โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ (De Quervain’s Tenosynovitis) เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในกลุ่มคนวัยทำงาน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องใช้ข้อมือและนิ้วหัวแม่มือซ้ำๆ ในชีวิตประจำวัน …บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจ 10 ข้อควรรู้เกี่ยวกับโรคนี้ ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุ อาการ การรักษา รวมถึงข้อมูลสำคัญอื่นๆ ที่ควรรู้
สารบัญ
- โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบคืออะไร
- สาเหตุของโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบคืออะไร
- อาการของโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบมีอะไรบ้าง
- วิธีการทดสอบโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบเบื้องต้น
- โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบหายเองได้ไหม
- ปัจจัยไหนที่ทำให้อาการหายเองได้
- โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ จำเป็นต้องใส่เฝือกไหม
- การรักษาโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบมีวิธีใดบ้าง
- การนวดรักษาโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบได้ไหม
- โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบต้องใช้เวลารักษานานแค่ไหน
- โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบจำเป็นต้องผ่าตัดหรือไม่
- การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดควรทำอย่างไร
- การดูแลหลังการผ่าตัดควรทำอย่างไร
- การฟื้นฟูหลังการผ่าตัดใช้เวลานานแค่ไหน
- หลังการผ่าตัดจะกลับมาเป็นปกติหรือไม่
- โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบแตกต่างจากนิ้วล็อกอย่างไร
โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบคืออะไร
โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ (De Quervain’s Tenosynovitis) เป็นภาวะที่เกิดการอักเสบและบวมของปลอกหุ้มเอ็น (Tendon Sheath) บริเวณ ด้านข้างของข้อมือใกล้โคนนิ้วหัวแม่มือ
เมื่อปลอกหุ้มเอ็นเกิดการอักเสบ จะทำให้เกิดอาการ ปวด บวม และขยับข้อมือหรือนิ้วหัวแม่มือได้ลำบาก อาการมักรุนแรงขึ้นเมื่อมีการใช้มือทำกิจกรรมที่ต้องกำมือ บิดข้อมือ หรือยกของ
สาเหตุของโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบคืออะไร
โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบมักเกิดจากการใช้งานข้อมือและนิ้วหัวแม่มือซ้ำๆ โดยเฉพาะกิจกรรมที่ต้องจับ ยก บิด หรือบีบสิ่งของเป็นประจำ เช่น
- การอุ้มทารก (พ่อแม่มือใหม่มักเป็นกันบ่อย)
- การใช้เมาส์หรือพิมพ์งานนาน ๆ
- การเล่นกีฬา เช่น เทนนิส กอล์ฟ หรือแบดมินตัน
- การทำงานบ้าน เช่น บิดผ้า กวาดถูพื้น
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่
- เพศและอายุ: มักพบในผู้หญิงวัย 30-50 ปีมากกว่าผู้ชาย
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน: พบในหญิงตั้งครรภ์หรือหลังคลอด
- โรคข้ออักเสบ: เช่น โรคข้อรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis)
อาการของโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบมีอะไรบ้าง
ผู้ป่วยโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ มักจะมีอาการ ดังต่อไปนี้
- ปวดและบวมบริเวณโคนนิ้วหัวแม่มือและข้อมือด้านข้าง
- ปวดมากขึ้นเมื่อขยับข้อมือ หยิบจับสิ่งของ หรือกำมือแน่นๆ
- อาจมีเสียงดังกึก (Crepitus) เวลาขยับข้อมือหรือนิ้วหัวแม่มือ
- อาจปวดร้าวไปถึงแขนหรือปลายนิ้วได้ในบางราย
- ข้อมืออาจรู้สึกแข็งตึง หรือเคลื่อนไหวลำบาก
วิธีการทดสอบโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบเบื้องต้น
วิธีการทดสอบเพื่อวินิจฉัยโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบเบื้องต้น ทำได้ด้วย “Finkelstein Test” โดยกำมือโดยให้นิ้วหัวแม่มืออยู่ในอุ้งมือ จากนั้นค่อยๆ งอข้อมือลงไปทางนิ้วก้อย หากมีอาการปวดรุนแรงแสดงว่ามีโอกาสเป็นโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ
โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบหายเองได้ไหม
โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบอาจหายเองได้ในบางกรณี โดยเฉพาะหากเป็นระยะเริ่มต้นและผู้ป่วย สามารถลดหรือหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้เกิดการอักเสบ เช่น หยุดใช้ข้อมือหนักๆ หรืองดทำกิจกรรมที่ต้องกำมือหรือบิดข้อมือซ้ำๆ
อย่างไรก็ตาม อาการมักไม่หายขาดหากยังคงใช้งานมือในลักษณะเดิม ซึ่งอาจทำให้การอักเสบรุนแรงขึ้นและกลายเป็นอาการเรื้อรัง
ปัจจัยไหนที่ทำให้อาการหายเองได้
ในบางกรณีโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบสามารถหายเองได้ โดยมีปัจจัยดังนี้
- ระยะของโรค หากอยู่ในระยะเริ่มต้น การพักการใช้งานมืออาจช่วยให้อาการดีขึ้น
- ระดับความรุนแรง อาการปวดเล็กน้อย หรือเป็นๆ หายๆ อาจดีขึ้นเอง แต่ถ้าปวดต่อเนื่องหรือมีอาการบวมชัดเจน โอกาสหายเองจะลดลง
- การลดพฤติกรรมเสี่ยง หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่กระตุ้นอาการ เช่น การอุ้มลูกนานๆ การใช้โทรศัพท์มือถือ โดยใช้นิ้วโป้งกดหน้าจอมากเกินไป
- สภาพร่างกายโดยรวม ผู้ที่มีระบบฟื้นฟูร่างกายดี หรือไม่มีโรคร่วม เช่น เบาหวาน หรือโรคข้ออักเสบ อาจมีโอกาสหายเองได้มากกว่าคนที่มีโรคประจำตัว
หากทำตามวิธีข้างต้นแล้วยังไม่ดีขึ้น หรือมีอาการรุนแรงขึ้น ควรพบแพทย์เพื่อรักษาด้วยวิธีอื่นๆ
โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ จำเป็นต้องใส่เฝือกไหม
การใส่เฝือก เป็นหนึ่งในวิธีรักษาหลักของโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ โดยเฉพาะในกรณีที่อาการยังไม่รุนแรงมาก และยังไม่ถึงขั้นต้องฉีดยาสเตียรอยด์หรือผ่าตัด
แพทย์มักจะแนะนำให้ใส่เฝือก ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการปวดหรือบวมที่ข้อมือใกล้โคนนิ้วหัวแม่มือ ขยับข้อมือหรือใช้นิ้วหัวแม่มือแล้วรู้สึกปวดมาก และต้องการป้องกันการขยับของเอ็นที่อักเสบ เพื่อให้หายเร็วขึ้น
ผู้ป่วยต้องใส่เฝือกต่อเนื่อง 2-4 สัปดาห์ โดยเฉพาะตอนกลางวัน หรือเวลาทำกิจกรรมที่ต้องใช้มือ และสามารถถอดออกช่วงพักหรือเวลานอน ถ้าไม่มีอาการปวดมาก
การรักษาโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบมีวิธีใดบ้าง
การรักษาขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของอาการ โดยแบ่งเป็นการรักษาแบบไม่ต้องผ่าตัด และ การรักษาโดยการผ่าตัด
1. การรักษาแบบไม่ต้องผ่าตัด (Non-Surgical Treatment)
มักเป็นทางเลือกแรกในการรักษา และช่วยให้อาการดีขึ้นในหลายกรณี
-
- การพักการใช้งานข้อมือ โดยหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้ข้อมือทำงานหนัก เช่น กำมือ บิดข้อมือ หรือยกของหนัก รวมทั้งลดการใช้มือทำกิจกรรมที่ต้องออกแรง เช่น พิมพ์งาน ใช้โทรศัพท์มือถือ หรือเล่นกีฬา
- การใส่เฝือกหรือสายรัดข้อมือ แพทย์อาจพิจารณาให้ผู้ป่วยใส่ เฝือกที่ช่วยพยุงข้อมือและนิ้วหัวแม่มือ เพื่อลดการเคลื่อนไหวของเอ็นที่อักเสบ เป็นระยะเวลา 2-4 สัปดาห์
- การประคบเย็น การใช้เจลเย็นหรือผ้าห่อน้ำแข็งประคบบริเวณข้อมือ ครั้งละ 15-20 นาที วันละ 2-3 ครั้ง จะช่วยลดอาการบวมและอักเสบ
-
- การใช้ยาแก้ปวดและต้านการอักเสบ แพทย์มักจ่ายยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) นาโพรเซน (Naproxen) เพื่อลดอาการปวดและอักเสบ
- การทำกายภาพบำบัด เช่น ยืดกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น เพื่อลดอาการตึงและเพิ่มความยืดหยุ่น ฝึกการใช้งานข้อมืออย่างถูกต้อง ป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
- การฉีดยาสเตียรอยด์ เป็นวิธีที่ช่วยลดการอักเสบเฉพาะที่ได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะในกรณีที่อาการไม่ดีขึ้นหลังจากใช้วิธีอื่น แต่อาจต้องฉีดซ้ำหากอาการกลับมาเป็นอีก
2. การรักษาโดยการผ่าตัด (Surgical Treatment)
หากการรักษาแบบไม่ต้องผ่าตัดไม่ได้ผล และอาการยังคงรุนแรงต่อเนื่อง แพทย์อาจพิจารณาการผ่าตัดปลอกหุ้มเอ็น (De Quervain’s Release Surgery)
สำหรับการผ่าตัด ศัลยแพทย์จะผ่าตัดเปิดปลอกหุ้มเอ็น เพื่อลดแรงกดที่เอ็น APL และ EPB ซึ่งเป็นการผ่าตัดเล็ก ใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที และสามารถกลับบ้านได้ในวันเดียวกัน และฟื้นตัวภายใน 4-6 สัปดาห์ และต้องทำกายภาพบำบัดเพื่อป้องกันข้อมือติดแข็ง
การนวดรักษาโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบได้ไหม
การนวดอาจช่วยบรรเทาอาการได้ในบางกรณี แต่ต้องทำอย่างถูกวิธี เพราะหากนวดแรงเกินไปหรือนวดผิดตำแหน่ง อาจทำให้อาการแย่ลงได้
การนวดที่อาจช่วยบรรเทาอาการได้
การนวดเบาๆ ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ลดอาการตึงของกล้ามเนื้อรอบๆ บริเวณข้อมือ และช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้น ได้แก่
- การนวดแบบกดจุด ใช้นิ้วกดเบาๆ บริเวณข้อมือใกล้โคนนิ้วหัวแม่มือ กดค้างไว้ 5-10 วินาที แล้วปล่อย ทำซ้ำ 3-5 ครั้ง
- การนวดด้วยน้ำมันหรือบาล์มสมุนไพร เช่น น้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันหอมระเหย นวดเป็นวงกลมเบาๆ บริเวณที่ปวด 3-5 นาที
- การนวดระบายน้ำเหลือง โดยใช้มือรูดขึ้นจากข้อมือไปทางแขน เพื่อช่วยลดอาการบวม
การนวดที่ควรหลีกเลี่ยง
- ห้ามนวดแรงเกินไป เพราะอาจทำให้การอักเสบแย่ลง
- ห้ามนวดบริเวณที่ปวดมากหรือมีอาการบวมแดง เพราะอาจทำให้เกิดอาการอักเสบเพิ่มขึ้น
- ไม่ควรบิดหรือหักข้อมือขณะนวด เพราะอาจกระตุ้นอาการปวด
หากอาการปวดไม่ดีขึ้นหรือมีอาการบวมมาก ควรใช้วิธีอื่นร่วม เช่น การพักการใช้งานข้อมือ ใส่เฝือก หรือกายภาพบำบัด เพื่อช่วยให้หายเร็วขึ้น
โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบต้องใช้เวลารักษานานแค่ไหน
การรักษาโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ และวิธีการรักษาที่ใช้ โดยทั่วไปแล้วอาการสามารถดีขึ้นได้ภายใน 2-4 สัปดาห์ หากรักษาเบื้องต้นและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด แต่ในบางกรณีอาจใช้เวลานานกว่านั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น
- กรณีอาการเบา (Mild Case) หากอาการไม่รุนแรงและได้ปฏิบัติตามการรักษาพื้นฐาน เช่น พักการใช้งานข้อมือ ใส่เฝือก และประคบเย็น อาการสามารถดีขึ้นได้ภายใน 2-4 สัปดาห์ ผู้ป่วยอาจไม่ต้องใช้ยา หรือการรักษาด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์
- กรณีอาการปานกลาง (Moderate Case) หากอาการปวดและบวมยังคงมีอยู่หลังจากการรักษาพื้นฐาน การใช้ยาแก้ปวด หรือการฉีดยาสเตียรอยด์ อาจช่วยลดอาการได้ อาการอาจดีขึ้นภายใน 4-6 สัปดาห์ หากยังไม่ดีขึ้นหลังจากนี้ ควรพิจารณากายภาพบำบัดหรือการรักษาเพิ่มเติม
- กรณีอาการรุนแรง (Severe Case) หากอาการไม่ดีขึ้นหลังจากการรักษาเบื้องต้น และมีอาการเรื้อรังหรือปวดมาก แพทย์อาจพิจารณาการผ่าตัด De Quervain’s Release Surgery เพื่อคลายปลอกหุ้มเอ็นที่ถูกกดทับ การฟื้นตัวหลังผ่าตัดมักใช้เวลา 6-8 สัปดาห์ โดยต้องทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูข้อมือให้กลับมาเคลื่อนไหวได้ตามปกติ
โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบจำเป็นต้องผ่าตัดหรือไม่
การผ่าตัดเป็นทางเลือกสุดท้ายที่ใช้เมื่อวิธีการรักษาอื่นๆ เช่น การพักการใช้งานข้อมือ การใช้ยา หรือการฉีดยาสเตียรอยด์ ไม่สามารถบรรเทาอาการได้ หรืออาการยังคงอยู่เป็นเวลานาน โดยทั่วไปแล้วแพทย์จะพิจารณาการผ่าตัด ในกรณีต่อไปนี้
-
- อาการเรื้อรัง ผู้ป่วยยังคงมีอาการ แม้จะรักษาเบื้องต้นไปแล้วเป็นระยะเวลานาน เช่น การพักการใช้งานข้อมือ การใส่เฝือก การประคบเย็น หรือการใช้ยา แต่ยังไม่ดีขึ้นในระยะเวลา 2-3 เดือน
- อาการปวดรุนแรง ผู้ป่วยมีอาการปวดไม่ทุเลาลง และมีผลกระทบต่อกิจกรรมประจำวัน เช่น ไม่สามารถใช้มือทำงานหรือทำกิจกรรมที่ปกติได้เลย
- การใช้การฉีดยาสเตียรอยด์ไม่ได้ผล เมื่อผู้ป่วยได้รับการฉีดยาสเตียรอยด์แล้ว แต่อาการยังคงกลับมาอีกหลังจากเวลาผ่านไป หรือเกิดผลข้างเคียงจากการฉีดยา
- ความผิดปกติจากการอักเสบ เมื่อการอักเสบทำให้เกิดอาการบวม หรือทำให้ข้อมือเคลื่อนไหวได้ลำบาก จนกระทบต่อการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น ไม่สามารถจับสิ่งของหรือทำงานได้ตามปกติ
การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดควรทำอย่างไร
การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะจะทำให้การผ่าตัดเป็นไปอย่างราบรื่นและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
- แจ้งแพทย์เกี่ยวกับประวัติการแพ้ยา โรคประจำตัว และยาที่กำลังใช้ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน รวมทั้งสอบถามเกี่ยวกับขั้นตอนการผ่าตัดและการฟื้นตัวหลังการผ่าตัด
- ผู้ป่วยอาจต้องตรวจสุขภาพทั่วไป เช่น ตรวจเลือด หรือตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) หากมีอาการเสี่ยงหรือโรคประจำตัว
- หากกำลังใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน หรือยาในกลุ่ม NSAIDs (ยาต้านการอักเสบ) ควรหยุดใช้ตามคำแนะนำของแพทย์ประมาณ 1-2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด
- ผู้ป่วยควรวางแผนเรื่องการเดินทาง โดยแนะนำให้มีผู้ติดตามมาช่วยขับรถกลับบ้านหลังการผ่าตัด
การดูแลหลังการผ่าตัดควรทำอย่างไร
หลังการผ่าตัดผู้ป่วยควรดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อให้การฟื้นตัวเป็นไปได้ดี และลดความเสี่ยงจากการเกิดภาวะแทรกซ้อน วิธีการดูแลตัวเอง มีดังนี้
- หลังการผ่าตัด ผู้ป่วยมักจะต้องใส่เฝือกหรือสายรัดข้อมือ เพื่อจำกัดการเคลื่อนไหว โดยแพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับระยะเวลาที่เหมาะสมในการใส่เฝือก หรือสายรัดข้อมือ ส่วนใหญ่มักจะใส่ประมาณ 2-4 สัปดาห์
- ในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังการผ่าตัด ผู้ป่วยควรประคบเย็นบริเวณที่ผ่าตัด เพื่อลดอาการบวมและปวด โดยประคบประมาณ 15-20 นาที แล้วเว้นห่าง 1-2 ชั่วโมง
- แพทย์อาจจ่ายยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล หรือ NSAID) เพื่อบรรเทาอาการปวดหลังการผ่าตัด โดยให้ผู้ป่วยใช้ยาเฉพาะเมื่อจำเป็น และตามคำแนะนำของแพทย์
- ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการใช้งานข้อมือหนักๆ เช่น ยกของหนัก หรือทำงานที่ใช้ข้อมือมากในช่วง 2-4 สัปดาห์แรกหลังผ่าตัด
- ควรไปพบแพทย์ตามนัด เพื่อตรวจแผลผ่าตัดและประเมินความคืบหน้าในการฟื้นตัว
การฟื้นฟูหลังการผ่าตัดใช้เวลานานแค่ไหน
- การฟื้นฟูในระยะแรก (1-2 สัปดาห์แรก) หลังจากที่แผลผ่าตัดหายดีพอสมควร แพทย์อาจแนะนำให้เริ่มยืดข้อมือเบาๆ หรือเคลื่อนไหวข้อมือ เพื่อลดการเกร็งของกล้ามเนื้อ
- การทำกายภาพบำบัด (หลัง 2 สัปดาห์) หลังจากที่แผลหายแล้ว แพทย์อาจแนะนำให้ทำกายภาพบำบัด เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของข้อมือ และอาจให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวข้อมือและออกกำลังกาย เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อที่แข็งแรง
- การฟื้นฟูในระยะยาว (4-6 สัปดาห์) ขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของแต่ละบุคคล โดยทั่วไปแล้วผู้ป่วยจะเริ่มทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติหลังจาก 6-8 สัปดาห์
หลังการผ่าตัดจะกลับมาเป็นปกติหรือไม่
หลังการผ่าตัดโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะกลับมาเคลื่อนไหวข้อมือและทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ แต่การฟื้นฟูอาจต้องใช้เวลาและการดูแลที่เหมาะสม เช่น การทำกายภาพบำบัด การหลีกเลี่ยงกิจกรรมหนัก และการพักข้อมือหลังผ่าตัด
ผู้ป่วยมักจะมีอาการดีขึ้นในระยะเวลา 6-8 สัปดาห์ โดยส่วนใหญ่จะสามารถกลับมาใช้ข้อมือได้ตามปกติภายในระยะเวลานี้ หลังจากที่แผลผ่าตัดหายดีและมีการฟื้นฟูข้อมืออย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตาม หากมีอาการรุนแรง การฟื้นตัวอาจใช้เวลานานกว่าปกติ หากกลับมามีอาการอีกครั้งหรือฟื้นตัวช้า แพทย์อาจพิจารณาการรักษาเพิ่มเติม เช่น การทำกายภาพบำบัดที่เข้มข้น หรือในกรณีที่หายไม่ดี อาจมีการผ่าตัดซ้ำ
โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบแตกต่างจากนิ้วล็อกอย่างไร
โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบและ นิ้วล็อก เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับเอ็นและข้อต่อของมือ แต่มีความแตกต่างในลักษณะของอาการและตำแหน่งที่ได้รับผลกระทบ ดังนี้
1. ตำแหน่งที่ได้รับผลกระทบ
- โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ เกิดบริเวณข้อมือ โดยเฉพาะที่ปลอกหุ้มเอ็น ใกล้โคนนิ้วหัวแม่มือ ทำให้เกิดอาการปวด บวม และมีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหวของข้อมือและนิ้วหัวแม่มือ
- นิ้วล็อก: เกิดที่นิ้วมือ โดยเฉพาะที่ปลอกหุ้มเอ็นของนิ้วมือ ซึ่งทำให้เอ็นที่ช่วยในการขยับนิ้วติดขัดหรือหลุดออกจากที่ปกติ จนเกิดอาการนิ้วล็อกหรือนิ้วติด ไม่สามารถยืดหรืองอนิ้วได้ตามปกติ
2. อาการหลัก
- โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดบริเวณข้อมือและนิ้วหัวแม่มือ โดยเฉพาะเมื่อมีการขยับข้อมือ หรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้มือ เช่น การจับของ และอาจมีอาการบวมในบริเวณดังกล่าว บางครั้งอาการปวดอาจร้าวไปที่แขน
- นิ้วล็อก นิ้วมือจะติดล็อกในท่าใดท่าหนึ่ง ต้องใช้แรงดึงเพื่อให้กลับมาเป็นปกติ อาจมีอาการปวดที่ฐานของนิ้วมือ และเกิดการบวมที่บริเวณดังกล่าว
3. สาเหตุ
- โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ เกิดจากการใช้ข้อมือหรือการเคลื่อนไหวซ้ำๆ ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบที่ปลอกหุ้มเอ็น
- นิ้วล็อก เกิดจากการอักเสบของปลอกหุ้มเอ็นในนิ้วมือ ทำให้เกิดการยึดติดหรือการตึงของเอ็นที่ใช้ในการเคลื่อนไหว
4. การรักษา
- โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ รักษาโดยการพักการใช้งานข้อมือ ใช้ยาแก้ปวดและลดการอักเสบ การฉีดยาสเตียรอยด์ หรือในกรณีที่รุนแรงอาจจำเป็นต้องผ่าตัด
- นิ้วล็อก รักษาโดยการใช้เฝือกหรือการทำกายภาพบำบัด การฉีดยาสเตียรอยด์ หรือในกรณีที่รุนแรง อาจต้องผ่าตัดเพื่อคลายปลอกหุ้มเอ็น
การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบจะช่วยให้คุณสามารถป้องกันและจัดการกับโรคได้ดียิ่งขึ้น หากเริ่มมีอาการผิดปกติ อย่าปล่อยทิ้งไว้ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรักษาอย่างเหมาะสม การรักษาที่รวดเร็วจะช่วยลดความเจ็บปวดและป้องกันไม่ให้โรคลุกลามไปสู่ภาวะที่รุนแรงมากขึ้น
ยังมีข้อสงสัยเพิ่มเติมใช่ไหม? ไม่รู้จะปรึกษาใครดี ปรึกษาทีม HDcare ได้เลย เราพร้อมเป็นผู้ช่วยส่วนตัวดูแลสุขภาพคุณ สอบถามข้อมูลเบื้องต้นกับคุณหมอเฉพาะทาง ทำนัดปรึกษาคุณหมอได้รวดเร็ว หรือค้นหาแพ็กเกจรักษาโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ จาก รพ. หรือคลินิกใกล้คุณได้ทันที คลิกที่นี่เลย