงูกัด
  • ไม่ควรใช้ผ้ามัดแน่น หรือขันชะเนาะ เพราะจะทำให้เนื้อเยื้อขาดเลือดและเกิดเนื้อตายได้
  • ผู้ถูกงูกัดควรอยู่กับที่ ไม่ควรเคลื่อนไหวมาก
  • หากมีอาการปวดมากให้รับประทานยาแก้ปวดเป็นพาราเซตามอล (Paracetamol) ได้ ห้ามใช้ยาแก้ปวดกลุ่มที่มีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง หรือยาที่มีส่วนผสมของแอสไพริน (Aspirin) เด็ดขาด เพราะจะเสริมฤทธิ์ของพิษงูได้
  • จากนั้นให้หาไม้ดามบริเวณที่ถูกกัดและใช้ผ้าพันให้แน่นพอประมาณเพื่อลดการเคลื่อนไหวของบริเวณที่ถูกกัด
  • รีบนำตัวผู้ถูกงูกัดส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด หรือโทรแจ้งสายด่วน 1669 เพื่อขอรับความช่วยเหลือทางการแพทย์เพิ่มเติม

แม้จะมีงูอีกหลายชนิดที่ไม่มีพิษ แต่ผู้ถูกงูกัดก็ไม่ควรละเลยการปฐมพยาบาลเบื้องต้น และรีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพื่อได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป


ตรวจสอบความถูกต้องโดย พญ. วรรณวนัช เสถียรธรรมมณี


ที่มาของข้อมูล

Scroll to Top