หลายคนสงสัยว่า ยาหยอดตาและยาป้ายตามีความแตกต่างกันอย่างไร สรรพคุณต่างกันหรือไม่ บทความนี้จะเปรียบเทียบความแตกต่างเบื้องต้นให้ได้รู้กัน
สารบัญ
- ความแตกต่างเบื้องต้นของยาหยอดตาและยาป้ายตา
- ประเภทของยาเกี่ยวกับตาที่ใช้ภายนอก
- ข้อบ่งใช้ของยากลุ่มนี้
- ข้อควรระวังในการใช้ยากลุ่มนี้
- น้ำตาเทียมคืออะไร?
- ยาที่ลดจำนวนเชื้อโรค
- ยาตาที่มีส่วนประกอบเป็นสเตียรอยด์
- ยาตาที่มีส่วนประกอบระหว่างสเตียรอยด์กับยาปฏิชีวนะ
- ยาเกี่ยวกับตาที่ทำให้รูม่านตาหดตัวและทำให้ความดันในลูกตาลดลง
- ยาขยายม่านตา
- ยาเกี่ยวกับตาที่เป็นยาชาเฉพาะที่
- ยาล้างตา
- ยาลดการอักเสบชนิดไม่ใช่การอักเสบติดเชื้อโรค
- หลักการใช้ยาเกี่ยวกับตา
ความแตกต่างเบื้องต้นของยาหยอดตาและยาป้ายตา
ความแตกต่างในตารางนี้เป็นข้อมูลเบื้องต้นสำหรับให้ความรู้และความเข้าใจกับผู้ใช้เท่านั้น หากมีความจำเป็นต้องเลือกชนิดตัวยาจริงๆ ควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อน
ยาประเภทหยอดตา | ยาประเภทป้ายตา |
1. เมื่อหยอดแล้ว จะไม่รบกวนการมองเห็น | 1. เมื่อใช้แล้วอาจรบกวนการมองเห็น |
2. ใช้งานสะดวก | 2. ใช้งานไม่สะดวก อาจมีความเหนียวเหนอะหนะ |
3. ตัวยาติดตาไม่ดีเท่าชนิดป้ายตา ควรใช้ในตอนกลางวัน | 3. ตัวยาติดผิวตาได้ดีกว่ายาหยอดตา แนะนำให้ใช้ชนิดป้ายตาก่อนนอน หรือกรณีมีอาการมาก หรืออาจใช้ชนิดหยอดในเวลากลางวันปละใช้ชนิดป้ายก่อนนอน |
4. กรณีที่การใช้ยาหยอดตา 2 ชนิดร่วมกัน ให้หยอดแต่ละชนิดห่างกันประมาณ 5-10 นาที | 4. กรณีที่แพทย์แนะนำให้ใช้ทั้งชนิดหยอดและชนิดป้ายร่วมกัน ให้ใช้ชนิดหยอดก่อน หลังจากนั้น 5 นาที จึงค่อยใช้ชนิดป้าย |
ประเภทของยาเกี่ยวกับตาที่ใช้ภายนอก
ยาเกี่ยวกับตาที่ใช้ภายนอกแบ่งเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้
- ยาลดการระคายเคืองและทำให้หลอดเลือดฝอยในตาหดตัว
- กลุ่มแอนตี้ฮีสตามีน หรือเรียกอีกอย่างว่า “ยาแก้แพ้”
- กลุ่มบรรเทาอาการคัดแน่นจมูก
- น้ำตาเทียม
ยาเกี่ยวกับตาที่ใช้ภายนอกนี้ มักมีส่วนประกอบของตัวยา 2 กลุ่ม คือ
- ยาแก้แพ้ที่นิยมนำมาผสมในยาเกี่ยวกับตา คือ แอนทาโซลีน กลไกการออกฤทธิ์ของยาได้แก่ การยับยั้งกระบวนการที่ทำให้เกิดการแพ้ มีผลทำให้อาการต่างๆ ที่เกิดจากการแพ้ เช่น คัน เคืองตา น้ำตาไหล มีอาการลดลงและหายไป
- ตัวยาที่มีฤทธิ์หดหลอดเลือดผสมในยาเกี่ยวกับตา ได้แก่ นาฟาโซลีน เฟนนิลเอฟรีน เตตร้าไฮโดรโซลีน กลไกการออกฤทธิ์ของยากลุ่มนี้ได้แก่ ทำให้หลอดเลือดฝอยในตาหดตัวลง ตาจึงหายแดง
ยาเกี่ยวกับตาประเภทนี้บางชนิดจะมีส่วนประกอบของยาทั้ง 2 กลุ่มอยู่ร่วมกัน แต่บางชนิดก็จะมีเพียงกลุ่มเดียว เช่น อาจเป็นยาแก้แพ้แอนทาโซลีนตัวเดียว หรือมีเพียงยาที่มีฤทธิ์หดหลอดเลือดเพียงตัวเดียว
ข้อบ่งใช้ของยากลุ่มนี้
ใช้ในผู้ป่วยที่ตาแดงจากการระคายเคือง หรืออาการที่เกิดจากการแพ้ฝุ่น หรือสารต่างๆ ต้อลมและต้อเนื้อในระยะอักเสบ
ข้อควรระวังในการใช้ยากลุ่มนี้
ไม่ควรใช้นานเพราะอาจบังอาการของโรคร้ายแรงอื่นๆ และอาจทำให้มีอาการบวมของตา นอกจากนั้นควรใช้เมื่อทราบสาเหตุว่า ทำไมจึงมีอาการตาแดง
น้ำตาเทียมคืออะไร?
น้ำตาเทียมเป็นยาเกี่ยวกับตาที่นำมาใช้ในผู้ป่วยที่ตาแห้ง เคืองตาบ่อยๆ โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยทอง หรือมีโรคตาต่างๆ ที่เกิดจากการมีน้ำตาน้อย ยาพวกนี้เป็นของเหลวระเหยช้า อยู่ในตานาน ทำหน้าที่หล่อลื่นลูกตาให้ชุ่มชื้น
น้ำตาเทียมเป็นยาหยอดตาที่ผลิตให้มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำตาธรรมชาติมากที่สุด มีส่วนประกอบหลัก 4 ส่วน คือ
- สารช่วยเพิ่มความหนืด เพื่อฉาบอยู่ที่กระจกตาให้นานขึ้น เพิ่มความสบายและความชุ่มชื้นให้กระจกตา บางบริษัทใส่สารนี้มากเกินไปจนน้ำตาเทียมมีความหนืดสูง เพื่อให้น้ำตาเทียมฉาบอยู่ที่กระจกตานานขึ้น แต่ก็ทำให้มีอาการตามัว มองไม่ชัดระยะแรกเมื่อหยอดตาเสร็จใหม่ๆขณะที่บางบริษัทใส่สารนี้น้อยไปทำให้ระยะเวลาที่น้ำตาเทียมจะฉาบอยู่ที่กระจกตาสั้น จึงต้องหยอดบ่อยไม่สะดวกต่อการใช้
- สารกันเสีย จุดประสงค์ที่ใส่สารกันเสียในน้ำตาเทียมคือ เพื่อช่วยให้น้ำตาเทียมคงสภาพได้นานและป้องกันการเติบโตของเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนเข้าไปขณะที่หยอด
- สารช่วยปรับความเป็นกรด-ด่าง ช่วยปรับสมดุลของส่วนประกอบอื่นในน้ำตาเทียม ปรับความเป็นกรด-ด่าง ให้พอเหมาะ ไม่แสบตาเวลาหยอด ช่วยให้น้ำตาเทียมคงสภาพได้ดี
- ส่วนประกอบอื่นๆ เพื่อให้น้ำตาเทียมมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำตาธรรมชาติมากที่สุด เช่น Glycine, Magnesium chloride, Sodium chloride, Sodium borate, Calcium chloride
ประเภทของน้ำตาเทียม
1.น้ำตาเทียมที่มีสารกันเสีย
น้ำตาเทียมชนิดนี้จะมีขนาดบรรจุขวดละ 3-15 มิลลิลิตร เมื่อเปิดใช้แล้วสามารถอยู่ได้นาน 1 เดือน
2.น้ำตาเทียมที่ไม่มีสารกันเสีย
น้ำตาเทียมชนิดนี้จะมี 2 แบบ คือ ระบุบนกล่องว่า “Preservative free” หรือไม่มีสารกันเสีย ซึ่งมีลักษณะเป็นหลอดเล็กๆ 0.3-0.9 มิลลิลิตร ใน 1 กล่อง จะมี 20-60 หลอด แต่ละหลอดเมื่อเปิดใช้แล้วจะต้องใช้ให้หมดภายใน 24 ชั่วโมง
อีกแบบคือ ระบบนกล่องว่า “Disappearing preservative” จะผสมสารกันเสียในขวดยา แต่เมื่อเปิดขวดและน้ำยาถูกออกซิเจนในอากาศ ส่วนของสารกันเสียจะสลายไป จัดเป็นน้ำตาเทียมที่ไม่มีสารกันเสียเช่นกัน
ประโยชน์ของการใช้น้ำตาเทียมคือ เพื่อช่วยหล่อลื่นและให้ความชุ่มชื้นแก่กระจกตาและเยื่อบุตาขาว ไม่มีอันตราย หรืออาการข้างเคียงต่อดวงตาแต่อย่างใด สามารถใช้ได้บ่อยเท่าที่ต้องการ
สิ่งที่ต้องระวังคือ ผู้ใช้บางรายอาจแพ้สารกันเสียในน้ำตาเทียมได้ กรณีนี้ให้ใช้ชนิดที่ไม่มีสารกันเสีย
ยาที่ลดจำนวนเชื้อโรค
1.ยาเกี่ยวกับตาที่มีส่วนประกอบเป็นยาปฏิชีวนะ
ยาเกี่ยวกับตาประเภทนี้ใช้สำหรับโรคตาที่มีการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือมีแนวโน้มติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น เยื่อบุตาขาวอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย กุ้งยิง ท่อน้ำตาอุดตัน การมีฝุ่นละออง หรือสิ่งแปลกปลอมเข้าตาหลังจากเอาออกแล้ว กระจกตาเป็นแผล
ยาปฏิชีวนะที่ใช้หยอด หรือป้ายตามีหลายชนิด บางชนิดประกอบด้วยยาปฏิชีวนะชนิดเดียว บางชนิดประกอบด้วยยาปฏิชีวนะตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป
ตัวอย่างยาปฏิชีวนะที่นิยมนำมาผสมในยาตาทั่วๆไป ได้แก่
- คลอแรมเฟนิคอล เป็นยาปฏิชีวนะที่สามารถซึมผ่านเข้าไปในตาได้ดี มีขอบเขตการฆ่าเชื้อกว้าง ครอบคลุมทั้งแบคทีเรียแกรมบวกและแกรมลบ นิยมใช้เป็นยาปฏิชีวนะตัวแรกเพื่อป้องกัน หรือรักษาตาติดเชื่อแบคทีเรีย ยามีทั้งรูปแบบยาหยอดตาและขี้ผึ้งสำหรับป้ายตา
- เจนตามัยชิน เป็นยาปฏิชีวนะสำคัญที่ใช้รักษาการติดเชื้อแบคทีเรียแกรมลบที่รุนแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถทำลายเชื้อแบคทีเรียได้หลายชนิด ข้อเสียคือ ดูดซึมผ่านผิวหนัง หรือผ่านเยื่อบุตาได้ไม่ดี
- โทบรามัยชิน มีฤทธิ์ (Broad spectrum) ฆ่าเชื้อได้วงกว้าง มีประสิทธิภาพทำลายแบคทีเรีย เช่นเดียวกับเจนตามัยชิน
- โพลิมิกซิน บี สามารถทำลายเชื้อแบคทีเรียประเภทแกรมลบได้กว้างขวาง ครอบคลุมใกล้เคียงกับเจนตามัยชิน นิยมนำมาผสมกับนีโอมัยชิน เพื่อให้สามารถทำลายแบคทีเรียได้ครอบคลุมมากขึ้น
- กลุ่มเตตร้าชัยคลิน ยากลุ่มเตตร้าชัยคลินที่นำมาทำเป็นยาตามีหลายตัว ได้แก่ เตตร้าชัยคลิน คลอร์เตตร้าชัยคลิน ออกซีเตตร้า-ชัยคลิน ยาทั้งกลุ่มออกฤทธิ์ทำลายแบคทีเรียได้ทั้งแกรมบวกและแกรมลบ รวมทั้งแบคทีเรียชนิดที่ไม่ใช้ออกซิเจนในการดำรงชีวิต ตัวยาทำในรูปยาขี้ผึ้งป้ายตา 1%
- กลุ่มฟลูออโรควิโนโลน ยาปฏิชีวนะในกลุ่มฟลูออโรควิโนโลนที่นำมาทำเป็นยาตา ได้แก่ ลีโวฟล็อกซาซิน
ยาปฏิชีวนะกลุ่มนี้สามารถทำลายแบคทีเรียครอบคลุมทั้งแกรมบวกและแกรมลบที่ต้องใช้ออกซิเจนในการดำรงชีวิตเท่านั้น (แอโรป์แบคทีเรีย) ยามีประสิทธิภาพดีมากต่อเยื่อบุตาขาวอักเสบติดเชื้อแบคทีเรีย แผลที่กระจกตา หนังตาอักเสบ กระจกตาอักเสบ และลูกตาอักเสบ
นอกจากยาปฏิชีวนะข้างต้นแล้วยังมียาปฏิชีวนะอื่นๆ ที่นิยมนำมาใช้ในยาหยอดและป้ายตา ได้แก่ ซัลฟาเซตาไมด์ กรดฟิวซิดิก และนีโอมัยซิน
2.ยาเกี่ยวกับตาที่มีส่วนประกอบเป็นยาต้านไวรัส
ยาเกี่ยวกับตากลุ่มนี้ใช้รักษาแผลที่กระจกตาซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัส โดยเฉพาะเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเริม แต่ก็มีรายงานว่า ได้ผลบ้างในรายที่ติดเชื้องูสวัด
โดยเฉพาะยาที่ประกอบด้วยตัวยาอะซัยโคลเวียร์ ยามีประสิทธิภาพดีมากต่อเชื้อไวรัสเริม ยาทำในรูปขี้ผึ้งป้ายตา 3% มีความเป็นพิษต่ำและละลายน้ำได้ดี จึงลดการสะสมในร่างกายและไม่เหนอะหนะ
ไอดอกซูริดีนใช้รักษาเริมที่ตา ประสิทธิภาพจะดีถ้าใช้ภายใน 10 วัน ที่มีการติดเชื้อไม่ค่อยนิยมใช้เท่าอะซัยโคล-เวียร์
3.ยาเกี่ยวกับตาที่มีส่วนประกอบเป็นยาต้านเชื้อรา
นาทามัยซินสามารถทำลายเชื้อราแคนดิด้าและเชื้อราอื่นได้หลายชนิดตลอดจนเชื้อยีสต์ ยาสามารถดูดซึมผ่านกระจกตาได้ดี
ยาตาที่มีส่วนประกอบเป็นสเตียรอยด์
ยากลุ่มนี้ใช้ในกรณีที่เยื่อบุตาขาวอักเสบที่มีสาเหตุมาจากการแพ้และไม่ได้มีการติดเชื้อโรคใดๆ สเตียรอยด์ที่นิยมนำมาใช้ในยาเกี่ยวกับตา ได้แก่
- เด็กซ่าเมธาโซน
- ฟลูออโรเมโธโลน
- เพรดนิโซโลน
- เบต้าเมธาโซน
ข้อควรระวังในการใช้ยาตากลุ่มสเตียรอยด์
ยาเกี่ยวกับตากลุ่มนี้จะต้องใช้กับความผิดปกติของตาที่ไม่มีการติดเชื้อเท่านั้นและไม่ควรใช้นานติดต่อกันเกิน 7 วัน เนื่องจากจะทำให้ภูมิต้านทานของตาน้อยลง ทำให้กระจกตาติดเชื้อโรคได้ง่าย ถ้ามีการติดเชื้ออยู่แล้วอาการจะรุนแรงมากขึ้น
ยาตาที่มีส่วนประกอบระหว่างสเตียรอยด์กับยาปฏิชีวนะ
ถึงแม้ว่า ยาเกี่ยวกับตากลุ่มนี้จะมีส่วนผสมของยาปฏิชีวนะก็ตาม แต่ข้อบ่งใช้ของยากลุ่มนี้คือ ให้ใช้หยอดตาในกรณีที่มีสาเหตุมาจากการแพ้เหมือนกับยาเกี่ยวกับตาที่มีส่วนประกอบเป็นพวกสเตียรอยด์ และไม่ควรใช้ในรายที่มีการติดเชื้อโรค ไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือเชื้อรา
นอกจากนั้นยังอาจใช้ในกรณีที่มีอาการแพ้และมีแนวโน้มติดเชื้อร่วมด้วย หรือมีอาการอักเสบรุนแรง (แต่ไม่ใช่อักเสบติดเชื้อ)
ยาเกี่ยวกับตาที่ทำให้รูม่านตาหดตัวและทำให้ความดันในลูกตาลดลง
ยากลุ่มนี้มีผลลดการสร้างของเหลวในลูกตาทำให้ความดันในลูกตาลดลง จึงนำมาใช้สำหรับโรคต้อหิน
ยาขยายม่านตา
ยามีผลทำให้ม่านตาขยาย ยากลุ่มนี้ใช้ในการตรวจประสาทตา หรือเมื่อจะผ่าตัดตา หรือตรวจตา
ยาเกี่ยวกับตาที่เป็นยาชาเฉพาะที่
ใช้ลดความเจ็บปวดขณะผ่าตัดตา หรือตรวจตา เช่น เตตร้าเคน (Tetracaine)
ยาล้างตา
ยาล้างตาประกอบด้วยสารละลายบอริก หรือน้ำเกลือความเข้มข้นร้อยละ 0.9 ยาล้างตาจะช่วยชะล้างตาให้สะอาด หรือหายจากการระคายเคืองเนื่องจากฝุ่นละอองปลิวเข้าตา แต่ไม่ได้ใช้ในกรณีที่มีการติดเชื้อโรคแล้ว
ไม่ควรใช้ยาล้างตาเป็นประจำเพราะจะทำให้ตาแห้ง ควรใช้ในกรณีมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตาแล้วน้ำตาไม่สามารถชะล้างออกไปได้
ยาลดการอักเสบชนิดไม่ใช่การอักเสบติดเชื้อโรค
ยาตากลุ่มนี้ ประกอบด้วยตัวยา Nsaids ใช้ลดอาการปวดและอักเสบที่ไม่ใช่การอักเสบจากการติดเชื้อโรค
การใช้ยาล้างตาที่ถูกต้องคือ รินน้ำยาลงถ้วยที่สะอาดและมีขนาดพอเหมาะกับลูกตา ในปริมาณที่เพียงพอให้ตาจุ่มได้ แล้วกลอกลูกตาไปมา ควรเปลี่ยนน้ำยาเมื่อล้างตาแต่ละข้าง
หลังจากใช้แล้วต้องทำความสะอาดถ้วยล้างตาให้สะอาด เพราะอาจมีการติดเชื้อได้ถ้าต้องใช้ครั้งต่อไป
ควรซักถามผู้ที่มาซื้อยาหยอดตาและป้ายตาทุกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่า ใช้ถูกประสงค์และข้อบ่งใช้หรือไม่ ตลอดจนแนะนำหลักการใช้ยาตาที่ถูกต้อง
หลักการใช้ยาเกี่ยวกับตา
การใช้ยาเกี่ยวกับตาอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากการเลือกชนิดของยาให้ถูกกับโรคที่เป็นแล้ว ควรให้คำแนะนำหลักการใช้ยาตาให้ถูกต้องด้วย ดังนี้
1.ใช้ให้ถูกวิธี
ยาหยอดตาและยาป้ายตามีวิธีใช้ต่างกัน ถ้าใช้ไม่ถูกต้อง หรือใช้ไม่เป็น ตัวยาอาจไม่เข้าตา หรือไม่สัมผัสกับส่วนที่ต้องการยา ทำให้การรักษาไม่ได้ผลเท่าที่ควร ดังนั้นวิธีการใช้ยาตาจึงมีความสำคัญเช่นกัน
- ล้างมือให้สะอาดทั้งสองข้าง
- ให้ผู้ป่วยนอน หรือนั่งแหงนหน้า หรือเอนศีรษะไปด้านหลังเล็กน้อย
- ลืมตาทั้งสองข้าง มองขึ้นข้างบน ใช้นิ้วมือดึงเปลือกตาล่าง เพื่อทำให้มีลักษณะเป็นกระพุ้ง
- ดูดยาหยอดตาจากขวด หยดลงบริเวณหัวตาที่เป็นกระพุ้งตามจำนวนหยดที่ต้องการ แล้วหลับตา 1-2 นาที พร้อมกับใช้นิ้วมือกดบริเวณหัวตาและสองข้างของจมูกเบาๆ ยาจะได้ไม่ไหลลงคอ
- สิ่งที่ควรระวังคือ อย่าให้ปลายหลอดหยดตาถูกตา เพราะอาจมีเชื้อโรค หรือสิ่งสกปรกติดกลับเข้าไปในขวดและเมื่อใช้แล้วต้องรีบปิดขวดทันที
- กรณีที่มีน้ำยาซึมออกมาจากเบ้าตา อาจใช้สำลี หรือทิชชูซับน้ำยาเฉพาะบริเวณนอกเบ้าตา ไม่ควรซับน้ำยาที่เบ้าตาโดยตรง เพราะจะทำให้น้ำยาซึมออกมาหมด
วิธีใช้ยาป้ายตาที่ถูกต้องมีดังต่อไปนี้
- ล้างมือให้สะอาดทั้งสองข้าง
- เปิดฝาหลอดที่บรรจุยา กรณีที่เปิดใช้ครั้งแรก ควรบีบส่วนแรกของยาทิ้งเล็กน้อย
- ดึงเปลือกตาล่างแล้วบีบยาลงในเปลือกตาล่างตรงบริเวณหัวตาออกไปทางหางตายาวประมาณ ½ เซนติเมตร ระวังอย่าให้ปลายหลอดสัมผัสกับตา
- หลับตาแล้วใช้มือคลึงบริเวณหนังตาเบาๆ พร้อมกรอกลูกตาไปมาในขณะที่ยังหลับตาอยู่ เพื่อให้ตัวยากระจายและซึมเข้าสู่บริเวณที่ต้องการได้ดีขึ้น
- ปิดฝาจุกหลอดยาป้ายตาทันทีที่ใช้แล้ว
2.ใช้ให้ถูกขนาด
ยาตาแต่ละชนิดมีขนาดการใช้แตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับชนิดและความแรงของยา ดังนั้นจึงต้องใช้ยาตามขนาดที่แพทย์กำหนด ยาบางชนิดถ้าใช้มากเกินไปอาจมีอันตรายได้ ถ้าใช้น้อยเกินไปก็จะไม่ได้ผลในการรักษา
3.ใช้ให้ตรงเวลา
ยาตาก็เช่นเดียวกับยาที่ใช้รับประทานคือ มีช่วงเวลาของการออกฤทธิ์และหมดฤทธิ์ซึ่งแต่ละชนิดสั้น-ยาวไม่เท่ากัน ดังนั้นจึงควรใช้ยาให้ตรงเวลาที่แพทย์สั่ง หรือที่กำหนดอยู่บนฉลากข้างขวดและควรใช้ยาให้ครบจำนวนครั้งในแต่ละวันเช่นกัน
4.ใช้ยาให้ถูกลำดับและถูกข้าง
บางกรณีอาจมีการใช้ยาตามากกว่า 1 ชนิด และรูปแบบต่างกัน เช่น ใช้ทั้งชนิดหยอดตาและป้ายตา ในกรณีเช่นนี้จะต้องใช้ชนิดหยอดก่อน รอสักครู่แล้วจึงใช้ชนิดป้ายตาตาม หรือถ้าเป็นรูปแบบเดียวกันก็ไม่ควรใช้พร้อมกัน ต้องทิ้งระยะเวลาให้ห่างกันสัก 5-10 นาที
ทั้งนี้เพราะถ้าใช้พร้อมกันยาอาจไปทำลายฤทธิ์กันเอง ทำให้ไม่มีผลทางการรักษา
นอกจากนี้การใช้ยาตาจะต้องใช้ให้ถูกต้องว่า จะต้องใช้กับตาซ้าย หรือตาขวา หรือหยอดทั้งสองข้าง ยาบางอย่างถ้าหยอดตาข้างที่ไม่ได้เป็นอะไรอาจมีอันตราย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องหยดข้างที่ไม่ได้เป็นอะไร
5.ใช้ยาให้ถูกกับผู้ป่วยที่เป็นโรค
ยาตาเป็นยารักษาเฉพาะผู้ป่วยแต่ละราย ไม่ควรใช้ยาตาร่วมกันแม้ว่าจะเป็นโรคที่เหมือนกัน หรือมีอาการคล้ายกันก็ตาม เพราะโรคตาบางอย่างติดต่อกันง่ายมากโดยผ่านทางปลายหลอดหยดยา หรือปลายหลอดยาป้ายตา
6.การเก็บยาตาที่เปิดใช้แล้ว
การเปิดขวด หรือหลอดของยาตาไม่ว่าจะเป็นชนิดขวด หรือหลอดในแต่ละครั้ง อาจมีเชื้อจุลชีพจากอากาศเข้าไปทุกครั้ง ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ควรเลือกยาที่มีขนาดบรรจุน้อยๆ เมื่อหายจากอาการที่เป็นก็ควรทิ้งไปเลย แต่ถ้าต้องการเก็บไว้ใช้ต่อก็ควรปิดฝาให้แน่น และเก็บไว้ในตู้เย็น
ควรทราบว่า ทั้งยาหยอดและยาป้ายตาเมื่อเปิดใช้แล้ว หากใช้ไม่หมดภายใน 1 เดือน ควรทิ้งไป
นอกจากนี้ยาบางอย่างควรเก็บไว้ในที่เย็น หรือห้ามถูกแสง เช่น ยาตาที่มีส่วนผสมของคลอแรมเฟนิคอล นอกจากนี้ยังควรเก็บยาเกี่ยวกับตาให้ไกลมือเด็กเช่นเดียวกับยาชนิดอื่นๆ
ตาเป็นอวัยวะเดียวในร่างกายที่ทำให้เราสามารถมองเห็นและรับรู้ลักษณะของสิ่งต่างๆ รอบตัวได้ ดังนั้นเมื่อเกิดความผิดปกติเกี่ยวกับดวงตาและการมองเห็นขึ้นมาจึงไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที ไม่ควรซื้อยาเกี่ยวกับตามาใช้เองโดยเด็ดขาด
ตรวจสอบความถูกต้องโดย ภญ. สุภาดา ฟองอาภา