iodine

ไอโอดีน (Iodine)

ไอโอดีน คือ ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย ทั้งนี้ร่างกายไม่สามารถผลิตไอโอดีนเองได้ การได้รับธาตุไอโอดีจึงต้องมาจากการรับประทานอาหารเท่านั้น ตามปกติแล้วในอาหารจะมีไอโอดีนอยู่น้อยมาก นอกเสียจากจะมีการเติมเข้าไปเพิ่มระหว่างกระบวนการประกอบอาหาร ซึ่งส่วนมากจะเป็นการเติมเกลือนั่นเอง แหล่งไอโอดีนที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือมหาสมุทรที่ซึ่งเกิดมาจากสิ่งมีชีวิตในท้องทะเลโดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาสาหร่ายทะเล

ประโยชน์และสรรพคุณของไอโอดีน

  • ช่วยสร้างฮอร์โมนไทรอยด์: ไอโอดีนเป็นส่วนประกอบสำคัญในการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ คือ ไทรอกซิน (T4) และไตรไอโอโดไทโรนีน (T3) ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้มีบทบาทในการควบคุมการเจริญเติบโต พัฒนาการของระบบประสาท การเผาผลาญพลังงาน และการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย
  • ช่วยการพัฒนาสมองและระบบประสาทในทารก: ช่วยพัฒนาสมองและระบบประสาทในทารกในครรภ์และทารกแรกเกิด การขาดไอโอดีนในหญิงตั้งครรภ์อาจทำให้ทารกมีพัฒนาการทางสมองล่าช้าและเกิดโรคคอพอกในทารกได้
  • ช่วยป้องกันโรคคอพอก: ช่วยป้องกันการเกิดโรคคอพอก ซึ่งเกิดจากการขาดไอโอดีนที่ทำให้ต่อมไทรอยด์บวมโต
  • ช่วยการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน: มีบทบาทในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ช่วยป้องกันการติดเชื้อและโรคต่าง ๆ
  • ช่วยการบำรุงสุขภาพผิว ผม และเล็บ: มีส่วนช่วยในการบำรุงสุขภาพผิว ผม และเล็บให้แข็งแรงและมีสุขภาพดี

กลไกการทำงานของไอโอดีน

ไอโอดีนสามารถลดฮอร์โมนไทรอยด์และกำจัดเชื้อรา แบคทีเรีย และจุลินทรีย์ต่างๆ อย่างอะมีบาได้ โดยไอโอดีนประเภทพิเศษที่เรียกว่า potassium iodide นำไปใช้รักษา (แต่ไม่ใช่เพื่อการป้องกัน) ผลข้างเคียงจากการฉายรังสี

แหล่งอาหารที่มีไอโอดีนสูง

  • เกลือทะเล
  • อาหารทะเล เช่น ปลา กุ้ง หอย สาหร่าย
  • นมและผลิตภัณฑ์จากนม เช่น โยเกิร์ต ชีส
  • ไข่

การใช้และประสิทธิภาพของไอโอดีน

ภาวะที่ใช้ไอโอดีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • ภาวะขาดไอโอดีน (Iodine deficiency) การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ไอโอดีนรวมทั้งการรับประทานเกลือเสริมไอโอดีน (iodized salt) จะช่วยป้องกันและรักษาภาวะขาดไอโอดีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การสัมผัสรังสี การรับประทานไอโอดีนจะช่วยป้องกันต่อการถูกรังสีไอโอดีน (radioactive iodides)
  • ภาวะต่อมไทรอยด์ การรับประทานไอโอดีนสามารถบรรเทาอาการจากไทรอยด์เป็นพิษ (thyroid storm) และภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไปได้ อีกทั้งการรับประทานเกลือเสริมไอโอดีนนอกจาก thyroxine หลังการผ่าตัดยังช่วยลดขนาดของต่อมไทรอยด์ได้ด้วย
  • แผลที่ขา งานวิจัยกล่าวว่าการทา cadexomer iodine ที่แผลบนผิวหนังขาร่วมกับการบีดอัด (compression) เป็นเวลา 4-6 สัปดาห์จะเพิ่มอัตราการฟื้นตัวขึ้น อีกทั้งการทา povidone-iodine ร่วมกับการบีบอัดอาจช่วยสมานแผลที่ขาและลดโอกาสติดเชื้อลง

ภาวะที่อาจใช้ไอโอดีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • การติดเชื้อที่เกี่ยวข้องกับการใช้สายสวน มีหลักฐานว่าการทา povidone-iodine จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในกระแสเลือดของผู้ที่ต้องเข้ารับการฟอกไตด้วยสายสวนได้ อย่างไรก็ตาม งานวิจัยอื่นกลับกล่าวว่าการทา povidone-iodine ที่สายสวนไม่อาจลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้แต่อย่างใด
  • เยื่อบุตาอักเสบ (Conjunctivitisงานวิจัยกล่าวว่าสารละลาย povidone-iodine มีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงต่อภาวะเยื่อตาอักเสบของทารกเกิดใหม่ได้ดีกว่าการใช้ silver nitrate อย่างไรก็ตาม การรักษานี้ก็ไม่อาจมีประสิทธิผลมากไปกว่าการใช้ยา erythromycin หรือ chloramphenicol
  • แผลที่เท้าจากเบาหวาน การทาไอโอดีนบริเวณแผลที่เท้าอาจให้ผลดีสำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่มีแผลที่เท้าจากโรคประจำตัวนี้
  • ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ (endometritisการทาสารละลาย povidone-iodine ที่พื้นที่รอบช่องคลอดก่อนเข้ารับการผ่าคลอดจะลดความเสี่ยงต่อการอักเสบของเยื่อบุโพรงมดลูกลง
  • อาการเจ็บปวดจากก้อนเนื้อเยื่อที่เต้านม (fibrocystic breast diseaseงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการรับประทานไอโอดีน โดยเฉพาะ molecular iodine จะลดความเจ็บปวดจากก้อนเนื้อเยื่อที่เต้านมได้
  • ปวดเต้านม (mastalgiaการรับประทานยาเม็ดไอโอดีนทุกวันติดกัน 5 เดือนจะลดความเจ็บปวดและอาการกดเจ็บของผู้หญิงที่มีอาการปวดเต้านมจากประจำเดือนได้
  • อาการปวดและบวมภายในช่องปาก การทาไอโอดีนที่ผิวช่องปากจะป้องกันอาการปวดและบวมภายในปากที่เกิดจากการทำเคมีบำบัดได้
  • เหงือกอักเสบ (periodontitisงานวิจัยกล่าวว่าการบ้วนปากด้วย povidone-iodine ระหว่างการรักษาเหงือกอักเสบที่ไม่เป็นการผ่าตัดสามารถลดความลึกของกระเปาะเหงือกอักเสบได้
  • การผ่าตัด บางงานวิจัยกล่าวว่าการทา povidone-iodine ระหว่างเข้ารับการผ่าตัดจะลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อลง อย่างไรก็ตาม povidone-iodine อาจมีประสิทธิภาพน้อยกว่าการใช้ chlorhexidine ณ ตำแหน่งที่ผ่าตัดอยู่

ภาวะที่ยังคงขาดหลักฐานว่าใช้ไอโอดีนรักษาได้หรือไม่

  • เลือดออก งานวิจัยกล่าวว่าการทำความสะอาดเบ้าฟันด้วย povidone-iodine จะช่วยหยุดการไหลของเลือดที่เกิดจากการถอนฟันได้เทียบเท่ากับการใช้น้ำเกลือ
  • ภาวะไคลูเรีย (chyluriaงานวิจัยกล่าวว่าการใช้ povidone-iodine กับผู้ที่มีปัญหาน้ำเหลืองปนไขมัน (chyle) ออกมาพร้อมปัสสาวะที่เข้ารับการรักษา pelvic instillation sclerotherapy อาจมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับวิธีรักษาตามปกติ
  • แผลที่กระจกตา (corneal ulcerationมีหลักฐานที่กล่าวว่าการใช้  povidone-iodine ร่วมกับการบำบัดด้วยยาปฏิชีวนะตามปกติไม่อาจช่วยรักษาการมองเห็นของผู้ที่มีแผลที่กระจกตาได้
  • ภาวะเชื้อราที่ผิวหนัง (Cutaneous sporotrichosisPotassium iodide ใช้ในการรักษาภาวะเชื้อราบนผิวหนัง มีรายงานว่าการรับประทาน Potassium iodide เพียงอย่างเดียวหรือร่วมกับการรักษากำจัดเชื้อรานั้นต่างก็มีประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยภาวะนี้อย่างมาก
  • ปอดบวม (Pneumoniaงานวิจัยกล่าวว่าการกลั้วคอด้วย povidone-iodine จะลดความเสี่ยงต่อโรคปอดบวมในกลุ่มผู้ที่ประสบเหตุศีรษะได้รับการกระทบกระแทกจนต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
  • สมานบาดแผล สารไอโอดีนช่วยสมานตัวของบาดแผล ขณะที่มีบางหลักฐานกล่าวว่าการทาไอโอดีนที่แผลนั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้ผ้าปิดแผลแบบที่ไม่ได้ฆ่าเชื้อโรค แต่กระนั้นตัวไอโอดีนก็อาจมีฤทธิ์ในการรักษาแผลที่ด้อยกว่ายาปฏิชีวนะ
  • ภาวะสุขภาพอื่น

จำเป็นต้องรวบรวมหลักฐานให้มากขึ้นเพื่อให้ข้อมูลด้านประสิทธิผลของไอโอดีนเพิ่มเติม

ผลข้างเคียงและความปลอดภัยของไอโอดีน

  • ไอโอดีนจัดว่าค่อนข้างปลอดภัยสำหรับผู้ใช้ส่วนมากเมื่อเป็นการรับประทานในปริมาณที่กำหนดหรือทาบนผิวหนังด้วยผลิตภัณฑ์ที่ได้รับคำอนุมัติแล้ว
  • ไอโอดีนอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงบ้างในผู้ใช้บางราย เช่น คลื่นไส้ ปวดท้อง คัดจมูก ปวดศีรษะ มีกลิ่นเหล็กในปาก และท้องร่วง
  • สำหรับผู้ที่อ่อนไหวต่อไอโอดีนจะมีผลข้างเคียง เช่น ริมฝีปากและใบหน้าบวม (angioedema) เลือดออกและฟกช้ำอย่างรุนแรง มีไข้ ปวดข้อต่อ ต่อมน้ำเหลืองโต ปฏิกิริยาแพ้อย่างรุนแรง และเสียชีวิต
  • การใช้ไอโอดีนในปริมาณมากหรือระยะยาวอาจจะไม่ปลอดภัย ผู้ใหญ่ควรเลี่ยงการใช้ในระยะเวลานานด้วยปริมาณไอโอดีนที่มากกว่า 1100 mcg ต่อวัน (ปริมาณสารอาหารสูงสุดที่รับได้ (upper tolerable limit, UL)) โดยที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญ และในเด็ก ปริมาณไอโอดีนไม่ควรเกิน 200 mcg ต่อวันสำหรับเด็กอายุ 1-3 ปี, 300 mcg ต่อวันสำหรับเด็กอายุ 4-8 ปี, 600 mcg ต่อวันสำหรับเด็กอายุ 9-13 ปี, และ 900 mcg สำหรับวัยรุ่น
  • มีความกังวลสำหรับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ว่าการใช้ไอโอดีนมากเกินไปจะเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาไทรอยด์ โดยการบริโภคไอโอดีนปริมาณมากอาจทำให้เกิดกลิ่นเหล็กในปาก ปวดฟันและเหงือก แสบร้อนในปากและลำคอ น้ำลายเพิ่มขึ้น คออักเสบ ปวดท้อง ท้องร่วง ซึมเศร้า ปัญหาผิวหนัง และผลข้างเคียงอื่นๆ
  • เมื่อใช้วิธีทาไอโอดีนบนผิวหนังโดยตรงอาจทำให้เกิดความระคายเคืองผิว ผิวด่าง ปฏิกิริยาแพ้ที่ผิวหนัง และผลข้างเคียงอื่นๆ

คำเตือนและข้อควรระวังเป็นพิเศษ

  • สตรีมีครรภ์และแม่ที่ต้องให้นมบุตร ไอโอดีนมีความปลอดภัยเมื่อบริโภคหรือทาบนผิวหนังในปริมาณที่เหมาะสม โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองแล้ว (สารละลาย 2%) การบริโภคไอโอดีนในปริมาณสูงกว่า 1,100 mcg ต่อวันอาจไม่ปลอดภัยหากคุณมีอายุเกิน 18 ปี และไม่ควรได้รับไอโอดีนเกิน 900 mcg ต่อวันหากคุณมีอายุ 14-18 ปี ซึ่งการบริโภคไอโอดีนปริมาณมากนั้นอาจทำให้เกิดปัญหาที่ไทรอยด์ได้
  • โรคไทรอยด์ทำลายตนเอง (Autoimmune thyroid disease) ผู้ที่ป่วยเป็นภาวะนี้อาจมีความอ่อนไหวที่จะเกิดผลข้างเคียงร้ายแรงต่อไอโอดีนได้
  • ผิวหนังอักเสบจากเริม (dermatitis herpetiformisการรับประทานไอโอดีนจะทำให้ผื่นจากโรคนี้รุนแรงมากขึ้น
  • ภาวะไทรอยด์ผิดปกติอย่างภาวะไทรอยด์ทำงานน้อยเกิน (hypothyroidismคอพอก (goiterหรือเนื้องอกที่ไทรอยด์ (thyroid tumorการใช้ไอโอดีนเป็นเวลานานหรือใช้ในปริมาณมากอาจทำให้ภาวะเหล่านี้ทรุดลงได้

การใช้ไอโอดีนร่วมกับยาชนิดอื่น

ห้ามใช้ไอโอดีนร่วมกับยาเหล่านี้

  • ยาสำหรับภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกิน ไอโอดีนจะส่งผลต่อไทรอยด์ โดยการรับประทานไอโอดีนร่วมกับยาสำหรับภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกิน จะเป็นการลดไทรอยด์มากเกินไป ห้ามรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไอโอดีนหากคุณกำลังใช้ยาประเภทนี้อยู่

ใช้ไอโอดีนร่วมกับยาเหล่านี้ด้วยความระมัดระวัง

  • Amiodarone อาจประกอบด้วยไอโอดีนด้วย ดังนั้นการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไอโอดีนร่วมกับ Amiodarone จะทำให้มีไอโอดีนในเลือดมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงต่างๆ ที่ส่งผลต่อไทรอยด์
  • ลิเทียม มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของไทรอยด์ โดยการใช้ลิเทียมร่วมกับไอโอดีนอาจทำให้เกิดการเสพติด ยาทั้งสองส่งผลให้เกิดภาวะขาดไทรอยด์ขึ้นได้ ดังนั้นควรเฝ้าระวังการทำงานของไทรอยด์เมื่อจำเป็นต้องใช้ยาทั้งสองร่วมกัน
  • ยาสำหรับความดันโลหิตสูง ACE inhibitors ยาสำหรับภาวะความดันโลหิตสูงบางชนิดจะลดความเร็วที่ร่างกายกำจัดโพแทสเซียมออกจากร่างกาย โดยอาหารเสริมไอโอดีนส่วนมากประกอบด้วยโพแทสเซียมเช่นกัน การรับประทาน potassium iodide ร่วมกับยาความดันโลหิตสูงอาจทำให้เกิดโพแทสเซียมค้างในร่างกายมากเกินไป ดังนั้นจึงไม่ควรรับประทาน potassium iodide หากคุณกำลังใช้ยาควบคุมความดันโลหิตสูงอยู่
  • ยาสำหรับความดันโลหิตสูง Angiotensin receptor blockers (ARBs) ยาสำหรับภาวะความดันโลหิตสูงบางชนิดจะลดความเร็วที่ร่างกายกำจัดโพแทสเซียมออกจากร่างกาย โดยอาหารเสริมไอโอดีนส่วนมากก็ประกอบด้วยโพแทสเซียมเช่นกัน การรับประทาน potassium iodide ร่วมกับยาความดันสูงอาจทำให้เกิดโพแทสเซียมค้างในร่างกายมากเกินไป ดังนั้นจึงไม่ควรรับประทาน potassium iodide หากคุณกำลังใช้ยาควบคุมความดันโลหิตสูงอยู่
  • ยาขับน้ำ (Potassium-sparing diuretics) ไอโอดีนส่วนมากประกอบด้วยโพแทสเซียม ซึ่งยาขับน้ำบางประเภทเองก็อาจเพิ่มระดับโพแทสเซียมในร่างกายเช่นกัน ดังนั้นการรับประทาน potassium iodide ร่วมกับยาขับน้ำอาจทำให้เกิดโพแทสเซียมในร่างกายมากเกินไป จึงไม่ควรทาน potassium iodide ที่มีฤทธิ์เพิ่มโพแทสเซียมในร่างกาย

ปริมาณยาที่ใช้

ปริมาณหรือขนาดยาที่ใช้ดังต่อไปนี้ได้ถูกศึกษาจากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์

รับประทาน

  • สำหรับภาวะฉุกเฉินทางรังสี ควรมีการให้ potassium iodide (KI) ก่อนหรือทันทีหลังจากคนไข้สัมผัสกับรังสี โดยเฉพาะกับผู้หญิงมีครรภ์และผู้ที่ต้องให้นมบุตร ดังนั้นปริมาณการให้ KI จะขึ้นอยู่กับปริมาณของรังสีที่ได้รับและอายุของคนไข้ การสัมผัสรังสีที่ได้รับจะถูกวัดในหน่วย centigrays (cGy) สำหรับทารก เด็กเล็ก วัยรุ่น และหญิงตั้งครรภ์/แม่ที่ให้นมบุตรจะมีการให้ KI เมื่อมีการถูกรังสีที่ 5 centigrays (cGy) ขึ้นไป โดยยาที่ใช้มักจะเป็นยาเม็ดที่สามารถนำไปบดและผสมเข้ากับน้ำผลไม้ แยม หรือนมก็ได้
    • สำหรับเด็กที่เกิดได้แล้ว 1 เดือน: KI 16 mg
    • สำหรับทารกและเด็กอายุมากกว่า 1 เดือนถึง 3 ปี: KI  32 mg
    • สำหรับเด็กอายุ 3-12 ปี: KI 65 mg
    • สำหรับวัยรุ่นอายุ 12-18 ปี: KI 65 mg หรือ 120 mg หากเด็กวัยรุ่นมีขนาดร่างกายเทียบเท่าผู้ใหญ่
    • สำหรับสตรีมีครรภ์และแม่ให้นมบุตร: KI 120 mg
    • สำหรับผู้ใหญ่อายุ 18-40 ปีที่ได้รับรังสี 12 cGy ขึ้นไป: KI 130 mg
    • สำหรับผู้หญิงอายุ 40 ปีที่ได้รับรังสี 500 cGy ขึ้นไป: KI 130 mg

มีข้อมูลว่าค่าโภชนาการที่ควรได้รับ (Adequate Intake (AI)) ของไอโอดีนสำหรับทารกอายุ 0-6 เดือนคือ 110 mcg/วัน, 7-12 เดือนคือ 130 mcg/วัน

สำหรับเด็กและผู้ใหญ่ ค่าโภชนาการที่แนะนำ (Recommended Dietary Amounts (RDA)) ที่ตั้งไว้คือ เด็กอายุ 1-8 ปี = 90 mcg/วัน, 9-13 ปี = 120 mcg/วัน, ผู้ที่อายุ 14 ปีขึ้นไป = 150 mcg/วัน, สำหรับหญิงตั้งครรภ์ ค่า RDA คือ 209 mcg/วัน และสำหรับผู้หญิงที่ต้องให้นมบุตรคือ 290 mcg/วัน

การบริโภคโอไอดีนตามข้อมูลปริมาณสารอาหารสูงสุดที่ควรได้รับ (Tolerable Upper Intake Levels (UL)) นั้นมักจะไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่งสำหรับเด็กอายุ 1-3 ปี 200 mcg/วัน, 4-8 ปีคือ 300 mcg/วัน, 9-13 ปีคือ 600 mcg/วัน, อายุ 14-18 ปี (รวมถึงผู้หญิงท้องและผู้หญิงมีครรภ์) คือ 900 mcg/วัน สำหรับผู้ใหญ่ที่อายุมากกว่า 19 ปีรวมถึงสตรีมีครรภ์และให้นมบุตรปริมาณอาหารสูงสุดคือ 1,100 mcg/วัน

Scroll to Top