เข้าหน้าหนาวหลายคนอาจสังเกตเห็นว่าตัวเองมีอาการ ผิวแห้ง (Dry skin หรือ Xerosis) หรือ ภาวะที่ผิวขาดความชุ่มชื้น เนื่องจากสูญเสียน้ำให้กับชั้นบรรยากาศโดยการระเหยออก ยิ่งอากาศหนาว ยิ่งทำให้อากาศในชั้นบรรยากาศแห้ง ยิ่งทำให้น้ำที่อยู่ใต้ผิวหนังระเหยสู่ชั้นบรรยากาศมากขึ้น
โดยปกติแล้วชั้นผิวหนังจะป้องกันการระเหยของน้ำออกจากผิว โดยมีเซลล์ผิวหนังชั้นนอกที่ถูกเชื่อมด้วยไขมันของผิวหนังมีลักษณะคล้ายกำแพงที่คอยปกป้องผิวหนัง หากกำแพงนี้เกิดความบกพร่องขึ้นก็จะทำให้ผิวสูญเสียน้ำให้กับอากาศที่อยู่รอบตัวทำให้เกิดภาวะผิวแห้งได้
ภาวะผิวแห้งสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย มักพบว่า ยิ่งมีอายุมากยิ่งมีโอกาสที่จะเป็นมากขึ้น และการมีผิวที่แห้งยังเป็นอีกหนึ่งต้นเหตุที่อาจจะทำให้มีโอกาสเกิดโรคผิวหนังชนิดอื่นๆ ตามมาได้ด้วย
สารบัญ
สาเหตุของผิวแห้ง
ภาวะผิวแห้งเกิดได้จากหลากหลายปัจจัยประกอบกัน โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ปัจจัยหลัก คือ
ปัจจัยภายใน
- พันธุกรรม ในบางคนที่ผิวแห้งมาแต่กำเนิด เป็นผลมาจากการถูกถ่ายทอดผ่านทางพันธุกรรมซึ่งเป็นสาเหตุที่หลีกเลี่ยงได้ยาก
- อายุ เมื่ออายุมากขึ้นจะมีผลต่อการทำงานของฮอร์โมนที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นได้อย่างรวดเร็วกว่าปกติ มักพบในผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป
ปัจจัยภายนอก
- สภาพอากาศ เมื่อต้องอยู่ในสภาพอากาศเย็น หรือมีความชื้นต่ำ จะทำให้ผิวเกิดอาการแห้งกร้านมากกว่าปกติ เนื่องจากอากาศจะปรับสมดุลความชื้นทางอากาศ โดยการดูดความชื้นจากชั้นผิวหนัง เพื่อนำไปทดแทนความชื้นในอากาศ
- การขัดผิว หลายคนอาจจะมองว่า การขัดผิวคือ วิธีขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไป แต่ในการขัดทุกครั้งจะเกิดการเสียดสีที่รุนแรงขึ้น และหากทำบ่อยๆ ก็จะทำให้ผิวเกิดความแห้งกร้านมากขึ้น
- การอาบน้ำร้อน อุณหภูมิของน้ำที่ร้อนจะส่งผลให้ผิวต้องสูญเสียน้ำมันหล่อเลี้ยงผิว ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้นและแห้งตึง
ลักษณะอาการผิวแห้ง
ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง จะจำแนกได้ 2 กรณี คือ
- อาการผิวแห้งแค่เพียงเล็กน้อย คือ ผิวจะมีลักษณะแห้งกร้าน หยาบกระด้าง มองเห็นร่องลายของผิว พบมากบริเวณ แขน ขา และมือ หากไม่สังเกตจะมองไม่เห็นชัดเจน
- อาการผิวแห้งมาก คือ ผิวจะมีลักษณะแห้ง แดง ลอกเป็นขุย แตกลาย มักพบบริเวณ แขน ขา และมือ แต่จะค่อนข้างสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีอาการแสบคัน หากเกาอาจทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียจนเกิดการอักเสบของผิวหนังได้ด้วย
วิธีรักษาปัญหาผิวแห้ง
กรณีที่ผิวแห้งไม่มาก
ใช้วิธีรักษาเบื้องต้นด้วยการอาบน้ำในอุณหภูมิปกติ ทาโลชั่นบำรุงผิวหลังอาบน้ำในตอนเช้าและตอนเย็น โดยให้ใช้ผ้าขนหนูเช็ดตัวให้หมาดๆ ก่อน จึงค่อยทาโลชั่น เพราะเวลาดังกล่าวจะเป็นช่วงเวลาที่ผิวกำลังดูดซึมได้ดี หรือ เมื่อรู้สึกว่าผิวแห้งก็สามารถทาโลชั่นได้ตลอด ไม่ใช่เฉพาะหลังอาบน้ำเท่านั้น
โลชั่นให้เลือกใช้ชนิดที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม หรือมีสีเจือปน เพราะอาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองกับผิวได้
กรณีที่ผิวแห้งมาก
- สังเกตได้จากเกิดอาการแสบคัน แตก ลอกเป็นขุย หรือมีการอักเสบของผิวเกิดขึ้น
- สามารถรักษาด้วยการรับประทานยาแก้คัน เช่น Hydroxyzine Cetirizine Loratidine หรือใช้ยาทาสเตียรอยด์ทา เพื่อลดอาการอักเสบและคันที่เกิดขึ้นกับผิว
- ไม่ควรทายาติดต่อกันเกิน 2 สัปดาห์ เพราะยาอาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงขึ้นกับผิวได้ เช่น ผิวบางขึ้น ผิวติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
- ในกรณีที่ติดเชื้อแบคทีเรียจากการเกา ให้รับประทานยาปฏิชีวนะ เพื่อช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
- ควรทาโลชั่น หรือครีมบำรุงผิวที่มีมอยส์เจอไรเซอร์สูตรเข้มข้น โดยทาหลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วทั้งเช้าและเย็น ในระหว่างวันก็ควรทาครีมบำรุงผิว ดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้ผิวได้รับความชุ่มชื้นจากภายใน
- หลีกเลี่ยงแสงแดด หรือควรทาครีมกันแดดปกป้องผิวก่อนออกจากบ้านด้วยจะดีที่สุด เพราะแสงแดดก็เป็นตัวการทำลายผิวให้ยิ่งแห้งกร้านมากขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน
วิธีป้องกันปัญหาผิวแห้ง
การป้องกันปัญหาผิวแห้ง สามารถทำได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการอยู่ท่ามกลางสภาพอากาศที่แห้ง หรือเย็นจัด เช่น การอยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานาน
- หลีกเลี่ยงการแช่น้ำ หรืออาบน้ำเป็นเวลานาน ในกรณีที่ต้องไปว่ายน้ำก็ไม่ควรที่จะแช่อยู่ในสระน้ำเป็นเวลานานเช่นกัน เพราะในสระน้ำจะมีคลอรีนที่มีปฏิกิริยาต่อผิว ซึ่งอาจจะทำให้ผิวแห้งได้
- หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่น หรือน้ำที่มีอุณหภูมิที่ร้อนจัด
- เลือกใช้สบู่ที่อ่อนโยน หรือสบู่เด็ก โดยการฟอกสบู่นั่นให้ฟอกเฉพาะบริเวณที่จำเป็น เช่น ลำตัว รักแร้ ขาหนีบ
- ไม่ควรขัดผิวบ่อยจนเกินไปเพราะการขัดผิว แม้ว่าจะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออกได้ แต่สำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง ควรลดการขัดผิวให้น้อยลง อาจขัดสัปดาห์ละ 1 ครั้งก็เพียงพอแล้ว ไม่เช่นนั้นจะยิ่งเป็นการเสียดสีกับผิว ทำให้ผิวเกิดความระคายเคือง และอักเสบได้
- นวดบำรุงผิวด้วยน้ำมันจากธรรมชาติ โดยอาจจะเลือกใช้น้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันมะกอกที่มีสรรพคุณในการบำรุงผิว เพียงนำมาทาลงบนผิวแล้วนวดให้ซึมซาบลงสู่ผิวเป็นประจำก็จะช่วยให้ผิวชุ่มชื้น อิ่มเอิบ และไร้ปัญหาแห้งแตกได้แล้ว แต่หากใครไม่มีเวลาก็อาจจะเลือกใช้เบบี้ออยล์ชโลมผิวหลังจากอาบน้ำทุกครั้งก็ได้เช่นกัน จากนั้นจึงทาโลชั่นบำรุงผิวต่อไป
- ทาโลชั่น/ครีมบำรุงผิว ที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ชนิดเข้มข้น ซึ่งมีส่วนช่วยในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว โดยพยายามทาให้เหมือนกิจวัตรอย่างหนึ่งที่ต้องทำเป็นประจำทุกวัน
- ดื่มน้ำเยอะๆ เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผักผลไม้ที่มีส่วนช่วยในการบำรุงผิว เช่น มะเขือเทศ กล้วย พักผ่อนให้เพียงพอ และหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คาเฟอีน และเครื่องดื่มที่มีรสหวาน รวมถึงควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมการสูบบุหรี่ด้วย
ผิวแห้งสามารถป้องกันได้ อย่าปล่อยปละละเลย เพราะอาจก่อให้เกิดปัญหาผิวอักเสบได้ หมั่นดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ เพื่อผิวพรรณที่เปล่งปลั่งดูสุขภาพดี