“โรคร้อนใน” มักเกิดขึ้นในช่องปากโดยไม่ทันได้ตั้งตัว นอกจากจะทำให้มีอาการเจ็บปวดแล้วยังทำให้ไม่สามารถรับประทานอาหารและเครื่องดื่มได้ตามปกติด้วย โดยทั่วไปโรคร้อนในสามารถหายได้เองตามธรรมชาติ แต่หากมีอาการที่รุนแรงมากๆ ก็ควรดูแลตนเองให้ดี แต่จะดีไปกว่านั้นหากเราสามารถรู้เท่าทันวิธีป้องกันโรคร้อนในได้ วิธีแก้ร้อนในอย่างเร่งด่วนมีหรือไม่ ต้องทำอย่างไร
สารบัญ
ร้อนในคืออะไร?
โรคร้อนใน หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อว่า “แผลร้อนใน (Aphthous Ulcers)” หรือเรียกสั้นๆได้อีกว่า “ร้อนใน” คือ แผลที่มีขนาดเล็ก และมีความตื้น สีของแผลจะมีสีเหลือง หรือขาวและล้อมรอบไปด้วยสีแดง แผลร้อนในจะเกิดที่บริเวณเนื้อเยื่ออ่อนภายในช่องปาก หรือเหงือก
ผู้ป่วยบางรายก็อาจพบแผลร้อนในได้ในบริเวณด้านในริมฝีปาก กระพุ้งแก้ม ใต้ลิ้น ปลายลิ้น หรือโคนลิ้น ส่งผลให้มีอาการเจ็บเมื่อมีการขยับปาก ไม่ว่าจะเป็นในช่วงรับประทานอาหาร หรือกำลังพูดคุยอยู่ก็ตาม
ปกติแล้ว อาการปวดแผลร้อนในจะหายได้เองโดยไม่ต้องรับการรักษาใดๆ ภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยุ่กับการดูแลของผู้ป่วยด้วยเช่นกัน เช่น การทายา การบ้วนน้ำเกลือ หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารบางชนิด วิธีแก้ร้อนในเร่งด่วนควรปรึกษาแพทย์
ในส่วนของแผลร้อนในที่มีขนาดใหญ่ หากสังเกตดูแล้วไม่มีทีท่าว่าจะหายได้ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ เพื่อหาวิธีการรักษาที่ถูกต้องต่อไป
ร้อนในเกิดจากสาเหตุใด
สำหรับสาเหตุของแผลร้อนในนั้นยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคนี้อย่างแน่ชัด แต่อาจเกิดจากปัจจัยหลายๆ อย่างร่วมกัน รวมทั้งอาจมีความสัมพันธ์กับปฏิกิริยาภูมิต้านทานของร่างกายด้วย
แต่โดยเฉลี่ยแล้วพบว่า ผู้ป่วยที่เป็นแผลร้อนในบ่อยประมาณ 30-40% มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ด้วย ดังนั้นจึงทำให้เชื่อได้ว่า แผลร้อนในสามารถถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม
ผู้ป่วยส่วนใหญ่ก็เกิดอาการขึ้นมาเองได้โดยที่ไม่มีสิ่งใดเป็นตัวกระตุ้น ในขณะที่มีผู้ป่วยเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เกิดแผลร้อนในจากสิ่งกระตุ้นจนทำให้มีอาการกำเริบขึ้นมา
สิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดแผลร้อนใน
- ความเครียด ความกังวล และความเหนื่อยล้า รวมทั้งการมีอารมณ์โมโหฉุนเฉียว ไม่ว่าจะเกิดจากการทำงาน เรื่องส่วนตัว หรือความเครียดจากการอ่านหนังสือสอบ ล้วนกระตุ้นให้เกิดแผลร้อนในได้ เนื่องจากการศึกษาพบว่า การเกิดแผลร้อนในนั้นมีความสัมพันธ์กับอาชีพของผู้ป่วย รวมทั้งความวิตกกังวลด้วยเช่นกัน
- ผู้ป่วยพักผ่อนไม่เพียงพอ นอนดึก และนอนน้อย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุต้นๆ ที่กระตุ้นให้เกิดแผลร้อนในได้
- ผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บภายในช่องปาก ไม่ว่าจะเป็นที่เยื่อบุปาก หรือกัดลิ้นขณะเคี้ยวอาหาร แม้แต่ถูกแปรงสีฟันกระแทก หรือมีของแข็งกระทบในช่องปาก
- ใช้ยาบางชนิดที่ส่งผลทำให้เกิดแผลร้อนใน เช่น ยาแอสไพริน (Aspirin) ยาต้านการอักเสบซึ่งไม่ใช่เสตียรอยด์ ยาอะเลนโดรเนต (Alendronate) ซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาโรคกระดูกพรุน
- รับประทานอาหารที่มีฤทธิ์ร้อน เช่น ของมัน ของทอด เหล้า เบียร์ เนื้อติดมัน
- รับประทานอาหารรสจัด ไม่ว่าจะเป็นเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด หรือหวานจัด ล้วนกระตุ้นให้เกิดแผลร้อนในได้
- แพ้อาหารบางชนิด เช่น เนยแข็ง นมวัว ช็อกโกแลต กาแฟ โค้ก ของเผ็ด แป้งข้าวสาลี ผลไม้จำพวกส้ม
- ผู้ป่วยมีอาการแพ้สารบางชนิดที่อยู่ในยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปาก เช่น ยาสีฟันที่มีสารเจือปนอย่างโซเดียม ลอริล ซัลเฟต (Sodium lauryl sulfate) หรือโซเดียม ลอริล ซาโครซิเนต (Sodium lauryl sarcosinate)
- ผู้ป่วยมีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ เป็นโรคเอดส์
- เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เช่น เชื้อแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter pylori)
- เกิดจากการติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น โรคเริม
- ผู้ป่วยมีภาวะขาดวิตามินและเกลือแร่บางชนิด โดยเฉพาะธาตุเหล็ก สังกะสี กรดโฟลิก (Folic acid) และวิตามินบี 12
- การมีประจำเดือน เป็นสิ่งกระตุ้นทำให้เกิดแผลร้อนในได้ โดยเฉพาะในช่วงใกล้ หรือช่วงกำลังมีประจำเดือนอยู่ เนื่องจากแผลร้อนในอาจสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในผู้ป่วยผู้หญิง
- เกิดจากการเลิกบุหรี่ เนื่องจากแผลร้อนในเกิดขึ้นได้น้อยมากในกลุ่มผู้สูบบุหรี่นั่นเอง
อาการของแผลร้อนใน
มีแผลเปื่อยและมีอาการเจ็บเกิดขึ้นในช่องปาก เป็นแผลที่เป็นๆ หายๆ อยู่บ่อยครั้ง แต่แผลชนิดนี้จะขึ้นก็ต่อเมื่อมีสิ่งมากระตุ้นตามที่กล่าวมาข้างต้น
อาการเริ่มจาก
- ผู้ป่วยจะมีความรู้สึกเจ็บบริเวณตำแหน่งที่จะเกิดแผลร้อนใน
- มีรอยแดงที่มีลักษณะกลม หรือเป็นวงรี อาการเหล่านี้จะแสดงออกก่อนที่จะมีแผลเปื่อยประมาณ 2-3 วัน
- หลังจากนั้นแผลเปื่อยก็จะปรากฏขึ้นตรงบริเวณที่เป็นรอยแดงก่อนหน้า
ขนาดของแผลร้อนในจะมีตั้งแต่ไม่กี่มิลลิเมตรไปจนถึงหลายเซนติเมตร นอกจากนี้แผลร้อนในที่เกิดขึ้นจะมีทั้งแผลเดียวและหลายแผล ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายในขณะนั้นและปัจจัยการเกิดแผลของผู้ป่วยแต่ละราย
ผลกระทบจากแผลร้อนใน
สำหรับอาการเจ็บแผลร้อนในจะเป็นมากในช่วง 2-3 วันแรก ในช่วงนี้ผู้ป่วยจะมีความรู้สึกเจ็บ ปวด และแสบที่บริเวณแผลมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลารับประทานอาหารรสเผ็ดและเปรี้ยวจัด หากมีแผลที่มีขนาดใหญ่ก็อาจจะทำให้มีความรู้สึกเจ็บมากจนไม่สามารถกลืน หรือพูดได้อย่างสะดวกเหมือนปกติ
เมื่อแผลเริ่มมีอาการดีขึ้น ขนาดของแผลก็จะมีขนาดเล็กลง ตามปกติแล้วผู้ป่วยจะไม่เป็นไข้ ไม่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ต่อมน้ำเหลืองโต รวมทั้งไม่มีอาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมอยู่ด้วย แต่หากผู้ป่วยมีอาการดังกล่าว ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่ถูกต้องต่อไป
วิธีแก้ร้อนใน
การรักษาแผลร้อนในมีอหลายวิธีด้วยกันขึ้นอยู่กับความรุนแรงของแผล ซึ่งวิธีการแก้ร้อนในแบบเร่งด่วน ให้หายเจ็บเร็วสุด ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อรับยาในการรักษา
หากไม่รุนแรงมากก็อาจเป็นแค่การจิบน้ำ บ้วนน้ำเกลือ หรือป้ายยาที่แผลวันละ 3-4 ครั้ง แต่หากผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวดมาก หรือไม่สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติก็อาจต้องพึ่งวิธีการรักษาอื่นเพิ่มเติม วิธีรักษาแผลร้อนในมีดังต่อไปนี้
- บ้วนปากด้วยน้ำเกลือประมาณวันละ 2-3 ครั้ง น้ำเกลือจะช่วยรักษาแผลร้อนในได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยทำให้ปากสะอาด และช่วยให้แบคทีเรียลดลง ผู้ป่วยสามารถทำน้ำเกลือที่บ้วนปากเองได้โดยการผสมเกลือ 1 ช้อนชา ในน้ำ 1 แก้ว
- รับประทานยาพาราเซตามอล (Paracetamol) เพื่อบรรเทาอาการปวด หากมีอาการปวดแผลร้อนในมากจนทนไม่ไหวสามารถรับประทานยาดังกล่าวได้
- ใช้ยาป้ายแผลวันละ 3-4 ครั้งต่อวัน จนกว่าแผลจะหาย ในกรณีที่ผู้ป่วยต้องการให้แผลหายเร็ว หรืออาจมีอาการเจ็บปวด
- ใช้ยาปฏิชีวนะช่วยในการรักษา หากผู้ป่วยเกิดความสงสัยว่า แผลอาจเกิดการติดเชื้อ แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะใช้ยา
- ให้อาหารและน้ำทางหลอดเลือดดำ หากผู้ป่วยมีอาการเจ็บแผลร้อนในมากจนไม่สามารถรับประทานอาหารและดื่มน้ำได้ตามปกติ แต่ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
หากเจ็บมาก เภสัชกรอาจให้ยาก็ให้ทายาสเตียรอยด์ชื่อ Triamcinolone acetonide ชนิดขี้ผึ้ง 1% ใช้ทาวันละ 3 ครั้งหลังอาหารจนกว่าแผลจะหาย หรือ ยาชา Lidocaine ชนิด 2%
ถ้าแผลดูรุนแรงมาก มีไข้ร่วมด้วย แผลมีรอยดำตรงกลาง เป็นแผลร้อนในนานกว่า 2 สัปดาห์ควรไปพบแพทย์
วิธีป้องกันการเกิดแผลร้อนใน
- หมั่นดูแลสุขอนามัยภายในช่องปาก
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ทำให้เกิดการระคายเคืองในช่องปาก อาหารที่มีรสจัด เค็มจัด หรือผลไม้ที่มีกรดในปริมาณมาก
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่แพ้
- แปรงฟันหลังรับประทานอาหารแต่ละมื้อเป็นประจำ หรือใช้ไหมขัดฟันวันละครั้งก็จะสามารถช่วยทำให้ช่องปากสะอาด และไม่มีเศษอาหารหลงเหลือที่อาจไปกระตุ้นทำให้เกิดแผลร้อนในได้
- ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของโซเดียม ลอริล ซัลเฟต อีกทั้งควรหลีกเลี่ยงการเคี้ยวหมากฝรั่งด้วย
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- หลีกเลี่ยงความเครียด หรือรู้จักวิธีผ่อนคลายความเครียดอย่างเหมาะสม
- รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ ผักผลไม้ และธัญพืช เพื่อป้องกันการขาดวิตามินและแร่ธาตุในร่างกาย
การดูแลตนเองเมื่อเป็นแผลร้อนใน
- หมั่นดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ เฉลี่ยวันละประมาณ 8-10 แก้ว
- รับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ในทุกมื้อ และควรเน้นอาหารประเภทโฮลเกรน (Whole Grains) นม ถั่ว ไข่ ตับ เนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน ปลา และอาหารทะเล เพื่อให้แน่ใจว่ าร่างกายจะได้รับวิตามินบี ธาตุเหล็ก สังกะสี และกรดโฟลิกเพียงพอ
- เลือกรับประทานอาหารประเภทนึ่ง เนื่องจากอาหารประเภทนี้ถือเป็นวิธีง่ายๆ ที่ช่วยให้คุณสามารถรักษาระดับของโฟเลต (Folate) หรือกรดโฟลิกไว้ได้
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ทำให้เกิดการระคายแผล เช่น อาหารทอด อาหารเผ็ด อาหารรสเปรี้ยวจัด เครื่องดื่มร้อนๆ และผลไม้ที่มีฤทธิ์เป็นกรด เช่น ส้ม และมะนาว
- รับประทานอาหารอ่อนๆ หรืออาหารที่มีรสจืด หรือรสเย็น เพื่อช่วยลดการระคายเคืองในช่องปาก และช่วยลดอาการเจ็บแผลในช่องปาก เช่น ผักกาดขาว แตงกวา ตำลึง ฟักเขียว ถั่วเขียว เก๊กฮวย อ้อย และใบบัวบก เป็นต้น
- หมั่นออกกำลังกาย เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถผ่อนคลายความเครียดได้ และควรพักผ่อนให้เพียงพอ
- หลีกเลี่ยงการตากแดดจัด เพราะการตากแดดจะทำให้อุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้น
- แปรงฟันทุกครั้งหลังรับประทานอาหารไปแล้วอย่างน้อย 30 นาที และควรใช้ไหมขัดฟันวันละ 1 ครั้งก่อนแปรงฟันก่อนเข้านอนทุกครั้ง
ร้อนในกินเหล้า กินเบียร์ ได้ไหม ?
ระหว่างเป็นร้อนใน ควรเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดอาการระคายเคือง เช่น เหล้า เบียร์ ของทอด บุหรี่ ซึ่งการงดจะช่วยให้แผลร้อนในหายเร็วขึ้น
จากข้อมูลข้างต้นแผลร้อนในเกิดได้จากหลายสาเหตุและหลายปัจจัย ส่วนมากมักเกิดมาจากการดูแลสุขภาพช่องปากที่ไม่ดีพอ การขาดสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุบางอย่าง รวมถึงการพักผ่อนไม่เพียงพอจนนำไปสู่การเกิดแผลร้อนในได้ ดังนั้นการดูแลตนเองและศึกษาวิธีป้องกันไว้เพื่อปรับวิถีชีวิตของตนเองย่อมช่วยลดโอกาสในการเกิดแผลร้อนในในครั้งต่อไปลงได้แน่นอน
อีกสิ่งสำคัญก็คือการหมั่นไปตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากสาเหตุของการเกิดแผลร้อนในบางกรณีมาจากโรคแทรกซ้อนบางชนิด หากเรารู้เท่าทันโรคดังกล่าวและรักษาให้หายอย่างรวดเร็ว เร่งด่วนตามต้องการ หรือสามารถควบคุมอาการได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ความเสี่ยงต่อการเกิดแผลร้อนในก็ย่อมน้อยลงไปด้วยเช่นกัน
ตรวจสอบความถูกต้องโดย ทีมแพทย์ HD