หลายคนคุ้นเคยกับโรคไข้เลือดออกกันอยู่แล้ว แต่ความรุนแรงของโรคก็ไม่เข้าใครออกใคร อาการอาจมีเพียงเล็กน้อย หรือรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตก็ได้เช่นกัน ไปรู้จักกับโรคไข้เลือดออกให้มากขึ้นในบทความนี้กัน
สารบัญ
รู้จักสาเหตุโรคไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออกหรือไข้เด้งกี (Dengue fever) พบบ่อยในช่วงหน้าฝน เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) สายพันธุ์ใดสายพันธุ์หนึ่ง คือ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4 โดยมียุงลายตัวเมียเป็นพาหะนำโรค
การกระจายของเชื้อไวรัสเดงกีทั้ง 4 สายพันธุ์จะหมุนเวียนกัน ทำให้สายพันธุ์พบบ่อยแตกต่างกันไปในแต่ละปี และยังคงเกิดการระบาดของโรคมาโดยตลอด เนื่องจากคนยังไม่มีภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์นั้น ๆ
เมื่อยุงลายไปกัดผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกในระยะไข้ หรือเป็นระยะที่ไวรัสแพร่กระจายได้ ทำให้เชื้อเข้าไปฝังในเซลล์ผนังกระเพาะอาหารของยุง ภายใน 8–12 วัน เชื้อไวรัสเดงกีจะเพิ่มจำนวนขึ้น แล้วไปรวมอยู่ที่ต่อมน้ำลายของยุง หากยุงไปกัดคนก็จะสามารถแพร่เชื้อไวรัสสู่คนได้ทันที
อาการโรคไข้เลือดออก
อาการของโรคไข้เลือดออกจะเกิดภายใน 3–15 วัน หลังได้รับเชื้อหรือถูกยุงที่มีเชื้อกัด โดยแต่ละคนจะมีอาการต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค ส่วนมากจะพบอาการรุนแรงในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก
การดำเนินของโรคไข้เลือดออกแบ่งเป็น 3 ระยะ
ระยะที่ 1: ระยะไข้ (Febrile phase)
เป็นระยะเชื้อกำลังแพร่กระจาย ผู้ป่วยจะมีไข้สูงเฉียบพลันมากกว่า 38.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป กินยาลดไข้แล้วมักไม่ดีขึ้น และยังมีอาการอื่น ๆ เกิดร่วมด้วยติดต่อกัน 2–7 วัน เช่น
- หน้าแดง ปวดหัว
- ปวดเบ้าตา รอบดวงตา
- ปวดเมื่อยตามตัว ปวดกระดูกและข้อ
- เบื่ออาหาร
- คลื่นไส้ อาเจียน
- มีจ้ำเลือด ผื่นแดง หรือจุดเลือดออกตามแขน ขา ข้อพับ
- อาจปวดท้อง กดเจ็บบริเวณชายโครงขวา
คนที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใด ๆ อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้น จนเข้าสู่ระยะฟื้นตัว แต่บางคนจะเข้าสู่ระยะวิกฤต ทำให้อาการรุนแรงขึ้น และอาจเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้
ระยะที่ 2: ระยะวิกฤต (Critical phase)
เป็นระยะอันตราย เพราะอาจเกิดอาการช็อกจากไข้สูง รวมถึงอาจช็อกจากการขาดน้ำหรือเสียเลือด (Hypovolemic shock) เนื่องจากสารน้ำในหลอดเลือด (พลาสมา) รั่วออกนอกหลอดเลือด ทำให้ความดันโลหิตลดต่ำ ชัก หมดสติ หัวใจหยุดเต้น นำไปสู่การเสียชีวิตได้
ระยะวิกฤตมักเกิดหลังไข้ลงแล้ว 1–2 วัน จำเป็นต้องมีการเฝ้าระวัง เพราะอาการรุนแรงขึ้นกว่าเดิม เช่น
- เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียนอย่างต่อเนื่อง
- ปวดท้องรุนแรง กดแล้วเจ็บบริเวณชายโครงขวา
- หน้าแดง อาจพบจ้ำเลือดหรือจุดเลือดออกสีแดงเล็ก ๆ ตามผิวหนัง
- เกล็ดเลือดต่ำ จนเสี่ยงเกิดเลือดออกง่าย เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระสีดำ
- ระบบไหลเวียนล้มเหลวหรือเกิดอาการช็อก โดยสังเกตจากไข้จะลดลงอย่างรวดเร็ว กระสับกระส่าย ปลายมือปลายเท้าเย็น ปัสสาวะน้อยลง ความดันโลหิตไม่สม่ำเสมอ และวัดชีพจรไม่ได้
- หากไม่ได้รับการรักษา อาจเสียชีวิตได้
ผู้ป่วยระยะวิกฤตสามารถฟื้นตัวได้ในช่วง 24–48 ชั่วโมง ถ้ามีไข้เกิน 2 วันแล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือมีอาการรุนแรงอื่น ๆ เช่น อาเจียนมาก ปวดท้องมาก ไข้ลดลงอย่างรวดเร็ว ตัวเย็นผิดปกติ ไม่ปัสสาวะนานกว่า 6 ชั่วโมง ควรรีบพบแพทย์ทันที
ระยะที่ 3: ระยะฟื้นตัว (Recovery phase)
หากผ่านระยะไข้หรือระยะวิกฤติมาได้ ร่างกายจะเข้าสู่ระยะฟื้นตัว อาการจะดีขึ้นตามลำดับ อาการปวดท้องดีขึ้น มีความอยากอาหาร ความดันโลหิตสูงขึ้น ชีพจรเต้นแรงขึ้น ปัสสาวะออกมากขึ้น แต่อาจมีผื่นแดงเล็ก ๆ สาก ๆ เป็นวงสีขาวขึ้นตามร่างกาย ก่อนจะหายไปเองในเวลาไม่นาน
กลุ่มเสี่ยงเป็นโรคไข้เลือดออกรุนแรง
โรคไข้เลือดออกเกิดได้กับทุกคน แต่กลุ่มที่ป่วยเป็นไข้เลือดออกแล้วอาจเกิดอาการรุนแรง คือ ทารก ผู้หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ และผู้ใหญ่อายุ 35 ปีขึ้นไป
โดยปัจจัยที่ก่อให้เกิดอาการรุนแรง หรือภาวะแทรกซ้อนจากโรคได้มาก คือ ป่วยโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคหอบหืด โรคหัวใจ โรคไตวาย และโรคตับ หรือการใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ และยากลุ่มแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs)
นอกจากนี้ การไปพบเเพทย์ เเละได้รับการรักษาล่าช้าเกินไป โดยเฉพาะหลังวันที่ 3 นับจากมีไข้หรืออาการป่วยก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตได้สูง
การวินิจฉัยโรคไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออกระยะแรกอาจวินิจฉัยได้ยาก เพราะอาการคล้ายกับโรคติดเชื้ออื่น ๆ เช่น ไข้หวัด ไข้ชิคุนกุนยา ไข้ซิก้า หรือไข้จากสาเหตุอื่น
เบื้องต้นแพทย์จะดูความเสี่ยง เช่น ประวัติการเดินทางไปยังถิ่นระบาด หรือการโดนยุงลายกัด ร่วมกับตรวจร่างกายเบื้องต้น ตรวจดูจุดเลือดออกใต้ผิวหนัง (Tourniquet test) โดยใช้เครื่องวัดความดันหรือสายรัดทางการแพทย์รัดบริเวณแขน แล้วนับจำนวนจุดเลือดออก
นอกจากนี้ ยังมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่น ๆ ดังนี้
- การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete blood count: CBC) เพื่อหาความผิดปกติของส่วนประกอบของเลือดทั้งหมด ได้แก่ เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด และความเข้มข้นของเลือด
- การตรวจภูมิคุ้มกันจำเพาะต่อเชื้อไข้เลือดออก (Dengue NS1 Antigen, Dengue IgM, Dengue IgG) เพื่อตรวจหาสารแอนติบอดี้ที่บ่งบอกถึงการติดเชื้อในร่างกายสร้าง โดยแอนติเจนชนิด NS1 จะเป็นการตรวจหาตัวเชื้อไข้เลือดออกโดยตรง ส่วนแอนติเจนชนิด IgM กับ IgG จะตรวจหาร่องรอยการติดเชื้อ
- การตรวจหาเชื้อไวรัส (Polymerase chain reaction: PCR) จะตรวจในสัปดาห์แรกที่มีอาการเข้าข่ายของโรค เพื่อยืนยันการติดเชื้อไวรัสเดงกี และหาว่าเป็นเชื้อสายพันธุ์ใด
การรักษาโรคไข้เลือดออกในผู้ใหญ่
ปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสสำหรับโรคไข้เลือดออก การรักษาจะเป็นไปตามอาการ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยกลับสู่ภาวะปกติเร็วที่สุด และลดความเสี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น
- คลื่นไส้ อาเจียนมาก กินอาหารและดื่มน้ำได้น้อย อาจต้องนอนให้น้ำเกลือ
- เสียเลือดมาก อาเจียนแล้วมีเลือดปน หรืออุจจาระดำ อาจต้องได้รับเลือดทดแทน
หากอาการไม่รุนแรง ผู้ป่วยสามารถหายได้ภายใน 2–7 วัน เบื้องต้นควรดูแลตัวเองได้ตามคำแนะนำต่อไปนี้
- พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัว
- ควรดื่มน้ำมาก ๆ หรือดื่มน้ำเกลือแร่ ORS ร่วมด้วย เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
- หากมีไข้ ให้เช็ดตัวเป็นระยะ กินพาราเซตามอลตามปริมาณแพทย์สั่ง ห้ามใช้ยาแอสไพรินหรือยากลุ่ม NSAIDs เด็ดขาด เพราะจะทำให้เลือดออกง่าย หรือเลือดออกมากขึ้น
- กินอาหารอ่อน งดอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีสีคล้ายเลือด เพื่อไม่ให้การวินิจฉัยคลาดเคลื่อน
นอกจากนี้ ควรหมั่นสังเกตอาการผิดปกติ เช่น ปวดท้องรุนแรง อาเจียนมาก มีเลือดออกผิดปกติ ไข้ลดลงแต่อาการทรุดลง หากพบอาการเหล่านี้ ให้รีบพบแพทย์ทันที
วิธีป้องกันโรคไข้เลือดออก และวัคซีนไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออกป้องกันได้ด้วยการเลี่ยงไม่ให้ยุงกัด และกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ดังนี้
- สวมใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว และสวมถุงเท้า หรือการใส่เสื้อผ้าที่มีการเคลือบสารกันยุง
- ใช้ยากันยุงหรือผลิตภัณฑ์ที่มีสารป้องกันยุง (Mosquito repellents) ที่มีส่วนผสมของสาร DEET
- ปิดประตู หน้าต่างให้มิดชิด ติดตั้งมุ้งลวด ป้องกันยุงเข้าภายในบ้าน
- กำจัดพื้นที่น้ำขัง ทั้งในและรอบบริเวณบ้าน เก็บข้าวของที่อาจรองรับน้ำไว้ หรือคลุมให้มิดชิด ใช้ฝาปิดครอบภาชนะต่าง ๆ และถังขยะ เพื่อไม่ให้ยุงลายวางไข่
- หมั่นเปลี่ยนน้ำภาชนะที่มีน้ำขังอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง เช่น แจกันดอกไม้สด แจกันศาลพระภูมิ ถาดรองกระถางต้นไม้
นอกจากนี้ การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกยังช่วยป้องกันเชื้อไวรัสไข้เลือดออกได้ ทั้ง 4 สายพันธุ์ ลดอัตราการนอนโรงพยาบาล และความรุนแรงของโรคได้ วัคซีนไข้เลือดออกในประเทศไทยมีอยู่ 2 ชนิด คือ
วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ชนิด 2 เข็ม
- เหมาะกับคนอายุ 4–60 ปี ฉีดได้ทั้งคนที่เคยและไม่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อน ไม่จำเป็นต้องตรวจภูมิคุ้มกันก่อนการรับวัคซีน
- ฉีด 2 เข็ม แต่ละเข็มเว้นระยะฉีดห่างกัน 3 เดือน
วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ชนิด 3 เข็ม
- เหมาะกับคนอายุ 6–45 ปี และเคยเป็นไข้เลือดออกมาแล้ว หากไม่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อน แนะนำให้ตรวจภูมิคุ้มกันก่อนรับวัคซีน
- ฉีด 3 เข็ม แต่ละเข็มเว้นระยะฉีดห่างกัน 6 เดือน
ทำไมโรคไข้เลือดออกเป็นซ้ำอาจอันตราย
เชื้อไวรัสเดงกีมีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ การติดเชื้อไวรัสเดงกีสายพันธุ์ใดสายพันธุ์หนึ่ง ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อสายพันธุ์นั้น ๆ ส่วนภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์อื่นจะมีเพียงสั้น 3–12 เดือน จึงมีความเสี่ยงจะติดเชื้อเดงกีสายพันธุ์ที่เหลือในครั้งถัดไปได้
อีกทั้งการติดเชื้อครั้งที่สองหรือมากกว่านั้น แต่เป็นคนละสายพันธุ์ มีแนวโน้มที่จะเกิดอาการรุนแรงขึ้นได้ด้วย ทางที่ดีควรป้องกันการติดเชื้อไวรัสเดงกีด้วยการเลี่ยงไม่ให้ยุงกัด และฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก เพื่อลดโอกาสการเกิดโรคไข้เลือดออกซ้ำ
พบบ่อยทุกปีแบบนี้ อย่ารอลุ้นว่าเกิดอาการรุนแรงไหม ฉีดวัคซีนไข้เลือดออกครบโดส ราคาพิเศษ Hdmall.co.th มัดรวมมาให้แล้ว อย่าช้า จองเลยก่อนสิทธิ์หมด!