ตอบทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับสิวที่คาง scaled

ตอบทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับสิวที่คาง

สิว ไม่ว่าจะเกิดขึ้นบริเวณใดของใบหน้าย่อมมีสาเหตุ ในบางครั้งจะพบได้ว่าคนเรามักเป็นสิวที่บริเวณเดิมซ้ำๆ รักษาหายยาก โดยเฉพาะกับสิวที่บริเวณส่วนล่างของใบหน้า ซึ่งมักจะพบได้มากบริเวณคางนั่นเอง

สาเหตุของสิวที่คาง

หากแบ่งสัดส่วนใบหน้าออกเป็น 3 ส่วนเท่าๆ กัน ออกเป็น ส่วนบน กลาง และล่าง หากพบว่าสิวมักขึ้นบริเวณคาง ขอบกราม หรือคอ โดยอาจเกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้

1. สิวฮอร์โมน 

เป็นความจริงที่ว่า สิวฮอร์โมนจะมีรูปแบบการเกิดในบริเวณคาง เนื่องจากบริเวณใบหน้าส่วนล่างเป็นบริเวณที่มีความเข้มข้นของฮอร์โมนที่ก่อให้เกิดสิวมากที่สุด

2. เครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิว และผม

ผลิตภัณฑ์ที่เต็มไปด้วยสารให้ความชุ่มชื้นจำพวกน้ำมัน (Heavy oil) ทั้งที่ใส่อยู่ในเครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิวหน้าและบำรุงผม มักก่อให้เกิดสิวบริเวณคาง กรามได้

3. การสัมผัสสิ่งสกปรกบริเวณส่วนล่างของใบหน้า

เมื่อมีการสัมผัสวิ่งสกปรกใดๆ ก็ตามในบริเวณใบหน้าส่วนล่าง ย่อมก่อให้เกิดสิวขึ้นได้ มักพบในแปรงแต่งหน้า สายรัดหมวกกันน็อก การวางคางบนเครื่องดนตรีบางชนิดเป็นประจำ เช่น ไวโอลิน

นอกจากนี้การโกนหนวด การใช้ปลอกหมอนที่ไม่ค่อยสะอาด และการสัมผัสโทรศัพท์ ก็สามารถก่อให้เกิดสิวที่คางได้เช่นกัน

4. ตัวยาบางอย่าง

สิวบริเวณคาง หรือกรามมักเกิดหลังจากการใช้ตัวยาสเตียรอยด์ หรือตัวยาบางชนิดที่ใช้ในการรักษาภาวะซึมเศร้าและโรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar disorder)

5. โรคผิวหนังคล้ายสิวที่พบบ่อย (acne-like conditions)

โรคผิวหนังคล้ายสิวที่พบบ่อย ได้แก่ รูขุมขนอักเสบ (Folliculitis)

การรักษาสิวที่คาง

การรักษาสิวที่คางให้ได้ผล ควรปฏิบัติตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

1. หาสาเหตุ

การรักษาที่ต้นเหตุการเกิดสิวจะทำให้สิวหายเร็วมากยิ่งขึ้น หากพบว่า มีสาเหตุตามที่กล่าวไปข้างต้น แนะนำให้เปลี่ยนพฤติกรรม และทำความสะอาดสิ่งที่จะต้องมาสัมผัสใบหน้า

2. เริ่มการรักษาสิวอย่างถูกต้อง

หากเป็นสิวระดับน้อยถึงปานกลาง สามารถใช้ยาทารักษาสิวได้ โดยจำเป็นต้องได้รับตัวยาทาเฉพาะในการรักษาสิว ได้แก่ Benzoyl peroxide ยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อสิว (Antibiotic) หรือครีมรักษาสิวเรตินอล (Retinol) ที่ช่วยลดการทำงานของฮอร์โมนกระตุ้นสิว

การรักษาด้วยการใช้ยาจะเริ่มเห็นผลได้ใน 4-6 สัปดาห์ โดยต้องทายาอย่างสม่ำเสมอ หรืออาจใช้การกดสิว ร่วมกับการฉีดสิวอักเสบในบางบริเวณ โดยสามารถทำภายใต้การดูแลของแพทย์

3. เริ่มยาแบบรับประทาน (หากการรักษาสิวเบื้องต้นไม่ได้ผล)

หากเป็นสิวระดับปานกลางจนถึงมาก หรือการดูแลตนเองพร้อมทายาเองไม่เห็นผล แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อทำการประเมินการรักษาใหม่

อาจมีความจำเป็นที่จะต้องได้รับยาไปรับประทาน ได้แก่ ยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อสิวแบบรับประทาน (Antibiotic) ยาไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin) หรือยาช่วยควบคุมฮอร์โมน

ซึ่งในการใช้ตัวยาเหล่านี้ จะต้องมีความระมัดระวังผลข้างเคียงและอาการแพ้มากกว่ายาทาเฉพาะที่

4. ตรวจและรักษาสิวฮอร์โมน

หากคุณสงสัยว่า ตนเองเป็นสิวที่เกิดจากฮอร์โมน โดยเฉพาะในผู้ที่เป็นสิวรักษาหายยาก อาจต้องเข้ารับการเจาะเลือดตรวจฮอร์โมนบางชนิด เช่น ฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) สเตียรอยด์ฮอร์โมน DHEA, SHBG หรือ ตรวจหาโรคถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS)

หลังจากการตรวจหาฮอร์โมนแล้ว จะเข้าสู่การรักษาโดยใช้ยาที่ช่วยลดการทำงานของฮอร์โมนก่อสิว หรือฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen) เช่น ยาคุมกำเนิด ยาขับปัสสาวะ (Spironolactone) ซึ่งมีผลลดการทำงานของฮอร์โมนแอนโดรเจนด้วยเช่นกัน

ไม่ว่าคุณจะเป็นสิวที่คาง หรือบริเวณใดของใบหน้า หรือจะเป็นสิวที่มีขนาดใหญ่ หรือเป็นหนอง อย่างแรกที่ต้องทำ คือ ควรหาสาเหตุที่เกิดขึ้น ว่ามีปัจจัยใดบ้างที่ทำให้เป็นสิวบริเวณดังกล่าวหลายครั้ง และไม่ยอมหาย จากนั้นอาจจดบันทึก แล้วไปพบแพทย์ พร้อมกับนำยา และสบู่ล้างหน้าติดตัวไปด้วย

เพราะบางครั้ง นอกเหนือจากฮอร์โมนในร่างกาย สารเคมีที่คุณนำไปสัมผัสกับใบหน้าทุกวันก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณเป็นสิวบนใบหน้าไม่ยอมหายเสียทีซึ่งในการตรวจหาสาเหตุของสิว แพทย์อาจจำเป็นต้องตรวจโรคพิเศษ และใช้ตัวยารับประทานเฉพาะ

อย่าละเลยสิวทุกบริเวณบนใบหน้าของคุณ เพราะคิดว่า อาจรักษาไม่หาย บางทีที่คุณยังเป็นสิวเรื้อรังอยู่ เพียงเพราะยังหาสาเหตุไม่พบก็ได้ และหากคุณปล่อยสิวบริเวณดังกล่าวเอาไว้ ก็อาจก่อให้เกิดรอยแผลเป็นนูนตามมา และทำให้ผิวหน้าของคุณมีรอยที่ต้องปกปิดไปอีกนาน


ตรวจสอบความถูกต้องโดย นพ. ชยากร พงษ์พยัคเลิศ


ที่มาของข้อมูล

  • รองศาสตราจารย์นายแพทย์นภดล นพคุณ, Clinical Practice Guideline Acne
  • John Kraft MD. And Anatoli Freiman MD. Management of acne. Clinical, cosmetic and investigational dermatology 2011 Apr 19;183(7):E430-E435
  • Mohamed L Elsaie. Hormonal treatment of acne vulgaris: an update. Clinical, cosmetic and investigational dermatology 2016; 9 : 241-248
Scroll to Top