Default fallback image

ข้อควรรู้เกี่ยวกับ ปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ โรคยอดฮิตคนวัยทำงาน

โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ (De Quervain’s Tenosynovitis) เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในกลุ่มคนวัยทำงาน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องใช้ข้อมือและนิ้วหัวแม่มือซ้ำๆ ในชีวิตประจำวัน …บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจ 10 ข้อควรรู้เกี่ยวกับโรคนี้ ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุ อาการ การรักษา รวมถึงข้อมูลสำคัญอื่นๆ ที่ควรรู้

สารบัญ

โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบคืออะไร

โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ (De Quervain’s Tenosynovitis)  เป็นภาวะที่เกิดการอักเสบและบวมของปลอกหุ้มเอ็น (Tendon Sheath) บริเวณ ด้านข้างของข้อมือใกล้โคนนิ้วหัวแม่มือ 

เมื่อปลอกหุ้มเอ็นเกิดการอักเสบ จะทำให้เกิดอาการ ปวด บวม และขยับข้อมือหรือนิ้วหัวแม่มือได้ลำบาก อาการมักรุนแรงขึ้นเมื่อมีการใช้มือทำกิจกรรมที่ต้องกำมือ บิดข้อมือ หรือยกของ

สาเหตุของโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบคืออะไร

โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบมักเกิดจากการใช้งานข้อมือและนิ้วหัวแม่มือซ้ำๆ โดยเฉพาะกิจกรรมที่ต้องจับ ยก บิด หรือบีบสิ่งของเป็นประจำ เช่น

  • การอุ้มทารก (พ่อแม่มือใหม่มักเป็นกันบ่อย)
  • การใช้เมาส์หรือพิมพ์งานนาน ๆ
  • การเล่นกีฬา เช่น เทนนิส กอล์ฟ หรือแบดมินตัน
  • การทำงานบ้าน เช่น บิดผ้า กวาดถูพื้น

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่

  • เพศและอายุ: มักพบในผู้หญิงวัย 30-50 ปีมากกว่าผู้ชาย
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน: พบในหญิงตั้งครรภ์หรือหลังคลอด
  • โรคข้ออักเสบ: เช่น โรคข้อรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis)

อาการของโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบมีอะไรบ้าง

ผู้ป่วยโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ มักจะมีอาการ ดังต่อไปนี้

  1. ปวดและบวมบริเวณโคนนิ้วหัวแม่มือและข้อมือด้านข้าง
  2. ปวดมากขึ้นเมื่อขยับข้อมือ หยิบจับสิ่งของ หรือกำมือแน่นๆ
  3. อาจมีเสียงดังกึก (Crepitus) เวลาขยับข้อมือหรือนิ้วหัวแม่มือ
  4. อาจปวดร้าวไปถึงแขนหรือปลายนิ้วได้ในบางราย
  5. ข้อมืออาจรู้สึกแข็งตึง หรือเคลื่อนไหวลำบาก

วิธีการทดสอบโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบเบื้องต้น

วิธีการทดสอบเพื่อวินิจฉัยโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบเบื้องต้น ทำได้ด้วย “Finkelstein Test” โดยกำมือโดยให้นิ้วหัวแม่มืออยู่ในอุ้งมือ จากนั้นค่อยๆ งอข้อมือลงไปทางนิ้วก้อย หากมีอาการปวดรุนแรงแสดงว่ามีโอกาสเป็นโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ

โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบหายเองได้ไหม

โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบอาจหายเองได้ในบางกรณี โดยเฉพาะหากเป็นระยะเริ่มต้นและผู้ป่วย สามารถลดหรือหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้เกิดการอักเสบ เช่น หยุดใช้ข้อมือหนักๆ หรืองดทำกิจกรรมที่ต้องกำมือหรือบิดข้อมือซ้ำๆ 

อย่างไรก็ตาม อาการมักไม่หายขาดหากยังคงใช้งานมือในลักษณะเดิม ซึ่งอาจทำให้การอักเสบรุนแรงขึ้นและกลายเป็นอาการเรื้อรัง

ปัจจัยไหนที่ทำให้อาการหายเองได้

ในบางกรณีโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบสามารถหายเองได้ โดยมีปัจจัยดังนี้

  • ระยะของโรค หากอยู่ในระยะเริ่มต้น การพักการใช้งานมืออาจช่วยให้อาการดีขึ้น
  • ระดับความรุนแรง อาการปวดเล็กน้อย หรือเป็นๆ หายๆ อาจดีขึ้นเอง แต่ถ้าปวดต่อเนื่องหรือมีอาการบวมชัดเจน โอกาสหายเองจะลดลง
  • การลดพฤติกรรมเสี่ยง หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่กระตุ้นอาการ เช่น การอุ้มลูกนานๆ การใช้โทรศัพท์มือถือ โดยใช้นิ้วโป้งกดหน้าจอมากเกินไป
  • สภาพร่างกายโดยรวม ผู้ที่มีระบบฟื้นฟูร่างกายดี หรือไม่มีโรคร่วม เช่น เบาหวาน หรือโรคข้ออักเสบ อาจมีโอกาสหายเองได้มากกว่าคนที่มีโรคประจำตัว

หากทำตามวิธีข้างต้นแล้วยังไม่ดีขึ้น หรือมีอาการรุนแรงขึ้น ควรพบแพทย์เพื่อรักษาด้วยวิธีอื่นๆ

โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ จำเป็นต้องใส่เฝือกไหม

การใส่เฝือก เป็นหนึ่งในวิธีรักษาหลักของโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ โดยเฉพาะในกรณีที่อาการยังไม่รุนแรงมาก และยังไม่ถึงขั้นต้องฉีดยาสเตียรอยด์หรือผ่าตัด

แพทย์มักจะแนะนำให้ใส่เฝือก ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการปวดหรือบวมที่ข้อมือใกล้โคนนิ้วหัวแม่มือ ขยับข้อมือหรือใช้นิ้วหัวแม่มือแล้วรู้สึกปวดมาก และต้องการป้องกันการขยับของเอ็นที่อักเสบ เพื่อให้หายเร็วขึ้น

ผู้ป่วยต้องใส่เฝือกต่อเนื่อง 2-4 สัปดาห์ โดยเฉพาะตอนกลางวัน หรือเวลาทำกิจกรรมที่ต้องใช้มือ และสามารถถอดออกช่วงพักหรือเวลานอน ถ้าไม่มีอาการปวดมาก

การรักษาโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบมีวิธีใดบ้าง

การรักษาขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของอาการ โดยแบ่งเป็นการรักษาแบบไม่ต้องผ่าตัด และ การรักษาโดยการผ่าตัด

1. การรักษาแบบไม่ต้องผ่าตัด (Non-Surgical Treatment) 

มักเป็นทางเลือกแรกในการรักษา และช่วยให้อาการดีขึ้นในหลายกรณี

    • การพักการใช้งานข้อมือ โดยหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้ข้อมือทำงานหนัก เช่น กำมือ บิดข้อมือ หรือยกของหนัก รวมทั้งลดการใช้มือทำกิจกรรมที่ต้องออกแรง เช่น พิมพ์งาน ใช้โทรศัพท์มือถือ หรือเล่นกีฬา
  • การใส่เฝือกหรือสายรัดข้อมือ แพทย์อาจพิจารณาให้ผู้ป่วยใส่ เฝือกที่ช่วยพยุงข้อมือและนิ้วหัวแม่มือ เพื่อลดการเคลื่อนไหวของเอ็นที่อักเสบ เป็นระยะเวลา 2-4 สัปดาห์ 
  • การประคบเย็น การใช้เจลเย็นหรือผ้าห่อน้ำแข็งประคบบริเวณข้อมือ ครั้งละ 15-20 นาที วันละ 2-3 ครั้ง จะช่วยลดอาการบวมและอักเสบ
    • การใช้ยาแก้ปวดและต้านการอักเสบ แพทย์มักจ่ายยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) นาโพรเซน (Naproxen) เพื่อลดอาการปวดและอักเสบ
  • การทำกายภาพบำบัด เช่น ยืดกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น เพื่อลดอาการตึงและเพิ่มความยืดหยุ่น ฝึกการใช้งานข้อมืออย่างถูกต้อง ป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
  • การฉีดยาสเตียรอยด์ เป็นวิธีที่ช่วยลดการอักเสบเฉพาะที่ได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะในกรณีที่อาการไม่ดีขึ้นหลังจากใช้วิธีอื่น แต่อาจต้องฉีดซ้ำหากอาการกลับมาเป็นอีก

2. การรักษาโดยการผ่าตัด (Surgical Treatment) 

หากการรักษาแบบไม่ต้องผ่าตัดไม่ได้ผล และอาการยังคงรุนแรงต่อเนื่อง แพทย์อาจพิจารณาการผ่าตัดปลอกหุ้มเอ็น (De Quervain’s Release Surgery)

สำหรับการผ่าตัด ศัลยแพทย์จะผ่าตัดเปิดปลอกหุ้มเอ็น เพื่อลดแรงกดที่เอ็น APL และ EPB ซึ่งเป็นการผ่าตัดเล็ก ใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที และสามารถกลับบ้านได้ในวันเดียวกัน และฟื้นตัวภายใน 4-6 สัปดาห์ และต้องทำกายภาพบำบัดเพื่อป้องกันข้อมือติดแข็ง

การนวดรักษาโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบได้ไหม

การนวดอาจช่วยบรรเทาอาการได้ในบางกรณี แต่ต้องทำอย่างถูกวิธี เพราะหากนวดแรงเกินไปหรือนวดผิดตำแหน่ง อาจทำให้อาการแย่ลงได้

การนวดที่อาจช่วยบรรเทาอาการได้

การนวดเบาๆ ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ลดอาการตึงของกล้ามเนื้อรอบๆ บริเวณข้อมือ และช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้น ได้แก่

  • การนวดแบบกดจุด ใช้นิ้วกดเบาๆ บริเวณข้อมือใกล้โคนนิ้วหัวแม่มือ กดค้างไว้ 5-10 วินาที แล้วปล่อย ทำซ้ำ 3-5 ครั้ง
  • การนวดด้วยน้ำมันหรือบาล์มสมุนไพร เช่น น้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันหอมระเหย นวดเป็นวงกลมเบาๆ บริเวณที่ปวด 3-5 นาที
  • การนวดระบายน้ำเหลือง โดยใช้มือรูดขึ้นจากข้อมือไปทางแขน เพื่อช่วยลดอาการบวม

การนวดที่ควรหลีกเลี่ยง

  • ห้ามนวดแรงเกินไป เพราะอาจทำให้การอักเสบแย่ลง
  • ห้ามนวดบริเวณที่ปวดมากหรือมีอาการบวมแดง เพราะอาจทำให้เกิดอาการอักเสบเพิ่มขึ้น
  • ไม่ควรบิดหรือหักข้อมือขณะนวด เพราะอาจกระตุ้นอาการปวด

หากอาการปวดไม่ดีขึ้นหรือมีอาการบวมมาก ควรใช้วิธีอื่นร่วม เช่น การพักการใช้งานข้อมือ ใส่เฝือก หรือกายภาพบำบัด เพื่อช่วยให้หายเร็วขึ้น

โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบต้องใช้เวลารักษานานแค่ไหน

การรักษาโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ และวิธีการรักษาที่ใช้ โดยทั่วไปแล้วอาการสามารถดีขึ้นได้ภายใน 2-4 สัปดาห์ หากรักษาเบื้องต้นและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด แต่ในบางกรณีอาจใช้เวลานานกว่านั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น

  1. กรณีอาการเบา (Mild Case) หากอาการไม่รุนแรงและได้ปฏิบัติตามการรักษาพื้นฐาน เช่น พักการใช้งานข้อมือ ใส่เฝือก และประคบเย็น อาการสามารถดีขึ้นได้ภายใน 2-4 สัปดาห์ ผู้ป่วยอาจไม่ต้องใช้ยา หรือการรักษาด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์
  2. กรณีอาการปานกลาง (Moderate Case) หากอาการปวดและบวมยังคงมีอยู่หลังจากการรักษาพื้นฐาน การใช้ยาแก้ปวด หรือการฉีดยาสเตียรอยด์ อาจช่วยลดอาการได้ อาการอาจดีขึ้นภายใน 4-6 สัปดาห์ หากยังไม่ดีขึ้นหลังจากนี้ ควรพิจารณากายภาพบำบัดหรือการรักษาเพิ่มเติม
  3. กรณีอาการรุนแรง (Severe Case) หากอาการไม่ดีขึ้นหลังจากการรักษาเบื้องต้น และมีอาการเรื้อรังหรือปวดมาก แพทย์อาจพิจารณาการผ่าตัด De Quervain’s Release Surgery เพื่อคลายปลอกหุ้มเอ็นที่ถูกกดทับ การฟื้นตัวหลังผ่าตัดมักใช้เวลา 6-8 สัปดาห์ โดยต้องทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูข้อมือให้กลับมาเคลื่อนไหวได้ตามปกติ

โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบจำเป็นต้องผ่าตัดหรือไม่

การผ่าตัดเป็นทางเลือกสุดท้ายที่ใช้เมื่อวิธีการรักษาอื่นๆ เช่น การพักการใช้งานข้อมือ การใช้ยา หรือการฉีดยาสเตียรอยด์ ไม่สามารถบรรเทาอาการได้ หรืออาการยังคงอยู่เป็นเวลานาน โดยทั่วไปแล้วแพทย์จะพิจารณาการผ่าตัด ในกรณีต่อไปนี้

    • อาการเรื้อรัง ผู้ป่วยยังคงมีอาการ แม้จะรักษาเบื้องต้นไปแล้วเป็นระยะเวลานาน เช่น การพักการใช้งานข้อมือ การใส่เฝือก การประคบเย็น หรือการใช้ยา แต่ยังไม่ดีขึ้นในระยะเวลา 2-3 เดือน
    • อาการปวดรุนแรง ผู้ป่วยมีอาการปวดไม่ทุเลาลง และมีผลกระทบต่อกิจกรรมประจำวัน เช่น ไม่สามารถใช้มือทำงานหรือทำกิจกรรมที่ปกติได้เลย
    • การใช้การฉีดยาสเตียรอยด์ไม่ได้ผล เมื่อผู้ป่วยได้รับการฉีดยาสเตียรอยด์แล้ว แต่อาการยังคงกลับมาอีกหลังจากเวลาผ่านไป หรือเกิดผลข้างเคียงจากการฉีดยา
    • ความผิดปกติจากการอักเสบ เมื่อการอักเสบทำให้เกิดอาการบวม หรือทำให้ข้อมือเคลื่อนไหวได้ลำบาก จนกระทบต่อการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น ไม่สามารถจับสิ่งของหรือทำงานได้ตามปกติ

การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดควรทำอย่างไร

การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะจะทำให้การผ่าตัดเป็นไปอย่างราบรื่นและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น 

  1. แจ้งแพทย์เกี่ยวกับประวัติการแพ้ยา โรคประจำตัว และยาที่กำลังใช้ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน รวมทั้งสอบถามเกี่ยวกับขั้นตอนการผ่าตัดและการฟื้นตัวหลังการผ่าตัด
  2. ผู้ป่วยอาจต้องตรวจสุขภาพทั่วไป เช่น ตรวจเลือด หรือตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) หากมีอาการเสี่ยงหรือโรคประจำตัว
  3. หากกำลังใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน หรือยาในกลุ่ม NSAIDs (ยาต้านการอักเสบ) ควรหยุดใช้ตามคำแนะนำของแพทย์ประมาณ 1-2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด
  4. ผู้ป่วยควรวางแผนเรื่องการเดินทาง โดยแนะนำให้มีผู้ติดตามมาช่วยขับรถกลับบ้านหลังการผ่าตัด

การดูแลหลังการผ่าตัดควรทำอย่างไร

หลังการผ่าตัดผู้ป่วยควรดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อให้การฟื้นตัวเป็นไปได้ดี และลดความเสี่ยงจากการเกิดภาวะแทรกซ้อน วิธีการดูแลตัวเอง มีดังนี้

  1. หลังการผ่าตัด ผู้ป่วยมักจะต้องใส่เฝือกหรือสายรัดข้อมือ เพื่อจำกัดการเคลื่อนไหว โดยแพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับระยะเวลาที่เหมาะสมในการใส่เฝือก หรือสายรัดข้อมือ ส่วนใหญ่มักจะใส่ประมาณ 2-4 สัปดาห์
  2. ในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังการผ่าตัด ผู้ป่วยควรประคบเย็นบริเวณที่ผ่าตัด เพื่อลดอาการบวมและปวด โดยประคบประมาณ 15-20 นาที แล้วเว้นห่าง 1-2 ชั่วโมง
  3. แพทย์อาจจ่ายยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล หรือ NSAID) เพื่อบรรเทาอาการปวดหลังการผ่าตัด โดยให้ผู้ป่วยใช้ยาเฉพาะเมื่อจำเป็น และตามคำแนะนำของแพทย์
  4. ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการใช้งานข้อมือหนักๆ เช่น ยกของหนัก หรือทำงานที่ใช้ข้อมือมากในช่วง 2-4 สัปดาห์แรกหลังผ่าตัด
  5. ควรไปพบแพทย์ตามนัด เพื่อตรวจแผลผ่าตัดและประเมินความคืบหน้าในการฟื้นตัว

การฟื้นฟูหลังการผ่าตัดใช้เวลานานแค่ไหน

  • การฟื้นฟูในระยะแรก (1-2 สัปดาห์แรก) หลังจากที่แผลผ่าตัดหายดีพอสมควร แพทย์อาจแนะนำให้เริ่มยืดข้อมือเบาๆ หรือเคลื่อนไหวข้อมือ เพื่อลดการเกร็งของกล้ามเนื้อ
  • การทำกายภาพบำบัด (หลัง 2 สัปดาห์) หลังจากที่แผลหายแล้ว แพทย์อาจแนะนำให้ทำกายภาพบำบัด เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของข้อมือ และอาจให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวข้อมือและออกกำลังกาย เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อที่แข็งแรง
  • การฟื้นฟูในระยะยาว (4-6 สัปดาห์) ขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของแต่ละบุคคล โดยทั่วไปแล้วผู้ป่วยจะเริ่มทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติหลังจาก 6-8 สัปดาห์

หลังการผ่าตัดจะกลับมาเป็นปกติหรือไม่

หลังการผ่าตัดโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะกลับมาเคลื่อนไหวข้อมือและทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ แต่การฟื้นฟูอาจต้องใช้เวลาและการดูแลที่เหมาะสม เช่น การทำกายภาพบำบัด การหลีกเลี่ยงกิจกรรมหนัก และการพักข้อมือหลังผ่าตัด

ผู้ป่วยมักจะมีอาการดีขึ้นในระยะเวลา 6-8 สัปดาห์ โดยส่วนใหญ่จะสามารถกลับมาใช้ข้อมือได้ตามปกติภายในระยะเวลานี้ หลังจากที่แผลผ่าตัดหายดีและมีการฟื้นฟูข้อมืออย่างเต็มที่

อย่างไรก็ตาม หากมีอาการรุนแรง การฟื้นตัวอาจใช้เวลานานกว่าปกติ หากกลับมามีอาการอีกครั้งหรือฟื้นตัวช้า แพทย์อาจพิจารณาการรักษาเพิ่มเติม เช่น การทำกายภาพบำบัดที่เข้มข้น หรือในกรณีที่หายไม่ดี อาจมีการผ่าตัดซ้ำ

โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบแตกต่างจากนิ้วล็อกอย่างไร

โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบและ นิ้วล็อก เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับเอ็นและข้อต่อของมือ แต่มีความแตกต่างในลักษณะของอาการและตำแหน่งที่ได้รับผลกระทบ ดังนี้

1. ตำแหน่งที่ได้รับผลกระทบ

  • โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ เกิดบริเวณข้อมือ โดยเฉพาะที่ปลอกหุ้มเอ็น ใกล้โคนนิ้วหัวแม่มือ ทำให้เกิดอาการปวด บวม และมีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหวของข้อมือและนิ้วหัวแม่มือ
  • นิ้วล็อก: เกิดที่นิ้วมือ โดยเฉพาะที่ปลอกหุ้มเอ็นของนิ้วมือ ซึ่งทำให้เอ็นที่ช่วยในการขยับนิ้วติดขัดหรือหลุดออกจากที่ปกติ จนเกิดอาการนิ้วล็อกหรือนิ้วติด ไม่สามารถยืดหรืองอนิ้วได้ตามปกติ

2. อาการหลัก

  • โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดบริเวณข้อมือและนิ้วหัวแม่มือ โดยเฉพาะเมื่อมีการขยับข้อมือ หรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้มือ เช่น การจับของ และอาจมีอาการบวมในบริเวณดังกล่าว  บางครั้งอาการปวดอาจร้าวไปที่แขน
  • นิ้วล็อก นิ้วมือจะติดล็อกในท่าใดท่าหนึ่ง ต้องใช้แรงดึงเพื่อให้กลับมาเป็นปกติ อาจมีอาการปวดที่ฐานของนิ้วมือ และเกิดการบวมที่บริเวณดังกล่าว

3. สาเหตุ

  • โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ เกิดจากการใช้ข้อมือหรือการเคลื่อนไหวซ้ำๆ ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบที่ปลอกหุ้มเอ็น
  • นิ้วล็อก เกิดจากการอักเสบของปลอกหุ้มเอ็นในนิ้วมือ ทำให้เกิดการยึดติดหรือการตึงของเอ็นที่ใช้ในการเคลื่อนไหว

4. การรักษา

  • โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ รักษาโดยการพักการใช้งานข้อมือ ใช้ยาแก้ปวดและลดการอักเสบ การฉีดยาสเตียรอยด์ หรือในกรณีที่รุนแรงอาจจำเป็นต้องผ่าตัด
  • นิ้วล็อก รักษาโดยการใช้เฝือกหรือการทำกายภาพบำบัด การฉีดยาสเตียรอยด์ หรือในกรณีที่รุนแรง อาจต้องผ่าตัดเพื่อคลายปลอกหุ้มเอ็น

การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบจะช่วยให้คุณสามารถป้องกันและจัดการกับโรคได้ดียิ่งขึ้น หากเริ่มมีอาการผิดปกติ อย่าปล่อยทิ้งไว้ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรักษาอย่างเหมาะสม การรักษาที่รวดเร็วจะช่วยลดความเจ็บปวดและป้องกันไม่ให้โรคลุกลามไปสู่ภาวะที่รุนแรงมากขึ้น 

ยังมีข้อสงสัยเพิ่มเติมใช่ไหม? ไม่รู้จะปรึกษาใครดี ปรึกษาทีม HDcare ได้เลย เราพร้อมเป็นผู้ช่วยส่วนตัวดูแลสุขภาพคุณ สอบถามข้อมูลเบื้องต้นกับคุณหมอเฉพาะทาง ทำนัดปรึกษาคุณหมอได้รวดเร็ว หรือค้นหาแพ็กเกจรักษาโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ จาก รพ. หรือคลินิกใกล้คุณได้ทันที คลิกที่นี่เลย

Scroll to Top