ยา Berberine - ข้อมูล ข้อบ่งใช้ ผลข้างเคียง
- ปรึกษาเภสัชกรออนไลน์ได้ทุกเรื่องเกี่ยวกับยา ทั้งชนิดของยา การใช้ยาอย่างเหมาะสม และข้อควรระวังของยา
- เภสัชกรจะถือว่า ประวัติสุขภาพและข้อมูลส่วนบุคคลที่คุณให้มาเป็นข้อมูลจริง และใช้ข้อมูลนั้นประกอบการให้คำปรึกษาและแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม ข้อมูลดังกล่าวจะถูกเผยแพร่ระหว่างคุณกับเภสัชกรในหน้าแชทส่วนตัวเท่านั้น
- HDmall.co.th จะติดต่อร้านขายยาที่ใกล้ที่สุด ให้คุณปรึกษาและใช้บริการจัดส่งยาจากร้านขายยาที่ได้รับอนุญาตโดยตรง
- HDmall.co.th ไม่ได้จำหน่ายผลิตภัณฑ์โดยตรง รวมถึงไม่ได้กระทำธุรกรรมใดๆ ทั้งสิ้น ข้อมูลผลิตภัณฑ์ ทั้งหมดในหน้านี้มีไว้เพื่อเป็นข้อมูลอ้างอิงเท่านั้น
- 🤝 สนใจเป็นหนึ่งในร้านขายยาที่ช่วยให้คำปรึกษาผู้ใช้ด้านยาหรือไม่? สมัครและใช้งานฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย
รายละเอียด
ข้อมูลภาพรวมของเบอร์แบร์ริน
เบอร์แบร์ริน (Berberine) เป็นสารเคมีที่พบในพืชหลายชนิด เช่น ยูโรเปียน บาร์เบอร์รี่, โกลเด้นซีล, ออรีกอนเกรฟ, ชวนหวงป้อ, ต้นขมิ้น เป็นต้น โดยมากแล้วมักมีการนำเบอร์แบร์รินไปรับประทานเพื่อควบคุมภาวะเบาหวาน, คอเลสเตอรอลสูง, และความดันโลหิตสูง อีกทั้งบางคนยังนิยมทาเบอร์แบร์รินลงบนผิวหนังโดยตรงเพื่อรักษาอาการแดดเผาและสามารถใช้ทาแผลร้อนในได้อีกด้วย
เบอร์แบร์รินออกฤทธิ์อย่างไร?
เบอร์แบร์รินอาจทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้น ซึ่งอาจจะช่วยผู้ป่วยภาวะหัวใจบางประเภทได้ เบอร์แบร์รินยังมีส่วนช่วยในการควบคุมกระบวนการใช้น้ำตาลในเลือดของร่างกาย ซึ่งสามารถนำมาใช้ในกลุ่มผู้ป่วยกลุ่มเบาหวาน อีกทั้งเบอร์แบร์รินยังสามารถกำจัดเชื้อแบคทีเรียและรักษาอาการบวมได้อีกด้วย
วิธีใช้และประสิทธิภาพของเบอร์แบร์ริน
ภาวะที่อาจใช้เบอร์แบร์รินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- แผลร้อนใน (canker sores) งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการทาเจลที่มีส่วนผสมของเบอร์แบร์รินสามารถลดความเจ็บปวด อาการแดง แผลน้ำเหลืองไหล และลดขนาดของแผลในช่องปากได้
- เบาหวาน (Diabetes) เบอร์แบร์รินช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานได้เล็กน้อย โดยงานวิจัยบางชิ้นได้กล่าวว่าการกินเบอร์แบร์ริน 500 mg สองถึงสามครั้งต่อวันเป็นเวลาต่อเนื่องนาน 3 เดือนจะช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ดีเทียบเท่ากับ metformin หรือ rosiglitazone
- คอเลสเตอรอลสูง มีหลักฐานเมื่อไม่นานมานี้ที่กล่าวว่าเบอร์แบร์รินสามารถลดระดับคอเลสเตอรอลในผู้ที่มีปัญหาคอเลสเตอรอลสูงได้ด้วยการทาน 500 mg สองครั้งต่อวันเป็นเวลานาน 3 เดือน อีกทั้งยังช่วยลดไลโพโปรตีน หรือ ไขมันไม่ดี (low-density lipoprotein (LDL)) กับระดับไตรกลีเซอไรด์ได้อีกด้วย
- ความดันโลหิตสูง การกินเบอร์แบร์ริน 0.9 กรัมต่อวันพร้อมกับยาลดความดันเลือด amlodipine จะช่วยลดความดันซิสโตลิก (systolic blood pressure) (ความดันตัวบน) กับไดแอสโตลิก (diastolic blood pressure) (ความดันตัวล่าง) ได้ดีกว่าการกินยา amlodipine เพียงอย่างเดียว
- ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (polycystic ovary syndrome (PCOS)) งานวิจัยกล่าวว่า เบอร์แบร์รินช่วยลดระดับเทสโทสเตอโรนกับสัดส่วนเอวต่อสะโพก (waist-to-hip ratio) ของผู้หญิงที่ป่วยเป็น PCOS ได้ ในผู้หญิงกลุ่มนี้บางรายอาจได้รับ metformin เพื่อป้องกันการเกิดภาวะเบาหวาน ซึ่งการวิจัยกล่าวว่าการกินเบอร์แบร์รินจะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้คล้ายกับการกินยา metformin แต่ก็ดูเหมือนว่าเบอร์แบร์รินจะสามารถควบคุมระดับคอเลสเตอรอลได้ดีกว่ายา metformin
ภาวะที่ยังคงขาดหลักฐานว่าใช้เบอร์แบร์รินรักษาได้หรือไม่
- แผลไหม้ งานวิจัยเมื่อไม่นานมานี้กล่าวว่าการทาขี้ผึ้งที่มีส่วนประกอบของเบอร์แบร์รินกับ beta-sitosterol สามารถรักษาแผลไหม้ระดับสองได้ดีเทียบเท่ากับการรักษาด้วย silver sulfadiazine
- ภาวะหัวใจล้มเหลว (Congestive heart failure (CHF)) งานวิจัยกล่าวว่าเบอร์แบร์รินสามารถลดอาการของภาวะนี้และลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วย CHF ลงได้
- ท้องร่วง (Diarrhea) งานวิจัยกล่าวว่าการกิน berberine sulfate 400 mg สามารถลดอาการท้องร่วงของผู้ที่เป็นโรคท้องร่วงจากการติดเชื้อแบคทีเรีย E.coli หรือ cholera ได้ อีกทั้งการกิน berberine hydrochloride 150 mg สามครั้งต่อวันร่วมกับการรักษาทั่วไปยังช่วยเร่งกระบวนการฟื้นตัวของผู้ป่วยท้องร่วงได้อีกด้วย การใช้เบอร์แบร์รินในการรักษาโรคท้องร่วงในเด็กและทารกยังสามารถทำได้คล้ายกับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะหรือโพรไบโอติกส์ อย่างไรก็ตามเบอร์แบร์รินนั้นไม่ได้ช่วยเร่งผลการรักษาของยาปฏิชีวนะ tetracycline ในการรักษาโรคท้องร่วงที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อ cholera แต่อย่างใด
- ต้อหิน (Glaucoma) งานวิจัยกล่าวว่าการใช้ยาหยอดตาที่มีส่วนผสมของเบอร์แบร์รินกับ tetrahydrozoline ไม่ได้ช่วยลดแรงกดในตาของผู้ที่มีปัญหาต้อหิน
- แผลในกระเพาะอาหารที่เกิดจากการติดเชื้อ Helicobacter pylori (H pylori) งานวิจัยกล่าวว่าการกินเบอร์แบร์รินมีประสิทธิภาพในการกำจัดภาวะติดเชื้อ H.pylori มากกว่าการกินยา ranitidine อย่างไรก็ตามเบอร์แบร์รินก็มีประสิทธิภาพในการรักษาแผลที่เกิดจาก H.pylori น้อยกว่าการกินยา
- ตับอักเสบ (Hepatitis) งานวิจัยกล่าวว่าเบอร์แบร์รินช่วยลดน้ำตาลในเลือด ไขมันไตรกลีเซอไรด์ และลดความเสียหายที่เกิดที่ตับในผู้ป่วยเบาหวานซึ่งเป็นโรคไวรัสตับอักเสบ B หรือ C ร่วมด้วย
- อาการช่วงวัยหมดประจำเดือน (Menopausal symptoms) งานวิจัยกล่าวว่าการกินยาที่มีส่วนประกอบของเบอร์แบร์รินกับ soy isoflavones สามารถลดอาการช่วงหมดประจำเดือนของผู้หญิงได้ แต่ก็ยังไม่แน่ชัดว่าการใช้เบอร์แบร์รินเพียงอย่างเดียวจะช่วยลดอาการเหล่านี้หรือไม่
- โรคอ้วนลงพุง (Metabolic syndrome) งานวิจัยพบว่าเบอร์แบร์รินสามารถลดดัชนีมวลกาย (body mass index (BMI)), ความดันโลหิตซิสโทลิก (ความดันตัวบน), ไขมันไตรกลีเซอไรด์, และระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคอ้วนลงพุงได้ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มการตอบสนองต่ออินซูลินของร่างกายเช่นกัน ส่วนงานวิจัยชิ้นอื่น ๆ ได้กล่าวว่าการกินผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเบอร์แบร์ริน, policosanol, ยีสต์ข้าวแดง (red yeast rice), กรดโฟลิก (folic acid), coenzyme Q10, และ astaxanthin จะช่วยเพิ่มระดับความดันโลหิตและการไหลเวียนโลหิตของผู้ป่วยโรคอ้วนลงพุง
- โรคตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ งานวิจัยพบว่าเบอร์แบร์รินสามารถลดไขมันในเลือดและการอักเสบของตับของผู้ป่วยเบาหวานซึ่งเป็นโรคตับที่ไม่ได้เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ได้ด้วย
- โรคอ้วน (Obesity) งานวิจัยกล่าวว่าการกินเบอร์แบร์รินสามารถช่วยลดน้ำหนักของผู้ที่มีปัญหาความอ้วนได้
- โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) งานวิจัยกล่าวว่าการกินเบอร์แบร์ริน ร่วมกับวิตามิน D3 และวิตามิน Kสามารถลดการสูญเสียมวลกระดูกในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนได้ แต่ยังไม่ชัดเจนว่าหากใช้กินเบอร์แบร์รินเพียงอย่างเดียวจะได้ผลเช่นนี้หรือไม่
- บาดแผลที่เกิดจากรังสี งานวิจัยกล่าวว่าการทานเบอร์แบร์รินระหว่างการบำบัดทางรังสีสามารถลดการเกิดและความรุนแรงของบาดแผลจากรังสีได้บ้างในผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องได้รับการรักษาด้วยรังสี
- ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (thrombocytopenia) เกล็ดเลือดคือองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้เกิดการแข็งตัวของเลือดเวลาเกิดแผล โดยงานวิจัยพบว่าการกินเบอร์แบร์รินอย่างเดียวหรือกินร่วมกับ prednisolone สามารถช่วยเพิ่มจำนวนเกล็ดเลือดของผู้ที่มีปัญหาเกล็ดเลือดต่ำได้
- ริดสีดวงตา (Trachoma) มีหลักฐานบางชิ้นที่กล่าวว่ายาหยอดตาที่มีเบอร์แบร์รินสามารถรักษาโรคริดสีดวงตาที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ตาบอดในประเทศกำลังพัฒนาได้
- ภาวะสุขภาพอื่น ๆ
จำเป็นต้องรวบรวมหลักฐานให้มากขึ้นเพื่อให้ข้อมูลด้านประสิทธิผลของเบอร์แบร์รินเพิ่มเติม
ผลข้างเคียงและความปลอดภัยของเบอร์แบร์ริน
เบอร์แบร์รินทั้งแบบรับประทานและทาบนผิวหนังถูกจัดว่าค่อนข้างปลอดภัยสำหรับผู้ใหญ่ส่วนมากหากใช้ในระยะสั้น
คำเตือนและข้อควรระวังเป็นพิเศษ:
เด็ก: เบอร์แบร์รินค่อนข้างไม่ปลอดภัยสำหรับเด็กแรกเกิดเพราะสามารถทำให้เกิดภาวะ kernicterus ซึ่งเป็นความเสียหายที่สมองชนิดหายากที่เกิดจากภาวะดีซ่าน (jaundice) รุนแรง โดยดีซ่านคือภาวะที่ทำให้ผิวหนังออกสีเหลืองเนื่องจากมีบิลิรูบิน (bilirubin) ในเลือดมากเกินไป บิลิรูบินเป็นสารเคมีที่ผลิตออกเมื่อเซลล์เม็ดเลือดแดงสลายไป โดยปกติแล้วสารนี้จะถูกกำจัดโดยตับ แต่เมื่อเด็กได้รับเบอร์แบร์รินอาจทำให้ตับของพวกเขาไม่สามารถกำจัดบิลิรูบินได้เร็วพอ
สตรีมีครรภ์และแม่ที่ต้องให้นมบุตร: เบอร์แบร์รินชนิดรับประทานถูกจัดว่าไม่ค่อยปลอดภัยสำหรับผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์เพราะนักวิจัยเชื่อว่าเบอร์แบร์รินสามารถเข้าไปในรกและก่ออันตรายกับตัวอ่อนได้ อีกทั้งยังมีความเสี่ยงที่จะทำให้ทารกเกิดภาวะ kernicterus ได้ด้วย และในผู้ที่กำลังให้นมบุตร เบอร์แบร์รินเองก็ถูกจัดว่าไม่ค่อยปลอดภัยเนื่องจากเบอร์แบร์รินสามารถส่งต่อสู่ทารกผ่านทางน้ำนมได้เช่นกัน
เบาหวาน: เบอร์แบร์รินจะลดระดับน้ำตาลในเลือดลง ซึ่งตามทฤษฎีแล้ว เบอร์แบร์รินอาจทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำลงมากเกินไปหากคนผู้นั้นกำลังใช้ยาอินซูลินหรือยาตัวอื่นที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานควรใช้เบอร์แบร์รินอย่างระมัดระวัง
ทารกที่มีระดับบิลิรูบินในเลือดสูง: บิลิรูบินเป็นสารเคมีที่ผลิตออกเมื่อเซลล์เม็ดเลือดแดงสลายไป โดยปรกติแล้วสารนี้จะถูกกำจัดโดยตับ แต่เมื่อเด็กได้รับเบอร์แบร์รินอาจทำให้ตับของพวกเขาไม่สามารถกำจัดบิลิรูบินได้เร็วพอซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายแก่สมองของทารก โดยเฉพาะทารกที่มีระดับบิลิรูบินในเลือดสูงอยู่แล้ว
ความดันเลือดต่ำ: เบอร์แบร์รินสามารถลดความดันโลหิตลงได้ ตามทฤษฎีแล้วเบอร์แบร์รินอาจเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้ความดันโลหิตตกลงต่ำเกินไปได้หากผู้ใช้มีปัญหาความดันโลหิตต่ำอยู่แล้ว ดังนั้นคนกลุ่มนี้จึงควรใช้เบอร์แบร์รินด้วยความระมัดระวัง
การใช้เบอร์แบร์รินร่วมกับยาชนิดอื่น
ห้ามใช้เบอร์แบร์รินร่วมกับเหล่านี้
- Cyclosporine (Neoral, Sandimmune) กับเบอร์แบร์ริน
ร่างกายจะสลาย cyclosporine (Neoral, Sandimmune) เพื่อกำจัดออกไป โดยเบอร์แบร์รินจะไปลดความเร็วกระบวนการกำจัดนี้ลงซึ่งอาจทำให้ร่างกายมี cyclosporine (Neoral, Sandimmune) มากเกินไปจนทำให้เกิดผลข้างเคียงขึ้นมา
ใช้เบอร์แบร์รินร่วมกับยาเหล่านี้ด้วยความระมัดระวัง
- ยาที่ถูกจัดการโดยตับ (Cytochrome P450 3A4 (CYP3A4) substrates) กับเบอร์แบร์ริน
ยาบางตัวที่ถูกจัดการและย่อยสลายโดยตับจะได้รับผลกระทบจากเบอร์แบร์ริน เพราะเบอร์แบร์รินจะชะลอกระบวนการย่อยสลายของตับลง โดยการใช้เบอร์แบร์รินร่วมกับยากลุ่มนี้อาจเพิ่มประสิทธิผลของยาและก่อให้เกิดผลข้างเคียงจากยาขึ้น ดังนั้นก่อนใช้เบอร์แบร์ริน คุณควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อน โดยยาที่เกี่ยวข้องกับตับมีดังนี้ cyclosporin (Neoral, Sandimmune), lovastatin (Mevacor), clarithromycin (Biaxin), indinavir (Crixivan), sildenafil (Viagra), triazolam (Halcion), และอื่น ๆ
ปริมาณยาที่ใช้
ผู้ใหญ่
รับประทาน:
- สำหรับเบาหวาน: เบอร์แบร์ริน 0.9 ถึง 1.5 กรัมต่อวัน โดยแบ่งมื้อในการรับประทานเป็นระยะเวลานาน 2-4 เดือน
- สำหรับคอเลสเตอรอลสูง: เบอร์แบร์ริน 0.6 ถึง 1.5 กรัมต่อวัน โดยแบ่งมื้อในการรับประทานเป็นระยะเวลานาน 2-12 เดือน ผลิตภัณฑ์ที่มีเบอร์แบร์ริน 500 mg, policosanol 10 mg, และยีสต์ข้าวแดง 200 mg ควรกินเป็นระยะเวลา 2 ถึง 12 เดือน
- สำหรับความดันโลหิตสูง: เบอร์แบร์ริน 0.9 กรัมต่อวันเป็นเวลา 2 เดือน
- สำหรับถุงน้ำโรครังไข่หลายใบ (polycystic ovary syndrome (PCOS)): เบอร์แบร์ริน 500 mg รับประทาน 3 ครั้งต่อวันเป็นเวลา 3 เดือน
ทาบนผิวหนัง:
- แผลร้อนใน: เจลที่มีส่วนประกอบของเบอร์แบร์ริน 5 มิลลิกรัมต่อกรัมควรถูกทาบนแผลสี่ครั้งต่อวันเป็นเวลานาน 5 วัน
เด็ก
ขนาดยาที่เหมาะสมสำหรับเบอร์แบร์รินนั้นจะขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย เช่น อายุ สุขภาพ และภาวะสุขภาพอื่น ๆ ของผู้ใช้ ซึ่ง ณ ขณะนี้ยังขาดแคลนข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มาชี้ชัดปริมาณที่เหมาะสมของเบอร์แบร์ริน ดังนั้นต้องพึงจำไว้ว่าแม้จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากธรรมชาติก็ไม่ได้หมายความว่าปลอดภัยเสมอ พยายามปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลากยาและปรึกษากับเภสัชกร แพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพก่อนใช้เบอร์แบร์รินทุกครั้ง